Hot Trend: มาทำความจักรู้เทรนด์ Camouflage จากสนามรบสู่รันเวย์

หลังจาก Content ที่ว่าเกี่ยวกับเทรนด์ที่จะมาแรงในปี 2016 ก่อนหน้านี้ วันนี้เราเลยแตกเอาหัวข้อหนึ่งในนั้นมาขยายความต่อ ซึ่งก็มีอยู่เทรนด์หนึ่งที่ Hot Hit ได้รับความนิยมต่อเนื่องมาได้หลายปีแล้ว และเราคิดว่าทุกคนอาจจะเคยได้ยินคุ้นชินก็คือ เทรนด์ Camouflage หรือเรียกสั้นๆ ว่า Camo

จริงๆ แล้วคำว่า Camo ไม่ได้หมายถึงแฟชั่นสไตล์ทหาร แต่มันหมายถึง ลายพรางบนเครื่องแบบของทหารต่างหาก แต่หลังๆ ก็เริ่มมีการเรียกเหมารวมกันไปเลยว่าคือแฟชั่นสไตล์ทหาร แต่ถ้าจะแยกจริงๆ เสื้อผ้าลายพรางควรเรียกว่า Camouflage และสำหรับเครื่องแบบทหารควรเรียกว่า Military บลาๆๆ ก็แล้วแต่ว่ามันเป็นส่วนไหนของเสื้อผ้านั้นๆ

แล้วไอ้เจ้าลาย Camo เนี่ยมันเข้ามาอยู่กับเทรนด์  Fashion ได้ยังไง ทั้งที่มันควรจะเป็นเครื่องแบบในการออกรบของชายชาติทหาร แต่มันกลับมาอยู่บนรันเวย์ และท้องถนนเฉยเลย วันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN เลยรวบรวมข้อมูลความเป็นมาของเจ้าเทรนด์ Camo มาให้ได้ทำความเข้าใจกัน

ก่อนอื่นเราต้องเท้าความเป็นมาขอเจ้าลาย Camouflage ก่อนสักนิดก่อนที่จะเข้าไปเรื่องของแฟชั่น หลายคนอาจจะคิดว่าลายพรางบนเครื่องแบบทหารเกิดขึ้นในช่วงศตววรษที่ 20 ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่จริงๆ แล้วต้องย้อนกลับถึงศตววรษที่ 14 โดยผู้คิดค้นคือเหล่านินจาจากญี่ปุ่นที่ใส่ลาย Camo สีดำเข้มในการออกปฎิบัติการต่างๆ ในยามราตรี

แต่มันถูกนำมาพัฒนาใช้อย่างจริงจังในช่วงสงครามโลกครั้ง 1 โดยประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้คิดค้นโดยการใช้ลายพรางเพื่อ อำพรางตัวเองเวลาอยู่ที่มืด และในป่า ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งเทคนิคในการสู้รบที่แพร่หลายในเวลาต่อมาจนถึงปี 1960 ที่สหรัฐอเมริกาได้ใช้ลายพรางที่เป็นสี Olive drab ที่เป็นนิยมได้รับการยอมรับในวงกว้าง จนออกมาถึงวงการแฟชั่นในปัจจุบันนี้

Us army 1960 / สี Olive Drab

แต่ถ้าจะพูดถึงลายพรางกับงาน Arts และ Fashion หลังจากในปี 1915 ลายพรางนี้ก็ได้เริ่มแพร่หลายสู่สามัญชนคนปกติ แต่มันเข้ามาทางงาน Arts ก่อนจะเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ โดยศิลปินอย่าง Henri Farre, Andy Warhol and Ian Hamilton Finlay, นำลายพรางนี้มาใช้ในผลงานตัวเอง โดยจุดประสงค์หลักก็เพื่อเป็นการต่อต้านการก่อสงคราม

