ผิวอ่อนนุ่มของมนุษย์เอาเข็มแหลมจุ่มสีจิ้มย้ำลงไปให้เลือดซิบ หมึกซึมเข้าไปในผิวหนัง จะได้รอยสักบ่งบอกตัวตน ผู้ชายกับรอยสักเป็นของคู่กัน แต่ที่อยู่กับรอยสักได้ดีไม่แพ้ผิวหนังมนุษย์ ก็ผิวของ “หินอ่อน” จากงาน Iconic ที่ถูกเพิ่ม “รอยสัก” เข้าไปจนกลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัย และมีศิลปินท่านนึงที่อาจหาญทำมันได้สำเร็จจนได้ Fabio Viale เกิดใน Cuneo ทางตอนเหนือของ Italy ประเทศที่ขึ้นชื่อด้านหินอ่อนคุณภาพดี เริ่มเข้ามาคลุกคลีกับวงการหินอ่อนเมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะตอนอายุ 16 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้สึกหลงใหลในวัสดุชิ้นนี้ ต่อมาเขาผลิตงานประติมากรรมสลักหินอ่อนมากมาย และมีผลงานบางส่วนที่โด่งดังเข้าตาวงการร้านขายของแอนทีค ถือเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเต็มตัวของ Fabio เส้นทางก่อนเป็นศิลปินอิสระ คือการสร้างรูปปั้นเพื่อตกแต่งสุสานในเมืองมิลาน แต่หลังทำไปสักพัก Fabio ก็เลือกเส้นทางศิลปินเดี่ยวออกมาทำงานคนเดียว ย้ายจากอิตาลีไปอยู่ทั้งนิวยอร์กและรัสเซีย มุ่งมั่นสร้างผลงานจนในที่สุดเขาก็มีผลงานสร้างชื่อเข้าจนได้ โดยมีรางวัล Cairo Prize ให้ชื่นใจเป็นชิ้นแรก กระทั่งปี 2015 เขาตัดสินใจทำงานร่วมกับ Poggiali Gallery ใน Florence เพื่อจัดนิทรรศการส่วนตัว และผลงานนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เพราะได้รับเกียรติให้นำเข้าไปติดตั้งไว้ในโบสถ์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างมหาวิหารซานโลเรนโซ แต่ทั้งหมดก็ยังไม่ไวรัลเท่างานล่าสุดที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นการสร้างรูปปั้นไอคอนิกตามแบบที่สำคัญในประวัติศาสตร์ แล้วนำมาใส่รอยสักลงไปจากการตีความของ Fabio แต่มันไม่ได้ธรรมดาแค่นั้น เพราะจุดสำคัญคือรอยสักบนหินทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้วิธีทาสีทับธรรมดา แต่ใช้เทคนิคทำให้เหมือนสีซึมอยู่ด้านในจนดูคล้ายกับรอยสักมนุษย์จริง
คุณมองคนที่มีรอยสักเป็นอย่างไร ? มองว่าเป็นคนไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนตัวของเขา หรือมองว่าเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง บางคนอาจรู้สึกโอเคกับรอยสักขนาดเล็กสไตล์มินิมัล แล้วถ้ารอยสักขนาดใหญ่พาดเต็มแขนทั้งสองข้าง คุณจะมองว่ามันคือสัญลักษณ์ของอาชญากรหรือมองเป็นศิลปะญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์มากกว่ากัน ? UNLOCKMEN จะพาไปดูมุมมองเรื่องรอยสักของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่เหมือนหรือแตกต่างเรื่องการวาดลวดลายบนเรือนร่าง ว่ามันสวยงามหรือว่ามันคือสัญลักษณ์ของพวกอาชญากรกันแน่ ? รอยสักญี่ปุ่นว่าด้วยคนญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์รอยสักแห่งเกาะญี่ปุ่น เกิดขึ้นเมื่อค้นพบตุ๊กตาอายุราว 2,300 ปี ในหลุมศพของโชกุน การค้นพบครั้งนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นต่างตั้งสมมุติฐานว่ารอยบนใบหน้าของตุ๊กตามีความหมายว่าอย่างไร