หลายคนอาจรู้จัก ‘มาริโอ เมาเร่อ’ ในฐานะนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดี พ่วงด้วยดีกรีพระเอกพันล้าน แต่อีกด้านของชีวิตผู้ชายคนนี้มีงานอดิเรกคือการเป็นนักสะสมของเก่าชนิดหาตัวจับยาก ไม่ว่าจะเหรียญเก่า ธนบัตรเก่า สแตมป์เก่าทั้งของไทย ของนอก รวมไปถึงเสื้อผ้าวินเทจ ฟิกเกอร์ ของเล่น รถเก่า และสกู๊ตเตอร์เก่าอย่าง Lambretta ซึ่งจิตวิญญาณความเป็นนักสะสมแบบเข้าเส้นได้ถูกปลูกฝังโดยคุณพ่อของเขามาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย สำหรับใครที่มีงานอดิเรกในวันว่าง น่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการได้อยู่กับตัวเอง ใช้เวลาไปกับสิ่งที่หลงใหลหลังจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักหน่วง มันคือการเติมพลัง และเติมเต็มชีวิตให้มีความหมาย ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็คือหนึ่งในนั้น สามารถหมดเวลาเป็นวัน ๆ ไปกับการตามหาของเก่า ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และไม่เคยมองว่ามันคือการผลาญเงิน หรือการเผาเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ มาริโอเคยพูดถึงประเด็นนี้ว่า “ของสะสมถ้ามันอยู่กับคนที่ไม่เห็นค่า เขาจะรู้สึกว่ามันไม่ได้เรื่อง มองเห็นก็แค่ข้อเสียของมันเท่านั้น แต่สำหรับตัวผมจะเห็นคุณค่าในแง่ที่ว่า เฮ้ย เราได้ขับรถปี 1960 แบบที่พ่อเคยขับ ได้ขี่แลม 2 ที่เราถูกใจตั้งแต่เจอรุ่นพี่ขี่ ได้ดูแล ได้ซ่อมรถเอง ได้หาของแต่ง ได้ไปเจอเพื่อน ๆ คอเดียวกัน มันคือความสนุก คือความสุขที่ช่วยเติมเต็มอีกด้านของชีวิตที่ไม่ได้มีแค่เรื่องงาน” ที่สำคัญความชอบในสกู๊ตเตอร์ Lambretta ยังเป็น “แลม… บันดาลใจ” ที่ปลุกไฟ
คุณคิดว่า ‘ความหลงใหล’ ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะพาใครสักคนไปได้ไกลแค่ไหน? คำตอบของคำถามนี้อาจมีได้หลากหลาย และคงไม่มีอะไรเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่สำหรับ ‘กอล์ฟ – อัษฎา อบรมทรัพย์’ หรือที่ชาวแลมรู้จักในชื่อ ‘กอล์ฟ 70 CLUB’ เขาได้พบกับคำตอบของปลายทางแห่งความหลงใหล ด้วยความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสกู๊ตเตอร์ Lambretta ที่เขาหลงรัก และยังเป็นเหมือน “แลม… บันดาลใจ” ต่อยอดสู่อาชีพหล่อเลี้ยงชีวิต กับธุรกิจขายอะไหล่แลมวินเทจ ที่ยังคงสานต่อตำนานความเก๋ากว่า 77 ปี มาให้ได้สัมผัสในยุคปัจจุบัน เรื่องราวจุดเริ่มต้นเส้นทางที่มี Lambretta เคียงข้างจนเป็นกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ‘กอล์ฟ 70 CLUB’ ได้เล่าให้ฟังย้อนไปไกลสมัยที่ผู้ชายคนนี้เริ่มทำงานหาเงินได้ด้วยตัวเองใหม่ ๆ และตัดสินใจหาสกู๊ตเตอร์มาขี่สักคัน เพื่อเป็นการสานต่อความชอบในวัยมหาวิทยาลัยที่เคยมีสกู๊ตเตอร์คู่ใจขี่ไปไหนมาไหนโดยตลอด และการกลับเข้าสู่วงการสองล้อครั้งนี้ทำให้เขาได้รู้จักกับ Lambretta ที่ดีไซน์เท่สะดุดตา จนไม่ลังเลที่จะไปเสาะหามาเป็นของตัวเอง “สมัยนั้นก็หารถในเว็บ Thai Scooter แล้วไปถูกใจ Lambretta Series 2 Li 150 จำได้ว่าไปซื้อแถววังหิน ซื้อเสร็จก็ต้องขี่กลับบ้านแถวแคราย พอได้ขี่เท่านั้นแหละ รู้สึกเลยว่า เฮ้ย!!
