Life

Pharrell Williams อัจฉริยะที่ต้องใช้ความอดทนและพยายามร่วม 10 ปี

By: Thada July 26, 2016

เรื่องของการที่คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิต อายุไม่ใช่เรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในด้าน  Art , Music, Film  เพียงแต่คุณต้องไม่ย่อท้อ มุ่งมั่นทำงานหนักต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เช่นเดียวกับ  Pharrell Williams  ชายผู้ผ่านร้อนผ่านหนาว ล้มลุกคลุกคลานมาแบบนับไม่ถ้วน จนปัจจุบันได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการเพลงและแฟชั่นของโลก

160726-pharrell-1

Pharrell Williams  ปัจจุบันอายุ  43  ปี หลายคนจดจำเขาได้ในฐานะศิลปิน นักร้อง โปรดิวเซอร์ และ ดีไซเนอร์  แต่ไม่ใช่ว่าจะอยู่เฉยๆ แล้วประสบความสำเร็จได้เหมือนในหนังละคร  Pharrell  เริ่มเล่นดนตรีตั้งจำความได้ ก่อนที่เขาจะได้พบกับ  Chad Hugo  ตอนเกรด  7  (มัธยม  1)  ผู้ที่มีส่วนสำคัญในเส้นทางนักดนตรีของเขา ทั้งคู่ร่วมเล่นดนตรีด้วยกันจนอายุได้  17  ปี ก่อนจะมาตั้งกลุ่ม  The Neptunes  ทำเพลงสไตล์  R&B  และมีสมาชิกเพิ่มคือ  Shay Haley  และ  Mike Etheridge  จนได้เซ็นสัญญากับ  Teddy Riley  ในที่สุด แต่ยังไม่ได้ออกอัลบั้มในช่วงนี้แต่อย่างใด

160726-pharrell-4

Pharrell Williams, Chad Hugo

ระหว่างที่ทำงานกับ  Riley  ตัว  Pharrell  ก็ไม่เคยทำตัวเรื่อยเปื่อย แต่คอยพัฒนาความสามารถของตัวเองอยู่เสมอ โดยการเขียนเพลง และช่วยโปรดิวซ์ให้กับ  Wreckx-N-Effect  และยังไปร่วม  Rap Solo ให้กับวง  SWV  จนทำให้ทั้งคู่ไปเจอกับศิลปินดูโอ้  Clipse  และได้ชักชวน  Pharrell Williams  และ  Chad Hugo  ไปเซ็นสัญญาทำงานเบื้องหลังกับ  Arista Records  ในปี  1994   ภายใต้ชื่อ  The Neptunes  โปรดิวซ์เพลง และทำซาว์ดให้กับศิลปินชื่อดังหลายคนเช่น  Blackstreet, Mase’s, N.O.R.E  และ  Kelis  เป็นต้น

160726-pharrell-8

จากจุดนั้นเองที่ทำให้  The Neptunes  เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น และก้าวขึ้นมาโปรดิวซ์เพลงให้กับศิลปินเบอร์ใหญ่ๆ อย่าง  Britney Spears  ในเพลง  I’m A Slave 4 U  ซึ่งฮิตกระจายไปทั่วโลก ซึ่งในปีเดียวกันนี้เอง ที่  Pharrell  ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่พวกเขาจะออกมาสร้างผลงานเบื้องหน้ากันบ้าง โดยใช้ชื่อกลุ่มว่า  N*E*R*D  ที่ประกอบไปด้วย William, Hugo  และ  Haley  อีกครั้ง เพื่อออกอัลบัมชื่อ  In Search of…..  ที่วางขายเฉพาะในยุโรป ซึ่งมันถูกวิจารณ์ว่าเหมือนกับผลงานที่เคย  produce  ให้กับศิลปินคนอื่นจนแยกไม่ออก ในปีต่อมาพวกเขาจึงหันมาใช้เครื่องดนตรีแบนด์อัดเสียงและวางจำหน่ายทั่วโลก แม้จะเปิดตัวอยู่ที่อันดับ  56  ของ  Billboard chart  แต่ถ้าเทียบกับความสำเร็จ และความคาดหวังจากสมัยที่ทำงานเบื้องหลังในฐานะ  The Neptunes  ก็ถือว่าน่าผิดหวังอย่างมาก