บ้างก็ว่าเป็นเครื่องหมายแสดงความกล้าหาญ บ้างก็ว่าเป็นการบอกยศ และมีคนเชื่อว่ารอยสักคือเครื่องหมายไว้ประจานพวกนักโทษ สังคมญี่ปุ่นสมัยโชกุนจะแยกคนที่มีรอยสักกับไม่มีรอยสักออกจากกัน คนไม่มีรอยสักก็คือประชาชนธรรมดา บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้า มนุษย์เงินเดือน เจ้าหน้าที่ข้าราชการ ส่วนคนที่มีรอยสักมักเป็นโรนิน โสเภณีธรรมดาที่ไม่ใช่สาวงามแบบโอยรัน นักโทษ เด็กเกเร และคนที่ไม่ยอมอยู่ในครรลองคลองธรรมอันดีงามที่สังคมกำหนดไว้ หลังจากระบบการปกครองของญี่ปุ่นถูกรื้อใหม่หมด ช่วงปี ค.ศ. 1750 ญี่ปุ่นยกเลิกการปิดประเทศอย่างถาวร ปฏิรูปสังคมและชนชั้น ซามูไรถูกลดอำนาจ มีบันทึกระบุว่าชายหนุ่มจำนวนมากนิยมสักกันมากขึ้น ร้านสักกลายเป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินเข้าไปได้ แถมยังขยันออกลวดลายเท่ ๆ มาแข่งกันเพื่อเรียกลูกค้าอีกต่างหาก ผู้คนเริ่มมีมุมมองเกี่ยวกับคนมีรอยสักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลงอีกครั้งเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า ‘หากประชาชนคนใดนิยมรอยสักจะต้องรับโทษ’ หรือกฎปี 2001 ระบุว่า
เราอาจรับรู้เรื่องราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กันบ่อย บางครั้งฟังจากปากของทหารนาซี บางทีดูหนังที่เล่าจากฝั่งของสัมพันธมิตร และสัมผัสความเศร้าผ่านหนังสือของชาวยิวที่อยู่ในค่ายกักกัน UNLOCKMEN ได้พบเจอเรื่องราวอีกบทหนึ่งที่น่าสนใจ เรื่องราวของคนที่ถูกนาซีจับขังคุกด้วยข้อหาแปลก ๆ อย่างการเป็นเกย์ ที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล อัลเบรทช์ เบกเกอร์ (Albrecht Becker) คือชายสูงวัยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเอาชีวิตรอดจากความตายเพื่อมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 1935 เขามีอาชีพเป็นช่างภาพที่ถูกนาซีสั่งจำคุกด้วยข้อหาเป็นเกย์ เพราะยุคที่เต็มไปด้วยสงคราม ความขัดแย้ง การเหยียดหยาม คนรักเพศกำเนิดเดียวกันไม่ว่าหญิงหรือชายจะถูกเรียกว่า “เกย์” ถ้าคุณเป็นเกย์ช่วงปี 1935 และอาศัยอยู่ในประเทศเยอรมนี คุณจะกลายเป็นอาชญากรที่อาจถูกลงโทษถึงตาย แต่เดิมการเป็นเกย์ไม่ได้เป็นปัญหาชีวิตของเขา จนประเทศถูกปกครองด้วยระบอบนาซีและเข้าสู่สงครามก็เริ่มมีข้อบังคับแปลก ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ‘วรรคที่ 175 ระบุว่า การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันถือเป็นสิ่งต้องห้าม’ แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้ออกไปป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์ก็จะไม่มีใครล่วงรู้รสนิยมของเขา มีความสุขอยู่กับคนรักในเมือง Wurzburg ที่ห่างไกล “นาซีไม่สนใจผม และการเมืองของพวกเขาก็ไม่แลผมเช่นกัน” – Albrecht Becker อย่างไรก็ตาม ชีวิตแสนสงบสุขของอัลเบรทช์กับคนรักต้องสิ้นสุดลงด้วยเวลาอันสั้น ภัยร้ายเริ่มคืบคลานเข้ามาเป็นผลจากเหตุการณ์ในเดือนกรกฎาคมปี 1934 เออร์เนส กึนเทอร์ เริห์ม (Ernst Gunther Roam)
