‘Bloody Mary’ ค็อกเทลสีแดงสดจากวอดก้าและน้ำมะเขือเทศแก้วนี้ คงไม่ใช่เครื่องดื่มที่ถูกจริตกับผู้ชายอย่างเรามากเท่าผู้หญิง ยิ่งถ้าเทียบกับคลาสสิกค็อกเทลหัวรุนแรงแก้วอื่น ๆ บอกเลยว่า Bloody Mary ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีเท่าไรนัก แต่เราเชื่อว่าค็อกเทลแต่ละแก้วล้วนมีเรื่องราว รสชาติ และความพิเศษเฉพาะตัว ซึ่ง Bloody Mary ก็เป็นหนึ่งในค็อกเทลที่น่าสนใจไม่แพ้แก้วไหน วันนี้ UNLOCKMEN เลยขอเสิร์ฟเรื่องราวของค็อกเทลสีแดงสดรสจัดจ้านแก้วนี้ ไม่แน่ว่าอึกแรกที่ยกดื่มอาจเปลี่ยนนัยน์ตาหรี่ปรือของคุณให้เบิกโพลงได้ทันควัน ส่วนผสมหลักของ Bloody Mary คือน้ำมะเขือเทศ น้ำแข็ง และวอดก้า สุรากลั่นไร้สีจากรัสเซียที่ถูกใช้เป็นเบสของค็อกเทลหลากชนิด ตั้งแต่ Screwdriver, White Russian ไปจนถึง Vodka Martini ว่ากันว่าค็อกเทลแก้วนี้ได้สามารถรักษาอาการเมาค้างได้ดี เมื่อดื่มจะรู้สึกถึงรสชาติเผ็ดร้อน สดชื่น และร้อนรุ่มไปทั่วร่างกาย แต่สูตรและกรรมวิธีการทำค็อกเทลชนิดนี้วิวัฒนาการและดัดแปลงไปตามยุคสมัย เพื่อให้ถูกปากกับนักดื่มแต่ละคน จึงมีทั้งบาร์เหล้าที่เสิร์ฟ Bloody Mary แบบดั้งเดิม และบาร์ที่เติมเกลือ พริกไทยดำ หรือพริกชี้ฟ้าบ่นเพิ่มเข้าไป ราชินีอังกฤษผู้กระหายเลือด บ้างว่าชื่อค็อกเทล Bloody Mary ตั้งตามราชินีในศตวรรษที่ 16 นามว่า
ต้องบอกว่าการเล่นเซ็กซ์และรสนิยมทางเพศของคนในยุคนี้ ก้าวหน้าไม่แพ้เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย เมื่อโลกหมุน เปลี่ยนแปลง และเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอาพฤติกรรมของมนุษย์เปลี่ยนตามไปด้วย ผู้ชายบางคนชื่นชอบการมีเซ็กซ์แบบรุนแรง รู้สึกดีที่ได้ทรมานคนอื่นให้เจ็บปวด หลงรักห้วงเวลาที่สวมบทบาทเป็นเจ้านายกับทาสสาว แถมยังสะใจทุกครั้งหากได้สบถคำหยาบในระหว่างร่วมรัก โดยมีเชือก โซ่ แส้ กุญแจมือ และความร้อนวาบของน้ำตาเทียนช่วยให้เซ็กซ์ของพวกเขาสมบูรณ์ขึ้น UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ ไปขุดคุ้ยต้นตอของเซ็กซ์ซาดิสม์ที่มีมาตั้งแต่อดีตและคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน เตรียมลิ้มรสความทรมานและซึบซาบความเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กัน! ความซาดิสม์แห่งอดีตกาล เราเชื่อว่าทุกคนล้วนมีด้านมืดซ่อนอยู่ในตัวทั้งนั้น แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะปลดปล่อยมันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ใต้มวลความมืดที่ซ่อนอยู่ในจิตใจใครหลายคน คงไม่มีอะไรมืดมิดดำสนิทและขมุกขมัวได้เท่ากับด้านมืดของมาร์กีส์ เดอ ซาด (Marquis de Sade) ชายชาวฝรั่งเศสผู้เป็นต้นกำเนิดของคำว่า ‘ซาดิสม์’ เขาเสพติดความรุนแรงและสุขใจที่ได้มีเซ็กซ์สัมพันธ์บนความเจ็บปวดของหญิงสาว ซาดว่าจ้างโสเภณียกซ่องมามั่วเซ็กซ์ที่ปราสาทหลังแต่งงานได้ 7 วัน เขาพันธนาการและทารุณพวกเธออย่างโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ จับมัดมือมัดเท้า