5 วิธีที่จะสร้างแรงจูงใจ และสลัดความรู้สึก “ขี้เกียจ” ในการทำงานให้หายออกไปอย่างได้ผล

หลายๆ คนคงเคยตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า มีสิ่งที่จะต้องทำ หรือมีงานให้สะสางมากมายรออยู่ แต่ความรู้สึกภายในใจกลับไม่อยากแม้แต่ที่จะลุกขึ้นมา มันรู้สึกเหมือนกับขาดแรงจูงใจ และแรงกระตุ้นอะไรบางอย่างในชีวิตไป จนอาจจะเรียกได้ว่า “ขี้เกียจ” ทำอะไรไปซะทุกอย่าง ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะมันปฎิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า ทุกคนต้องเคยเจอกับความรู้สึกนี้ เพราะฉะนั้น วันนี้เราจึงได้มีวิธีแก้ไข และกระตุ้นตัวเองให้หลุดออกจากช่วงเวลาที่ขาดแรงจูงใจ จนกลายเป็น “คนขี้เกียจ” ด้วย 5 วิธีที่เราได้เตรียมมาในวันนี้

ก่อนอื่นให้คุณลองคิดก่อนเลยว่า จริงหรือ? ที่ตัวคุณสามารถนั่งเปื่อยๆ เฉยๆ ไปได้ตลอด จริงอยู่ว่า บางคนอาจจะสามารถทำได้ แต่นั่นเป็นเหมือนการสะสมปัญหาที่รอการสะสางให้พอกเอาไว้ และยิ่งทิ้งไว้นาน มันก็จะยิ่งทำให้คุณยิ่งไม่อยากจะกลับมาเคลียร์มัน แถมยังทำให้คุณมีเรื่องเครียดมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย ดังนั้นเมื่อคุณตระหนักถึงจุดนี้ได้แล้ว ให้คุณลองทำตามสิ่งต่อไปนี้ได้เลย

1. Break down your big tasks

ให้คุณเริ่มวางแผน และเรียงลำดับความสำคัญ และความยากของงาน โดยให้คุณเริ่มที่งานยาก และใหญ่ก่อน จริงอยู่ว่า มันอาจจะฟังดูเป็นไปได้ยาก สำหรับคนที่ตกอยู่ในอารมณ์ “ขี้เกียจ” จะทำมัน แต่คุณต้องเด็ดเดี่ยว ฝืนทำมันไปให้ได้ เมื่อคุณเคลียร์งานใหญ่ไปได้ชิ้นนึง ก็ให้ไล่ลงมาที่งานที่มีความยาก หรือใหญ่รองลงมา เป็นลำดับแบบนี้ไปเรื่อยๆ การทำแบบนี้ จะช่วยให้คุณเริ่มกลับเข้าสู่โหมดการทำงานอย่างต่อเนื่อง แถมยังมีแรงจูงใจในการทำงาน และแก้ไขปัญหาได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

2. Get your body moving.

บางครั้งความ “ขี้เกียจ” เกิดขึ้นเนื่องจากการที่เราคิด แต่ไม่ยอมทำ ไม่ยอมแม้แต่จะขยับร่างกายทำอะไรสักอย่าง และนั่นคือเรื่องจริงที่ว่า เมื่อร่างกายของคุณไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างเพียงพอ มันสามารถทำให้สภาพจิตใจตกอยู่ในสภาวะขี้เกียจที่จะตอบสนองต่อสิ่งใดๆ วิธีการง่ายๆ ที่จะสลัดความเปื่อยของตัวเองออกไปได้ เมื่อรู้สึกว่าความขี้เกียจกำลังจะเข้าครอบงำก็คือ ให้คุณลุกขึ้นเดินไปรอบๆ บ้าน ที่ทำงาน หรือสถานที่ที่คุณอยู่ ขยับแข้งขยับขา ให้เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายมากขึ้น โดยการทำสิ่งนี้ จะช่วยให้ร่างกายกระตุ้นให้ตัวคุณเองมีพลังงานมากขึ้น เพราะเมื่อคุณอยู่เฉยๆ เป็นเวลานานๆ ร่างกายก็จะเข้าสู่โหมดแห่งการพักผ่อน จนอาจทำให้ง่วง และขี้เกียจได้นั่นเอง