หลายคนกล่าวถึงความเลวทรามของโลกอาชญากรรมว่าเป็นสิ่งที่ต่ำตมไร้เกียรติ แต่บางคนก็มีมุมมองที่แตกต่างกันและคิดว่าอาชญากรรมที่ฉาวโฉ่ก็ซ่อนสิ่งสวยงามที่โรแมนติกเอาไว้ด้วยเช่นกัน รวมถึงโลกสีดำของประเทศญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยมาเฟียที่เรียกว่า ยากูซ่า ในครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพูดถึงวงโคจรที่ไม่อาจก้าวออกมาได้ของหญิงสาวในโลกสีดำที่เหล่าผู้ชายไม่เคยเห็นหรือเคยนึกถึงมาก่อน โดยเล่าผ่านมุมมองและภาพถ่ายของ Chloe Jafe ช่างภาพสาวผู้สร้างคอลเลกชันรูปถ่ายชื่อว่า “命預けます” หรือ “I Give You My Life” ตามคำนิยามที่เธอเขียน ผู้หญิงไม่สามารถเป็นยากูซ่าได้ ดังนั้นโลกของมาเฟียญี่ปุ่นจึงเต็มไปด้วยผู้ชายเสียส่วนใหญ่ แม้กระนั้นบทบาทหน้าที่ที่ไม่ชัดเจนของเหล่าสตรีในโลกสีดำกลับเต็มไปด้วยความน่าสนใจ บางครั้งผู้หญิงญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งที่เป็นสาวธรรมดา ๆ ไม่ได้เป็นแฟนของยากูซ่าแต่ทำงานอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “Grey Area” หรือพื้นที่สีเทา จำพวกบาร์ ร้านเหล้า โรงแรมที่ต้อนรับกลุ่มยากูซ่า ก็จะได้คลุกคลีและพบเจอกับโลกสีดำอยู่บ่อย ๆ และยังมีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ก้าวผ่านเขตสีเทาไปยังสีดำอย่างเป็นภรรยาของยากูซ่า และสำหรับบางแก๊ง ผู้หญิงเก่งก็ถือเป็นนายหรือสุดยอดปรมาจารย์ที่ชายผู้มีรอยสักให้การยกย่องถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ถูกเรียกว่ายากูซ่าอย่างเป็นทางการก็ตาม เรื่องราวของพวกเธอหลบซ่อนอยู่ในซอกหลืบ ทำให้ Chloe Jafe ตระหนักว่าหากต้องการรูปถ่ายของพวกผู้หญิงก็จะต้องพบกับหัวหน้าของยากูซ่า เพราะในตามหลักแล้วผู้หญิงจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ เธอเลือกไม่ได้ว่าเธออยากถูกถ่ายภาพไหม และคนที่ตัดสินใจทุกอย่างคือผู้เป็นสามี แต่มันไม่ง่ายนักที่จะเข้าพบกับบอสใหญ่ ความยากนี้ทำให้เธอเกือบถอดใจเตรียมล้มคอลเลกชันภาพที่อยากทำ แต่แล้ววันหนึ่งในงานเทศกาลมีผู้ชายเดินเข้ามาหาและชวนเธอดื่ม ซึ่งชายคนนั้นคือคนที่ทำให้โปรเจกต์ภาพของเธอขยับเข้าสู่ความสำเร็จอีกขั้น เพราะเขาเป็นทายาทที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูลยากูซ่าที่ทรงอิทธิพล ชายคนดังกล่าวแนะนำให้ Chloe Jafe รู้จักกับภรรยาของเขา การพบกันในครั้งนี้ทำให้ช่างภาพสาวเริ่มเข้าสู่วงสังคมยากูซ่า เธอพบว่าผู้หญิงที่แต่งงานกับคนลำดับสูงของกลุ่มจะมีบอดี้การ์ดหญิงส่วนตัว และเธอก็ยังได้พูดคุยกับบอดี้การ์ดสาวนามว่า