เฆี่ยนตีจนบอบซ้ำ ก่อนจะเสพสมทางเพศอย่างสบายใจ แถมไอ้ตานี่ยังปลุกปล้ำนิยายลามกจกเปรตจนโด่งดังกระฉ่อนโลก พรรณนาความซาดิสม์และรสนิยมวิปริตของเขาผ่านตัวหนังสือที่ไม่อาจบรรยายเป็นภาษาได้ จากผลงานอื้อฉาวแห่งยุคทำให้เหล่านักวิชาการนำชื่อของเขามาดัดแปลงเป็นคำศัพท์ ‘SADISM’ นิยามถึงอาการทางจิตชนิดหนึ่งที่ชอบเสพเซ็กซ์และระบายความใคร่อยากด้วยการทารุณ ความซาดิสม์ในปัจจุบัน คนซาดิสม์คือผู้ที่มีความสุขจากการทรมานคนอื่น ไม่ว่าจะก่อนมีเซ็กซ์หรือระหว่างมีเซ็กซ์ก็ตาม พวกเขามักเพลิดเพลินเมื่อได้สร้างความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจแก่ผู้ร่วมรัก ซึ่งทางการแพทย์มองว่านี่เป็นการปลดปล่อยจินตนาการทางเพศที่ถูกระงับไว้ เป็นเหมือนสิ่งที่ช่วยชดเชยบางอย่างในชีวิตพวกเขา และนับเป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่ง
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาถือเป็นอีกวันสำคัญของมนุษยชาติ เพราะมันคือวันครบรอบ 50 ปีที่ยานอวกาศ Apollo 11 ขึ้นไปเหยียบบนดวงจันทร์ และเป็นวันที่มนุษย์ได้ประทับรอยเท้าบนดาวเคราะห์ขรุขระดวงนี้เป็นครั้งแรก นอกจาก Neil Armstrong, Michael Collins, Buzz Aldrin และทีมนักอวกาศที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับโลก หนุ่ม ๆ หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแบรนด์กล้องสุดหรูสัญชาติสวีเดนอย่าง HASSELBLAD ก็มีบทบาทไม่น้อยในภารกิจอันใหญ่หลวงนี้ กล้องที่เคยบันทึกภาพประวัติศาสตร์เมื่อ 50 ปีที่แล้ว หากเปิดบันทึกประวัติศาสตร์ย้อนไปเมื่อประมาณ 50 ปีก่อน จะรู้ว่า HASSELBLAD ได้รับคัดเลือกจาก NASA ให้ผลิตและจัดหากล้องที่จะไปสำรวจดวงจันทร์พร้อมกับยาน Apollo 11 โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นกล้องที่แข็งแรงทนทาน สามารถยืนหยัดต่อสู้กับอุณหภูมิ -270 องศาเซลเซียสและภาวะขาดแรงโน้มถ่วงของอวกาศได้เป็นอย่างดี แบรนด์กล้องสวีเดนเจ้านี้จึงส่ง HASSELBLAD DATA CAMERA (HDC) สีเงิน พร้อมเลนส์ Zeiss Biogon 60 มม. ƒ/5.6 ให้ Neil Armstrong
คุณเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริงไหม? ไม่ผิดถ้าจะตอบว่า “จริง” แล้วก็ไม่ผิดหากจะตอบว่า “ไม่” เพราะโลกในตอนนี้เปิดกว้างและยอมรับความคิดเห็นมากกว่าในยุคก่อน แม้จะไม่ได้กว้างขนาดที่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง แต่ต้องยอมรับว่าการแสดงทัศนคติที่ผิดแผกไปจากคนอื่น ก็ไม่ได้ถูกลงโทษร้ายแรงถึงขั้นขับไล่ออกนอกประเทศ (ในทางพฤตินัยและนิตินัย) แต่หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 2,500 ปีก่อน โลกเราไม่ได้มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นเฉกเช่นตอนนี้เลยสักนิด นักปราชญ์ผู้มองเห็น ‘ต่าง’ จากคนอื่น Anaxagoras คือนักปราชญ์ในยุคกรีกโบราณที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ด้านดาราศาสตร์ เขาประจำการอยู่ที่กรุงเอเธนส์และเฝ้าสังเกตระบบสุริยะอย่างระแวดระวัง