3. Just focus on one thing.

ถ้าคุณรู้สึกขี้เกียจเนื่องจากมีงานจำนวนมากมายรอคุณอยู่ จนคุณไม่รู้ที่จะเริ่มต้นทำอะไรก่อน-หลัง จุดนี้เองที่เป็นเหตุ และสามารถทำให้แรงจูงใจในการทำงานของคุณลดฮวบไปได้อย่างรวดเร็ว วิธีแก้ไขก็คือ ให้คุณเลือกงานที่รู้สึกที่ยาก และใหญ่ที่สุดมาก่อน ตามอย่างที่เราพูดไว้ในข้อ 1 จากนั้นให้คุณโฟกัสกับมันแบบเน้นๆ จนรู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีงานอื่นรอคุณอยู่ วิธีการนี้จะทำให้งานคุณเสร็จเร็วขึ้น อีกทั้งยังทำให้คุณมีแรงจูงใจมีไฟในการทำงานในส่วนที่เหลือต่อขึ้นมาทันที เมื่องานชิ้นแรกเสร็จลุล่วงไปแล้ว เพราะคุณรู้ว่าเมื่อคุณโฟกัสแบบนี้ที่งานอื่นที่เหลือต่อไป มันก็จะสามารถเสร็จได้ไม่อยากเช่นกัน

4. Take a break to recharge.

อีกหนึ่งวิธีที่หลายๆ คนชอบใช้เมื่อพบว่าตัวเองกำลังเข้าสู่ช่วงไร้แรงจูงใจ และขี้เกียจในการทำงาน ก็คือ หยุดทำมันซะ!! ให้เวลาในการพักผ่อน กับตัวเองแบบเต็มที่ไปเลย แต่ก็ต้องมีเวลาจำกัดสิ้นสุดอย่างเข้มงวดด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น อาจจะตั้งเป้าไว้ว่า ขอหยุดพักทุกสิ่งทุกอย่าง ไปเที่ยวทะเล เพื่อปรับปรุงอารมณ์ ทำตัวเองให้สดชื่น มีอารมณ์ที่ดี เป็นเหมือนการชาร์จแบตเพิ่มพลังให้กับตัวเอง แล้วจะกลับมาลุยงานทุกอย่างให้เสร็จภายในเวลา 2 วัน และเมื่อครบช่วงเวลา 2 วันที่คุณได้ไปตักตวงสิ่งที่คุณต้องการจนมีความสุขหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาที่ปลดปล่อยพลังงานที่ชาร์จมาจนเต็ม ลุยงานกันให้เต็มที่ไปเลย

5. Give yourself a reward.

มีงานวิจัยมากมายแสดงให้เห็นว่า คนเรามีแนวโน้มที่จะทำงานอย่างเต็มที่ ถ้าคนเหล่านั้นมีบางสิ่งที่สามารถจูงใจพวกเค้าได้อย่างเช่น การมีของขวัญ โบนัส หรือรางวัลเป็นสิ่งตอบแทน เพราะฉะนั้น ลองให้คุณตั้งรางวัลให้กับตัวเองบ้าง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น บอกกับตัวเองว่า เมื่อทำงานนี้คุณจะได้นั่งจิบเบียร์เย็นๆ พร้อมทั้งนั่งดูถ่ายทอดสดฟุตบอลคู่โปรดได้อย่างไร้กังวล หรืออาจจะเป็นการไปนวด Spa ผ่อนคลายสักทีให้หายเมื่อยหายเหนื่อย เพื่อให้เกิดแรงจูงใจที่และมีความสุขอย่างเต็มที่ โดยที่ไม่มีอะไรติดค้างต้องกังวลอีกต่อไป

และนี่ก็คือ 5 วิธีสร้างแรงจูงใจ และสลัดความรู้สึกขี้เกียจในการทำงาน ที่เราได้นำมานำเสนอให้ทุกคนได้ลองนำไปใช้กันในวันนี้ เพราะฉะนั้นหากใครที่กำลังรู้สึกว่า ตัวเองกำลังที่จะเริ่มๆ เข้าสู่โหมดขี้เกียจ หรือไร้ซึ่งแรงจูงใจในการทำงานอยู่พอดี ขอให้รีบลองทำตามดู แล้วจะรู้ว่ามันได้ผลจริงๆ

SOURCE