160722-pharrell-15

160722-pharrell-14

ก่อนพวกเขาจะกลับไปทำงานเบื้องหลัง โดยการนำเพลงที่ตัวเองเคยโปรดิวซ์ทั้งหมดมามิกซ์ใหม่ และวางขายในปี 2003  ใช้ชื่ออัลบั้มว่า  The Neptunes Present…Clones  ซึ่งครั้งนี้ผลงานสามารถพุ่งขึ้นอันดับหนึ่งของ Billboard Chart  ได้สำเร็จ ทำให้  Pharrell Williams  ถูกจับตามอง และยกย่องในฐานะ  Producer  มือฉมัง จนศิลปินอีกหลายคนอยากดึงตัวไปร่วมงาน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง อย่างเช่นอัลบั้ม  Black Album  ของ  Jay-Z  ก็ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย

160726-pharrell-6

N*E*R*D

และก็ได้คิวกลับมาออกอัลบั้มสองของโปรเจค  N*E*R*D  ซึ่งมีการเปลี่ยนแนวมาเป็น  Funk-Rock  ในชื่อ  Fly or Die  สามารถทำยอดขายได้ถึง  412,000  ก็อปปี้ในสหรัฐ ถือว่าไม่ได้เลวร้าย แม้จะยังไม่ได้ถึงระดับ  Masterpieace  แต่ชื่อของ  Pharrell  ก็ล้ำหน้าเพื่อนๆ ในกลุ่มไปไกลแล้ว เพราะเขาได้ไปร่วมแสดงในงาน  2004 Grammy Awards  กับ Sting, Dave Matthews และ Vince Gill รวมถึงได้รับรางวัล Producer of the year และ Best Pop Vocal Album ในเวทีเดียวกันนี้

160726-pharrell-5

160726-pharrell-3

ระหว่างนี้เองเขาก็เริ่มเปิดไลน์แฟชั่นที่ทำร่วมกับ Fashion Icon ของญี่ปุ่นอย่าง Nigo ในการสร้างแบรนด์สตรีทแวร์ที่ชื่อ Billionaire Boys Club และ Ice Cream Footwear ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากๆ ทั้งในญี่ปุ่น และอเมริกาจนลามไปทั่วโลก จุดเด่นของแบรนด์นี้ คือการคัดสรรวัสดุคุณภาพสูง และดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งผลิตออกมาในจำนวนจำกัด นั่นยิ่งทำให้สินค้าแต่ละชิ้นมีความพิเศษ และต่างเป็นที่ต้องการของเหล่านักแต่งตัวแนวสตรีททั้งหลาย

160722-pharrell-17

กลับมาที่งานดนตรี หลังจากสะสมประสบการณ์มานับสิบปี  Pharrell Williams  คิดว่าถึงเวลาที่จะฉายเดี่ยวแล้ว เขาจึงปล่อยซิงเกิลแรกที่ชื่อ  Can I Have It Like That Ft. Gwen Stefani  ที่แม้จะล้มเหลวอย่างมากในตลาดสหรัฐ แต่น่าแปลกใจที่ซิงเกิลเดียวกันนี้กลับประสบความสำเร็จอย่างสวยงามในตลาดยุโรป เขาจึงตัดสินใจปล่อยอัลบั้มเต็ม  In My Mind  เฉพาะแค่ในยุโรปเท่านั้น

160722-pharrell-16

เหมือนกราฟชีวิตของ  Pharrell  กับการเป็นศิลปินเดี่ยวจะยังไม่ถูกจังหวะ ทำให้เขายังคงวนเวียนกลับไปทำงานโปรดิวซ์อยู่เป็นระยะๆ คราวนี้โปรไฟล์ของเขาก็แน่นขึ้นเมื่อได้ทำเพลงให้กับศิลปินระดับ  Platinum  อย่าง  Madonna, The Strokes, Maroon 5, Beyonce  อีกมากมาย และเขาก็ยังคงทำงานหนักเพื่อสร้างสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาเป็นระยะๆ