Henri Farre / Andy Warhol

แต่สำหรับวงการแฟชั่นแล้วลายพรางนี้เริ่มต้นในช่วงแรกกับแบรนด์ Marimekko ที่นำมาใช้ในผลิตภัทฑ์ของตัวเอง และต่อด้วยดีไซเนอร์อย่าง Jean-Charles de Castelbajac , Stephen Sprouse, Franco Moschino แต่มันก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากมายในขณะนั้น

ถ้าจะพูดถึงจุดเริ่มต้นของความดังกับเทรนด์ Camoflage จริงๆ ก็คือช่วงปี 1990 ที่แฟชั่น Camo แพร่กระจายตั้งแต่ High-Fashion จนถึง Streetwears เพราะแบรนด์ High-End อย่าง  John Galliano จาก Christian Dior,  Marc Jacobs จาก Louis Vuitton, Comme des Garçons, Chanel, Tommy Hilfiger, Dolce & Gabbana, Issey Miyake, Armani, Yves Saint-Laurent นำแฟชั่นลายพรางนี้มาขึ้นคอลเลคชั่นบนรันเวย์ จนมันเป็นหนึ่งไอเท็มยอดฮิตติดลมบน

Camo ในยุคบุกเบิกช่วงปี 90s

ส่วนทางฝั่งสายสตรีทก็มีหัวเรืออย่าง Bape, Stone Island, Stüssy, Maharishi, mhi, Zoo York, Addict, and Girbaud ที่ขับเคลื่อนแฟชั่นลาย Camo ในวงการแฟชั่นสาย Street ให้แพร่หลาย และได้รับความนิยมมากจนถึงมากที่สุดแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

หลังจากนั้นลายพราง Camo ก็หายไปจากหน้าวงการแฟชั่นสักพักใหญ่ คือไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนใส่เลย เพียงแต่มันไม่ได้รับความนิยมเท่าเดิม เรียกง่ายๆ ว่ามันไม่ในอยู่ในกระแส แต่ช่วงปี 2013 คือการกลับมาอีกครั้งของเทรนด์ Camoflage โดยใน Fashion โชว์ที่ Paris แบรนด์อย่าง Valentino , Kenzo และ Dries Van Noten นำลาย Camo กลับมาขึ้นรันเวย์อีกครั้งแต่การกลับมาครั้งนี้ พวกเขาได้เพิ่มความหลายของสีสันที่มีความแปลกประหลาด และลวดลางทางแบบใหม่แต่สวยงาม ซึ่งต่างจาก Pattern เดิมๆ อย่างเช่น Pink Camo, Blue Camo จึงทำให้เทรนด์ Camo กลับมา Hot Hit อีกครั้งจนถึงปัจจุบันนี้

Kenzo spring/summer 2013

จะว่าไปแล้วประเทศเราก็เป็นประเทศที่มีความ Sensitive เกี่ยวกับเครื่องแบบ หรือแฟชั่นลายพรางทหาร พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มีกฎหมายห้ามแต่อย่างใด แต่กับบ้างประเทศแล้ว ลายพรางเนี่ยถูกบังคับห้ามใส่ถ้าคุณไม่ใช่ทหารที่รับใช้ชาติ อาทิ Barbados , Aruba และอีกบางประเทศในแถบ Carribean แต่ที่เข้มงวดที่สุดถึงขั้นออกกฎหมายห้ามมีการใช้ลายพรางทั้งทางการทหาร และพลเรือนเลยนั้นก็คือประเทศ Zimbabwe

และเนี่ยก็เป็นประวัติความเป็นของ Camouflage ที่เรานำมาฝากชาว UNLOCKMEN ซึ่งถ้าใครไม่อยากตกเทรนด์แล้วละก็ เราแนะนำมาให้รีบหาเสื้อผ้าแนว Camo มาติดตู้เสื้อผ้าไว้สักชิ้น จะเป็นส่วนไหนก็เอาที่ชอบตามสบายได้เลย แล้วเราก็ขอส่งท้ายด้วยภาพ Street style ของ Camo เทรนด์ให้ทุกได้เอาไปเป็น Inspired ในการแต่งตัวต้อนรับปี 2016 ที่จะมาถึงนี้

ที่มา Indepedent , Camohistory