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” คงต้องยอมให้กับความเท่ระเบิดระเบ้อของ Keanu Reeves ที่เจิดจรัสออกมาตลอดทั้งเรื่อง จนกลบเสียงวิจารณ์เนื้อหาที่ฉีกไปจากคอมมิกอย่างไม่มีชิ้นดี นอกจากความเท่ที่มันเตะตาคนดูอย่างเราแล้ว หลายคนคงจำรอยสักปริศนาที่แขนของ John Constantine ตัวเอกของเรื่องกันได้ดี โดยเฉพาะฉากยกแขนมาแนบกันเพื่อปราบเจ้าเด็กแสบ รอยสักนั้นไม่ได้ถูกดีไซน์ขึ้นมาใหม่ ให้มันเท่เข้ากับคาแรกเตอร์เฉย ๆ อย่างตัวละครในเรื่องอื่น แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายและมีมานานอีกแล้วอีกต่างหาก UNLOCKMEN จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ที่กลายมาเป็นรอยสักแสนสะดุดตาบนแขนของเขากัน ทำความรู้จักเรื่อง Constantine ก่อนจะไปทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ลองมาทบทวนเนื้อเรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” กันหน่อย เผื่อมีบางคนที่ดูนานแล้วจนลืมเลือนเนื้อเรื่องไป หรือบางคนที่อาจจะยังไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อน ความเท่ของการปราบผีระดับตำนาน เรื่องราวของ John Constantine (Keanu Reeves) เขาไม่ได้เป็นนักบุญ แต่เขาคือผู้ที่เคยผ่านความตาย และมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาใช้ชีวิตเพื่อกำจัดพวกเกเรกลับนรกไม่ให้เหลือซาก จนเขาได้ไปเจอกับตำรวจสาวที่ขอร้องให้เขาช่วยสืบเกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของน้องสาวฝาแฝดของเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อความตายของสาวคนนั้นเป็นเพียงปมเล็ก ๆ ของเรื่องราวอันยุ่งเหยิงระหว่างปีศาจ ลูกตัวแสบของลูซิเฟอร์ที่อยากจะขึ้นมาป่วนโลกนี้แบบเต็มที ใครที่ชื่นชอบปีศาจแบบตามศาสนา ไม่ใช่ผีแบบ Ghost ล่ะก็ แนะนำเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ เพราะเรื่องนี้จะเต็มไปด้วย ปีศาจ ศาสนา
‘รอยสัก’ คือหนึ่งในวัฒนธรรมทางสังคมที่ผู้คนมีความเห็นขัดแย้งกันที่สุด บ้างก็ว่ามันสวยงาม บ้างก็ว่ามันมีเสน่ห์ บ้างก็ว่ามันดูเซ็กซี่ แต่บ้างก็ว่ามันดูสกปรกน่ารังเกียจ อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ารอยสักคือวัฒนธรรมเก่าแก่ของโลก ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่ารอยสักเริ่มต้นครั้งแรกเมื่อกว่า 12,000 ปีก่อน แม้จะเดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ เมื่อรอยสักฝังลงไปในผิวหนัง มันจะติดตัวไปชั่วชีวิต ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ แต่อย่างที่เรารู้กันดี รอยสักที่อยู่บนร่างกายคือตัวแทนของอารมณ์ ความรู้สึก หรือเจตนารมณ์ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต ซึ่งสิ่งพวกนี้ไม่จีรังยั่งยืน สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับ แต่รอยสักที่ลงหมึกไปแล้วนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จะลบทิ้งก็ทั้งเจ็บตัวทั้งเสียเงินมหาศาล หลายคนจึงเลือกที่จะทนอยู่กับรอยสักที่ไม่รู้สึกชอบอีกแล้วไปตลอดชีวิต แต่ตอนนี้ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไป… Carson Bruns ผู้อำนวยการห้องทดลองวัสดุ CU’s Emergent Nanomaterials Lab มีความตั้งใจแรงกล้าที่จะปฎิวัติประวัติศาสตร์แห่งรอยสัก 12,000 ปี เขาริเริ่มโปรเจ็กต์ที่กล้าหาญ เนื่องจากสิ่งที่ต้องเจอคือการโจมตีจากผู้รักรอยสักสายอนุรักษ์นิยมที่บอกว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำนั้นทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของรอยสัก “ผมหลงใหลในรอยสัก มันคือแขนงหนึ่งของศิลปะที่ผมชื่นชอบ มันสะท้อนอัตลักษณ์ของแต่ละบุคคลออกมาได้อย่างชัดเจน และคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้หลังจากตัดสินใจไปแล้ว” Bruns กล่าว “แต่ผมตระหนักได้ว่ากลับไม่มีใครสนใจศึกษาเรื่องรอยสักในแง่มุมวิชาการอย่างจริงจังเลย” ถึงแม้ Carson Bruns จะเป็นผู้ชายสายวิทยาศาสตร์ เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญเรื่องการใช้สสารและกฎควอนตัม แต่เขากลับสักเต็มตัว ไว้ผมยาว นั่นน่าจะเป็นสิ่งบ่งบอกได้ดีว่าผู้ชายคนนี้หลงใหลในรอยสักขนาดไหน “หมึกสักเป็นเพียงอนุภาคเม็ดสีในของเหลว และสิ่งที่มันทำคือดูดซับความถี่ของแสงและเปลี่ยนสีผิวของคุณ” Bruns อธิบาย “หมึกของเราก็เป็นเช่นนั้น แต่แทนที่จะใช้อนุภาคเม็ดสีรูปแบบเดิม เราเปลี่ยนเป็นใช้อนุภาคเม็ดสีจากเปลือกพลาสติกกลวงเหล่านี้” อนุภาคเหล่านั้นสามารถเติมเต็มด้วยของเหลวชนิดใดก็ได้ที่ Bruns ต้องการ
“IREZUMI” คือการสักแบบชาวญี่ปุ่นดั้งเดิมขนานแท้ที่มีมาตั้งแต่โบราณในช่วงยุค Jomon หรือ Paleolithic ซึ่งถ้านับแบบสากลก็คือ ช่วงยุคหินเก่า (10,000 BC) จนมาถึงช่วยสมัย EDO (1600-1868) รอยสักเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในกลุ่มคนชนชั้นต่าง ๆ โดยคนญี่ปุ่นเชื่อว่ารอยสักนั้น นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์แล้ว มันยังเป็นสิ่งที่ส่งผลทางด้านจิตวิญญาณโดยตรงอีกด้วย จะว่าไปแล้ว จริง ๆ “IREZUMI” ก็มีความคล้ายคลึงกับการสักยันต์ของไทย ที่ครั้งโบราณทหารไทยก็ใช้การสักยันต์เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นการสร้างขวัญกำลังในการทำศึกสงครามเช่นกัน แต่การสักแบบญี่ปุ่นของจริง หรือที่เรียกว่า “IREZUMI” นั้น จะมีความเป็นเอกลักษณ์ และมีมนต์เสน่ห์แบบเฉพาะตัว ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นรูปลวดลายของ สัตว์, ดอกไม้, เทพเจ้า และภาพเหตุการณ์จากเรื่องเล่าที่เป็นตำนาน หรือนิทานพื้นบ้าน ซึ่งโดยรวมแล้ว จะมีความหมายถึงความอดทน และความทะเยอทะยานของชีวิตเป็นหลัก เมื่อก่อนวิธีการสัก และหมึกสักที่ช่างสักชาวญี่ปุ่นใช้นั้น จะแตกต่างจากช่างสักในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะวิธีการสัก ที่ช่างจะใช้เข็มแซะเข้าไป ในลักษณะเหมือนใช้ สิ่ว สลักงานไม้ และหมึกส่วนใหญ่จะเป็นหมึกชนิดเดียวกับที่ใช้ในภาพพิมพ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Nara Ink หรือ Nara Black ซึ่งเป็นหมึกที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