ทั้งยังวิเคราะห์และคำนวณถึงความเป็นไปได้ ค้นหาหลักฐานมากมายเกี่ยวกับดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ โลก ตลอดจนอวกาศ เพื่อหวังปลดล็อกความลึกลับของจักรวาลที่ใครหลายคนยังไม่รู้ นักปราชญ์ผู้นี้เชื่อว่าดวงจันทร์เป็นก้อนหินที่โลกยุคแรกเหวี่ยงขึ้นไปในอวกาศ ขณะที่ดวงอาทิตย์ก็เป็นก้อนหินเหมือนกับโลกและดวงจันทร์ แต่จะต่างตรงที่มันมีไฟลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา Anaxagoras ยังพิสูจน์อีกว่าแสงของดวงจันทร์แท้จริงแล้วเกิดจากการสะท้อนของแสงอาทิตย์ ซึ่งเขานำสมมติฐานดังกล่าวไปต่อยอดและอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ แต่ท่ามกลางจารีต ประเพณี และสังคมโลกโบราณ ดูเหมือนความคิดสุดโต่งของนักปราชญ์ผู้นี้จะไม่เป็นที่ยอมรับและขัดต่อศาสนา ร้ายกว่านั้นคือเขาถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้า มีคนอ้างว่าเขาก้าวร้าว หยิ่งยโส และท้าทายอำนาจพระผู้เป็นเจ้า จนท้ายที่สุดเขาถูกจับกุมและตัดสินประหารชีวิต ในขณะที่หลายฝ่ายกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด โชคยังเข้าข้าง Anaxagoras ไม่นานนักเขาถูกละโทษประหารชีวิตและปลดปล่อยจากการจองจำ แต่สำหรับผู้ที่กล้าตั้งคำถามและท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของดวงจันทร์ผู้เป็นพระเจ้า ก็ต้องถูกเนรเทศออกจากเมืองเอเธนส์ไปในที่สุด สมมติฐานที่เป็นประโยชน์ต่อวงการดาราศาสตร์ จากความคิดไร้แก่นสารที่คนในยุคกรีกโบราณพากันกุมขมับ กลายมาเป็นสมมติฐานชิ้นสำคัญในวันที่โลกเจริญกว่าวันก่อน สมมติฐานของ Anaxagoras ช่วยนำ George Darwin ลูกชายของ
ถ้าพูดถึงญี่ปุ่น พวกคุณนึกถึงอะไร? ความเรียบง่าย ศาลเจ้าเก่า บ่อออนเซ็น ฟูจิ แฟชั่นวัยรุ่น ราเมนจานยักษ์ หรือเมนูซูชิ ? เรารู้จักญี่ปุ่นในฐานะประเทศที่เจริญแล้วแห่งทวีปเอเชียและผู้นำด้านเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่หลังฉากของประเทศมินิมัลที่ใครหลายคนอยากมาเยือน ก็นำเสนอมุมมืดของความอนาจารและสื่อลามกอย่างโจ๋งครึ่ม มันอยู่เหนือบรรทัดฐานใด ๆ ทางสังคมและหยั่งรากลึกแฝงตัวลงในวิถีชีวิตของคนที่นี่ แม้ประมาณ 2 ปีก่อนจะมีข่าวและงานวิจัยจำนวนมากบอกว่าญี่ปุ่นได้วางมือจากเรื่องเซ็กซ์และเหนื่อยหน่ายกับกามตัณหาแล้ว แต่เมื่อได้กลับมาเยือนประเทศอาทิตย์อุทัยแห่งนี้อีกครั้ง ทำให้เราไม่เชื่อที่งานวิจัยอ้างไว้สักนิด ด้านสีเทาของประเทศเมืองเกาะ เชื่อว่าจินตนาการภาพของแดนปลาดิบที่แวบเข้ามาในหัวหนุ่ม ๆ คงต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่มุมมองอีกด้านของประเทศแห่งนี้ เซ็กซ์และเสรีทางเพศอันแสนเปิดกว้างขโมยความสนใจเราไปได้เต็มเปา แม้กำแพงวินัยและความรับผิดชอบจะถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งกล้า แต่ด้านหลังกลับซุกซ่อนความกระเหี้ยนกระหือรือและการปลดปล่อยความใคร่อยาก ผ่านวัฒนธรรมทางเพศที่ไม่มีศีลธรรมจรรยามาคอยกุมบังเหียน เซ็กซ์เสรีและการแสดงออกที่เปิดเผย