จุดพีคของ Pharrell จริงๆ คือในปี  2013  ที่เขาได้เป็นหนึ่งในทีมงานอัลบั้มแห่งปีอย่าง  Random Access Mermories  ของ  Daft Punk  และเพลงที่แจ้งเกิดให้เขาเลยก็คือเพลง  Get Lucky  ที่กวาดรางวัลมากมายไปตั้งที่บ้านได้เพียบ และในปีเดียวกันเพลง  Blurred Lines  ของ  Robin Thicke  ที่  Pharrell  เป็นคนโปรดิวซ์ ก็พุ่งทะยานไปขึ้นอันดับ  1  ของ  Billboad chart  ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เขาเป็นหนึ่งใน 12 ศิลปินของโลกที่มีเพลงของตัวเองอยู่ในชารต์อันดับ 1 และ 2 ในเวลาเดียวกัน

ตีเหล็ต้องตีตอนร้อน  ความสำเร็จของ  Pharrell  ยังคงลากยาวไปยังอัลบั้มชุดที่สองในชื่อ  Girl  ที่ได้เพลงฮิตติดหูอย่าง  Happy  เพลงประกอบภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง  Despicable Me 2  ซึ่งแนวดนตรีแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ลบความเป็น  Rapper  ออกไป ใส่กลิ่นอายของโซล Funk เข้าไปแทน

160726-pharrell-9

คนมันจะรุ่งจะอะไรก็ฉุดไม่อยู่ ภาพของเขาก่อนหน้านี้อาจจะเป็นที่รู้จักเพียงในอเมริกา แต่หลังจากความสำเร็จดังกล่าว  Spotlight  ทุกดวงเลยหันไปที่  Pharrell  รายการ  The Voice  ซึ่งต้องหาโค้ชมานั่งเก้าอี้แทน  C Lo Green  ที่ขอออกไปทุ่มเทกับงานอัลบั้มของตัวเอง  Pharrell  Williams  ก็เลยได้มาเสียบ และเพียงปีที่สองที่มาร่วมรายการ เขาก็พาเด็กหนุ่มอายุ 16  Sawyer Fredericks  คว้าแชมป์ในซีซั่นที่ 8 ไปครอง

160722-pharrell-10

160722-pharrell-11

160722-pharrell-12

นอกจากจะดังด้านดนตรีถึงขีดสุดแล้ว  Pharrell  ก็ยังมีสไตล์การแต่งตัวที่ถือว่าดีมาก ถึงขั้น  Adidas  ต้องจับ  Pharrell  มาเซ็นสัญญายาวเพื่อทำ  Collaboration  ร่วมกันมาแล้วหลาย  collection  ซึ่งปัจจุบันก็มี  Pharrell Williams x Adidas Consortium “Solid Pack” Collection, Pharrell Williams x Adidas Originals “Polka Dot” Pack, Pharrell Williams x Adidas Originals Superstar “Supercolor”  และล่าสุดอย่าง NMD Human Race

160726-pharrell-7

ในปัจจุบัน  Pharrell Williams  ถือว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่ง และก็ไม่ได้หยุดนั่งนับเงินสบายๆ อยู่แค่นั้น ปัจจุบันยังก่อตั้ง  i Am Other  เป็นกิจการเกี่ยวกับ  Entertainment Multimedia  ครอบคลุมทั้งดนตรี แฟชั่น ศิลปะ รวมถึงเป็นค่ายเพลง ที่รองรับผลงานของตัวเขาเอง และไลน์แฟชั่นอย่าง  Billionaire Boys Club, Ice Cream รวมถึงรายการทีวี ทำให้  Pharrell  เป็นศิลปินที่มี  Net Worth  อยู่ที่  $120  ล้านเหรียญในปีที่ผ่านมา

ชีวิตของ  Pharrell Williams  ก็ทำให้เราได้ข้อคิดว่า ฝีมือนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่หากปราศจากความอดทนก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้ อย่าง  Pharrell  ที่แม้จะเป็นคนมากความสามารถ แต่ก็ยังต้องอาศัยความอดทนเป็นเวลาร่วม  10  ปี กว่าจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองได้ ถ้าวันนั้นเกิดยอมแพ้หันไปทำอย่างอื่น โลกนี้ก็อาจจะไม่มีใครรู้จักผู้ชายที่ชื่อ  Pharrell Williams

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line