เคยสงสัยไหมว่าความหลงใหลในสิ่งตัวเองรักของคนเรามันจะไปได้สุดทางมากแค่ไหน เราจะทำให้ความชอบของเราอยู่กับเราไปได้นานแค่ไหน นานมากพอจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า โลกใบนี้ของเรามีคน ๆ นั้นแล้ว คนที่เก็บเอาความชอบของเขาติดตัวไปจนวันสุดท้ายของชีวิตได้อย่าง “Zombie Boy” แต่น่าเสียดายที่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาเลือกที่จะบอกลาโลกใบนี้ไป UNLOCKMEN อยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น มากกว่าผู้ชายที่เต็มไปด้วยรอบสัก มากกว่าการเป็นนายแบบ หรือพระเอก MV มาดูกันว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องเดินทางผ่านอะไรมาบ้าง When I Was A Little Zombie พอจะเดากันได้บ้างแล้วว่า “Zombie Boy” เป็นเพียงนิกเนมตามรูปลักษณ์ของเขา ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ Rick Genest เติบโตที่ Montreal, Canada ชีวิตส่วนตัวของเขาในตอนวัยรุ่นนั้นไปได้ไม่สวยสักเท่าไหร่ เขาเลือกที่จะออกจากบ้านมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง นอนตามพื้นที่สาธารณะ เดินทางไปไหนมาไหนด้วย Hitchhiking หรือเรียกง่าย ๆ ว่าติดรถคนอื่นเขาไปนั่นแหละ จนกระทั่งอายุ 16 เขาเริ่มสักเป็นครั้งแรก และเหมือนคนที่รักในรอยสักคนอื่น ๆ เมื่อมีรอยแรกแล้ว รอยอื่น ๆ จะตามมาเสมอ จนกระทั่งขยายไปถึงใบหน้าและทั้งศีรษะ
เพราะขึ้นชื่อว่ารอยสัก มันก็ต้องเป็นอะไรที่อยู่ติดตัวเราไปจนตายอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าพวกรอยสักมักจะเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไปเสมอ อย่างที่ UNLOCKMEN เคยเขียนไว้หลายต่อหลายครั้ง ในเรื่องเกี่ยวกับรอยสัก โดยเพื่อนๆ สามารถไล่อ่านข้อมูลเกี่ยวกับที่ทางเราเคยเขียนได้ ที่นี่ และวันนี้เราไม่ได้มาพูดถึงอะไรเก่าๆ แต่จะมานำเสนอรอยสักรูปแบบใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ในแบบที่ไม่เหมือนกับที่เคยมีมา แถมเหมาะสำหรับคนที่รักเสียงเพลงและดนตรีเป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย จะเจ๋งและน่าสนใจขนาดไหน ลองมาดูกัน Skin Motion ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้เป็นแพลตฟอร์มด้านศิลปะ ที่นำมาผสมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AR โดยเป็นการเปิดตัว Soundwave รอยสักรูปแบบใหม่ที่ฝังโค้ดเพลงเข้าไปในลาย! ซึ่งแค่เพียงเรายกมือถือขึ้นมาส่องบนลาย Soundwave มันก็จะทำการเล่นเพลงให้เราฟังได้ทันที โดยไอเดียสุดเจ๋งอันนี้มีแนวคิดเริ่มต้นมาจากรอยสักนักเต้นตัวน้อยของเอลตัน จอห์น ที่อยู่ๆ ในวงสนทนา แฟนของ Nate Siggard ก็พูดขึ้นมาแบบลอยๆว่า มันจะเจ๋งแค่ไหนเนี้ย ถ้าเราสามารถฟังเพลงผ่านรอยสักพวกนั้นได้ ไม่รอช้า ทางทีมผู้พัฒนาก็ได้เกิดไอเดียบรรเจิด จัดการรวมทีมพัฒนาจนออกมาเป็นเทคโนโลยีรอยสักนี้ และได้ทำการอัดคลิปเผยแพร่ลงสู่สายตาทั่วโลก ผ่านทาง Youtube (ดูได้จากคลิปด้านล่าง) และแน่นอนว่าของเจ๋งๆ ไอเดียดีแบบนี้ แค่เพียงไม่นานก็เกิดเป็นกระแสไวรัล จากคนหลายมุมทั่วโลกที่สนใจส่งข้อความมาอย่างต่อเนื่องว่าอยากได้รอยสักเจ๋งๆ แบบนี้บ้าง ทำให้ทางผู้ผลิตได้จัดการจดสิทธิบัตรรอยสัก AR ตัวนี้ซะเลย และพัฒนาแอพพลิเคชั่น โดยเฉพาะสำหรับเจ้ารอยสักตัวนี้ ให้สามารถเล่นเพลงและเล่นเสียงต่างๆ
รอยสัก มันติดตัวเราไปจนตาย ดังนั้นควรคิดถึงสิ่งเหล่านี้ก่อนสักนิด รับรองว่า คุณจะไม่ผิดหวังกับมันในภายหลังอย่างแน่นอน