แรงขับเคลื่อนทางเพศอันแข็งกร้าวถูกแสดงออกผ่านป้ายโฆษณาลามก แหล่งชอปปิงที่เรียงรายด้วยร้านเซ็กซ์ช็อป ร้านคาราโอเกะเบื้องหน้าที่ซ่อนความน่าค้นหาเบื้องหลัง และแม้จักรวาลมังงะกับการ์ตูนแอนิเมชันญี่ปุ่นจะทรงพลังมากแค่ไหน ก็ยังมีที่ว่างมากพอให้การ์ตูนโป๊เปลือยโดจินแทรกตัวเข้าไปอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงรายการโทรทัศน์ที่อัดแน่นด้วยเกมโชว์ติดเรต เปิดสงครามให้หนุ่ม ๆ แข่งขันความอึด ว่าใครจะอดกลั้นต่อความเสียวและสำเร็จความใคร่ได้เป็นลำดับสุดท้าย ยังไม่นับบุฟเฟต์ซูชิบนเรือนร่างหญิงสาวที่สร้างอรรถรสในการกินและเปลี่ยนความอยากกระหายให้กลายเป็นอิ่มท้องได้อย่างน่าแปลกใจ มีเหตุผลมากมายที่ทำให้หลายคนรวมทั้งตัวเราเองคิดว่าประเทศนี้เปิดกว้างเรื่องเพศ นำมาสู่ความสงสัยใคร่รู้ว่าเหตุใดแดนปลาดิบแห่งนี้จึงถูกขนานนามว่าเป็น “ประเทศฟรีเซ็กซ์” งานศิลปะส่อเพศในอดีต? การเปิดเผยเรื่องเซ็กซ์หาได้เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนญี่ปุ่น ย้อนไปในปี 1772 ภาพพิมพ์ ‘Shunga’ งานศิลป์สื่อเซ็กซ์ได้ปรากฏขึ้นบนหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ ‘Shunga’ เป็นภาพที่มีเนื้อหาส่อไปทางเพศอย่างอล่างฉ่าง ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศจนนำมาซึ่งการสำเร็จความใคร่ของคนในสมัยก่อน แม้คำว่า
รอยยิ้มคือตัวแทนความรู้สึกที่ครอบคลุมอารมณ์หลากหลาย อย่างที่รู้กันดีว่าแต่ละรอยยิ้มล้วนมีนิยามต่างกัน แต่มีอยู่รอยยิ้มหนึ่งที่จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครกล้านิยามความหมาย รอยยิ้มของสุภาพสตรีที่แฝงไปด้วยปริศนา รอยยิ้มอันโด่งดังที่ทำให้คนงุนงงและครุ่นคิดมากว่า 5 ศตวรรษ เป็นรอยยิ้มที่ถูกจารึกไว้บนหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ศิลปะ ภาพวาดที่ทิ้งความสงสัยเอาไว้หลายชั่วอายุคน เจ้าของรอยยิ้มที่ว่าคือโมนาลิซา สตรีแห่งเมืองฟลอเรนซ์ที่ปรากฏกายอยู่บนภาพเขียนของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ภาพเขียนสีน้ำมันบนพื้นไม้ภาพนี้มีความสูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร และถูกขนานนามว่าเป็นภาพที่ล้ำค่าที่สุดในโลก ด้วยความเย้ายวนชวนหลงใหลจากทักษะการสร้างสรรค์เฉดสีให้ออกมาคลับคล้ายคลับคลามนุษย์ตัวเป็น ๆ บวกกับอัตราส่วนทองคำที่สร้างความสมดุลและสมบูรณ์ให้กับภาพ พร้อมฝีมือการสะบัดฝีแปรงอย่างประณีตบรรจงของจิตรกรเอกแห่งยุค ทำให้โมนาลิซากลายเป็นภาพวาดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 และเป็นตัวแทนของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (The Renaissance Period) จากรอยยิ้มปริศนาที่ฝากเอาไว้บนภาพนี้ แม้จะถูกวาดมาแล้วกว่า 500 ปี แต่ก็ทำให้ภาพเต็มไปด้วยคำถามและน่าค้นหาอยู่เสมอ ในขณะที่รอยยิ้มของโมนาลิซาถูกวิเคราะห์และตีความไปต่าง ๆ นานา เหล่านักประสาทวิทยากลับมองว่ารอยยิ้มของเธอเป็นรอยยิ้มจอมปลอม เมื่อโมนาลิซาไม่ได้มีรอยยิ้มจริงใจ Dr. Luca Marsili, Dr. Lucia Ricciardi และ Matteo Bologna สามนักประสาทวิทยาที่ศึกษาโครงสร้าง การเจริญเติบโต และระบบประสาทของมนุษย์ ร่วมกันทำวิจัยเพื่อตรวจสอบความสมมาตรของริมฝีปากและกล้ามเนื้อบนใบหน้าของโมนาลิซา หวังจะเพิ่มความเข้าใจเชิงลึกให้คนรุ่นหลังได้รู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของงานศิลปะคลาสสิก
หลังซีรีส์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones ลาจอไปหมาด ๆ ทางช่อง HBO ก็ไม่ยอมปล่อยให้กระแสเรตติ้งซา รีบส่งซีรีส์เรื่องใหม่ที่สร้างขึ้นจากเค้าโครงเรื่องจริง ของเหตุการณ์ระเบิดครั้งใหญ่เข้ามาแทนที่ ‘โศกนาฎกรรมแห่งเมืองเชอร์โนบิล’ ที่ได้รับการบันทึกความเลวร้ายไว้ในประวัติศาสตร์ ได้รับการตีความและนำเสนอใหม่โดยใช้ชื่อเดียวกันกับสถานที่ที่เกิดเหตุว่า ‘Chernobyl (2019)’ UNLOCKMEN จะพาคอซีรีส์ทุกคนไปทำความรู้จักกับเมืองเชอร์โนบิลให้มากขึ้น และค้นหาคำตอบไปพร้อมกันว่า เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 26 เมษายน 1986 เพื่อสร้างอรรถรสและเรียกความอินให้กับการดูหนัง เสียงระเบิดและขี้เถ้าที่ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ รุ่งเช้าของวันที่ 26 เมษายน 1986 ย่านชานเมืองเชอร์โนนิลที่เงียบสงบเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลระเบิด ส่งผลให้รังสีและสารเคมีอันตรายจำนวนมากแพร่กระจายสู่ชั้นบรรยากาศปกคลุมทั่วทั้งเมือง ความผิดพลาดที่ทั่วทั้งโลกต้องจดจำเกิดขึ้นจากนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรภายในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทดสอบระบบหล่อเย็นกลางแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่แรงดันไอน้ำกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างฉับพลัน แถมระบบตัดการทำงานฉุกเฉินก็ดันใช้การไม่ได้ ส่งผลให้เครื่องร้อนจัดจนแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลอมละลาย ลุกไหม้ และระเบิดสารเคมีทั้งหลายที่อัดแน่นอยู่ภายในเตาปฏิกรณ์จึงพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ความรุนแรงของรังสีนิวเคลียร์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้สารพิษปกคลุมเมืองไว้กว่า 30 ปี และมีอานุภาพมากกว่ารังสีนิวเคลียร์ที่ถล่มใส่เมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงสี่ร้อยเท่า เปลี่ยนชีวิตผู้คนในเชอร์โนบิลและละแวกใกล้เคียงไปตลอดกาล ทันทีที่เกิดการระเบิดของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 31 คน (บางรายงานบันทึกว่า 28 คน) ทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องปฏิกรณ์และคนงานในโรงงาน แต่ระหว่างที่สารพิษกับรังสีจากนิวเคลียร์กระจายไปทั่วทั้งเมือง แทนที่จะเร่งสั่งให้ประชาชนในพื้นที่อพยพ
ถ้าพูดถึงสารหล่อลื่น หรือ เจลหล่อลื่น คงดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับผู้ชายหลายคน เรามักจะคิดว่าการมีเซ็กซ์ไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้ เนื่องจากในช่องคลอดของผู้หญิงก็มีน้ำหล่อลื่นอยู่แล้ว ทำไมจะต้องใช้เจลหล่อลื่นด้วยล่ะ? ถึงแม้การเล้าโลมและกระตุ้นจุดสำคัญของผู้หญิงจะช่วยเพิ่มความเสียวซ่านและมีผลต่อการหลั่งน้ำหล่อลื่นในช่องคลอด แต่ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะหลั่งน้ำออกมามากพอจนทำให้การสอดใส่เป็นไปอย่างสันติ ฉะนั้นสารหล่อลื่นก็ยังจำเป็นต่อการมีเซ็กซ์ของหนุ่ม ๆ เสมอ นอกจากจะช่วยลดแรงเสียดทานและอาการบาดเจ็บขณะมีเซ็กซ์ ยังทำให้ฉากรักบนเตียงของคุณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นอีกด้วย UNLOCKMEN เลยอยากพาทุกคนย้อนกลับไปดูต้นกำเนิดของสารหล่อลื่นที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อน ถือเป็นตัวช่วยสุดคลาสสิกที่ทำให้เซ็กซ์ราบรื่นไม่สะดุด ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม จุดเริ่มต้นของสารหล่อลื่น ว่ากันว่าสารหล่อลื่นกำเนิดขึ้นในยุคเดียวกับที่มนุษย์คิดค้นเกวียน ในขณะที่สร้างเกวียนเพื่อการขนส่ง บรรพบุรุษเรากลับพบว่าตัวฮับของล้อที่ช่วยลดอาการส่าย ถูกเผาไหม้จากความร้อนและแรงเสียดทานจึงหาวิธีทำให้ฮับเย็นลงด้วยการใช้ ไขมัน น้ำมันมะกอก น้ำ และของเหลวชนิดอื่น ๆ จนท้ายที่สุดพบว่าของเหลวที่มีความหนืดอย่างน้ำมันมะกอก ช่วยกระจายความร้อนได้ดี ช่วยป้องกันไม่ให้ฮับเสียดสีจนดำเป็นตอตะโก แถมยังทำให้ล้อหมุนได้อย่างอิสระมากขึ้น นักวิชาการจึงคาดว่าการค้นพบครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของสารหล่อลื่นที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน น้ำมันมะกอก จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าสารหล่อลื่นมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโรมัน หรือราว 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งผู้คนตอนนั้นนิยมใช้น้ำมันมะกอกเป็นตัวช่วยเพิ่มความลื่นไหลให้เซ็กซ์ นักวิชาการจึงเชื่อว่าน้ำมันมะกอกคือสารหล่อลื่นยอดนิยมที่ชาวกรีกและโรมันใช้ในตอนนั้น สาหร่ายทะเล Ryan Drum นักพฤกษศาสตร์ชื่อดังผู้คร่ำหวอดในแวดวงสมุนไพร เผยว่าคนจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใช้สารสกัดที่ได้จากสาหร่ายทะเลมาผลิตเป็นสารหล่อลื่นนานนับ 1,000 ปี โดยนำสาหร่ายแดงมาต้มเพื่อให้กลายเป็นของเหลวที่ข้นหนืดและได้ออกมาเป็นคาราจีแนน (Carrageenan) ที่มีลักษณะคล้ายเมือกวุ้นและมีคุณสมบัติเหมือนกับเจลาติน แต่ไม่เหนียวและยืดหยุ่นเท่า งานวิจัยยังยืนยันว่าการใช้สารสกัดจากสาหร่ายทะเลช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิด HPV
“การเมืองไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” เพราะมันเกี่ยวพันถึงสวัสดิภาพ ความเป็นอยู่ของเรา มันเลยอาจทำให้เราติดภาพว่าเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องที่จริงจัง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันจำกัดอยู่แค่ในรูปแบบของข่าวที่จริงจังบนหน้าหนังสือพิมพ์ หรือข่าวออนไลน์เท่านั้น การเมืองและศิลปะยังคงเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันมาตลอดหลายยุคหลายสมัย UNLOCKMEN อยากพาทุกคนมาลิ้มรสเข้ม ๆ ของการเมืองในรูปแบบม้วนฟิล์มกันดูบ้างกับหนังการเมือง 5 เรื่องหลากหลายแนว ที่ไม่ได้เป็นแค่หนังไดอะล็อกนั่งคุยเครียด ๆ เสมอไป The Ides of March Director : George Clooney หนังการเมืองขนานแท้ที่เส้นเรื่องจะอยู่ที่ Stephen Meyers (Ryan Gosling) ผู้มีหน้าที่จัดการทุกอย่างเกี่ยวกับการหาเสียงให้กับนักการเมือง ตั้งแต่ภาพลักษณ์ เทคนิคการปราศัย การเล่นเกมการเมือง และนั่นทำให้เขามีโอกาสได้เห็นเบื้องหลังของวงการนี้อย่างแท้จริงและยิ่งทำให้รู้ว่าการเมืองก็ไม่ต่างจากการเล่นละครฉากหนึ่ง เมื่อเขาที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของนักการเมือง เป็นไม้ตายของการเลือกตั้ง กลายเป็นเพียงหมากเบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่จะถูกเขี่ยออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ การแสดงของ George Clooney และ Ryan Gosling ที่ว่าเฉียบคมแล้ว ยังไม่สู้บทของเรื่องนี้เขาก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเหมาทุกอย่างอยู่ในกำมือตั้งแต่กำกับ เขียนบท แสดงนำและเขาก็ทำมันออกมาได้โคตรเจ๋ง Argo Director : Ben Affleck หากรู้สึกว่าเรื่องแรกออกจะเครียดไปหน่อย ลองให้เรื่องนี้เป็นตัวเลือกของคุณ เรื่องราวสถานการณ์คุกรุ่นในอิหร่าน จนเกิดเหตุการณ์บุกสถานทูตอเมริกาในอิหร่าน กักขังเจ้าหน้าที่เอาไว้ข้างในแต่มี
ย้อนวันวานกลับไปช่วงปลายปี 90 ที่แผ่น Mp3 Vampire กำลังบูม คนหันไปฟังเพลงจากไฟล์แทนเทป ในยุคนั้นเรียกได้ว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักโปรแกรมไอคอนสายฟ้าอย่าง Winamp อย่างแน่นอน เพราะมันถือเป็นโปรแกรมเล่นเพลงพื้นฐานยอดนิยมไม่แพ้ Window media player ซึ่งเป็นโปรแกรมพื้นฐานติดเครื่อง ชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในลิสต์ของซอฟต์แวร์ที่ช่างซ่อมคอมต้องใช้ติดตั้งเวลาล้างเครื่องเลยทีเดียว เพื่อคืนความหอมหวานของการเปิดเพลง Mp3 ในคอมพิวเตอร์ที่บ้านฟัง เราขอบอกข่าวดีถึงเพื่อนฝูงชาว UNLOCKMEN ว่าตอนนี้ Winamp ประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะกลับมาทวงคืนบังลังก์เสียงเพลงอีกครั้ง อัปเกรดใหม่เป็น Winamp 6 ใน พ.ศ. 2562 ให้ทุกคนได้ใช้งานอย่างแน่นอน สำหรับใครที่ลืมเลือนเรื่องราวของ Winamp ไปแล้วหรือนักฟังหน้าใหม่ที่ยังไม่รู้จักมาก่อน UNLOCKMEN ขอย้อนอดีตไปพลิกตำนานให้ทุกคนได้รับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับ Winamp ไปพร้อมกัน อุแว้ WINAMP เสียงหวดแส้ลงบั้นท้ายเจ้าลามะ เพิ่มอรรถรสของต้นกำเนิด Winamp กดเล่นคลิปนี้ประกอบสักนิด เพราะเวลาเราเปิดโปรแกรมมักจะได้ยินเสียงนี้เสมอ ส่วนใครที่ฟังไม่ถนัดว่านั่นมันพูดว่าอะไร ทำไมมีแบ๊ะ ๆ แอ๊ะ ๆ เสียงของมันไม่ใช่แกะที่ไหน มันคือเสียงของ “ลามะ” และประโยคที่พูดว่า “Winamp”, it’s