ว่ากันว่า “แรงบันดาลใจ” คือสิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตของคนเราให้ก้าวไปข้างหน้า แต่ระยะทางที่มุ่งหน้าออกไปจะไกลได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะสามารถพิชิตจุดหมายปลายทางได้หรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับดีกรีของความตั้งใจว่ามันเข้มข้นสักเพียงใด และสำหรับชีวิตในวัยหนุ่มของ ‘อาจารย์อินสนธิ์ วงค์สาม’ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) พ.ศ.2542 คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่ถ่ายทอดตัวอย่างของแรงบันดาลใจอันแรงกล้าได้อย่างชัดเจน กับ “แลม… บันดาลใจ” ในการควบสกู๊ตเตอร์ Lambretta ข้ามโลกสู่อิตาลี เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ พร้อมแสดงผลงาน และตอบสนองแรงผลักดันส่วนลึกในใจ กับเป้าหมายในการไปเยือนนครแห่งศิลปะอย่างเมืองฟลอเรนซ์ ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาด้านศิลปะให้กับเขา แน่นอนว่าหากย้อนไปในปี พ.ศ. 2504 แผนการพิชิตเส้นทางกว่า 20,000 กิโลเมตร ไม่ใช่เรื่องง่าย ความตั้งใจของ ‘อาจารย์อินสนธิ์ ’ หลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ณ ตอนนั้น มีแต่คำว่าเป็นไปไม่ได้ปรากฎอยู่ในทุกมิติ ทั้งเรื่องของรถยนต์ส่วนตัวที่มีปัญหาจนไม่พร้อมใช้งานเดินทางไกล ยังไม่นับรวมถึงอุปสรรคอีกมากมายที่รออยู่ตลอดเส้นทางข้างหน้า แต่ด้วยอุดมการณ์ทางศิลปะอันเข้มข้น บวกกับความบ้าระห่ำในวัยหนุ่ม ทำให้ ‘อาจารย์อินสนธิ์ วงค์สาม’ ยังคงเดินหน้าทำตามความฝัน ตัดสินใจทำหนังสือขอความสนับสนุนจากตัวแทนจำหน่ายสกู๊ตเตอร์ Lambretta ในไทย เพราะอยากได้ราชรถคู่ใจเป็นสกู๊ตเตอร์สัญชาติอิตาลี ที่นอกจากจะลงตัวกับการออกทริปสู่ดินแดนมักกะโรนี แล้วยังตอบโจทย์เรื่องความคล่องตัว, ความทนทาน,
ประสบการณ์ที่เลวร้ายมักทำให้หลายคนเกิดอาการคิดมากจนเกินไปอยู่เสมอ เช่น บางคนไม่กล้าเปลี่ยนงานใหม่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะหางานไม่ได้ หรือ ไม่เจองานที่ดีกว่า หรือ บางคนอาจเครียดเรื่องการเรียน เพราะกลัวว่าผลการศึกษาที่ไม่ดีจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแรงงานที่ไร้คุณค่า เป็นต้น เรามักเรียกความกังวลที่เกิดขึ้นว่าเป็น Catastrophizing และถ้าเราไม่รู้จักวิธีการป้องกัน อาจทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้ ความหมายของ Catastrophizing Catastrophizing คือ การจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เลวร้าย และเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน โดยคนที่มีอาการนี้มักมองโลกในแง่ลบ และมองเห็นปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั่นหนักหนาสาหัสเกินความเป็นจริง จนพวกเขารู้สึกสิ้นหวังและตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขากังวลกับการสอบตก พวกเขาจะคิดว่า การสอบตกทำให้ตัวเองกลายเป็นนักศึกษาที่ไม่ดี เรียนไม่จบ หรือ ไม่ได้รับใบปริญญา และไม่มีใครรับเข้าทำงาน สุดท้ายพวกเขาจึงด่วนสรุปไปเองว่า การสอบตกจะทำให้พวกเขาไม่มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งในเป็นความจริง คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากก็เรียนหนังสือไม่จบ หรือ เคยสอบตกมาก่อน แต่คนที่ Catastrophizing มักไม่คิดถึงเรื่องนี้ และหมกหมุ่นกับความคิดอันเลวร้ายของตัวเองเป็นตุเป็นตะ จนได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างแสนสาหัส ยังไม่มีใครตอบได้ว่า Catastrophizing เกิดขึ้นได้อะไร แต่หลายคนคาดว่ามันเกิดขึ้นได้หลากสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ได้รับข้อความที่มีความหมายกำกวมจนเราเกิดอาการคิดไปไกล เราให้ความสำคัญกับอะไรมากเกินไปจนคิดมาก หรือ เรากลัวอะไรบางอย่างมาเกินไป จนเรายิ่งคิดถึงผลลัพธ์แย่ ๆ ที่จะได้รับจากมัน
เวลาทำงานเราจำเป็นต้องพูดคุยกับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน บอส หรือ ลูกค้า ทักษะในการสื่อสารที่ดีจึงสำคัญต่อการทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างมาก เพราะถ้าเราคุยกับคนอื่นได้ไม่ดี เราอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและประสบกับความล้มเหลวในการทำงานได้ UNLOCKMEN เลยอยากจะแนะนำ 5 ประโยคที่ไม่ควรพูดในที่ทำงาน โดยหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น “เราทำแบบนี้มาตลอด” แม้คุณจะเป็นฝ่ายถูก แต่การพูดแบบนี้มักทำให้หัวหน้ารู้สึกว่า “คุณไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แย่ของคนทำงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงสามารถนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่องค์กร ดังนั้นจงจำไว้ว่า สิ่งที่ทำมาตลอดไม่ใช่ว่ามันจะดีที่สุดเสมอไป บางสิ่งมันก็ควรเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เช่น การเปลี่ยนจากทำงานบนกระดาษมาเป็นทำงานเอกสารบนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตแทน แทนที่เราจะพูดแบบนั้น เราควรถามฝ่ายตรงข้ามกลับไปว่า “อะไร คือ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการลองวิธีใหม่” ถ้าวิธีการทำงานแบบใหม่ดีกว่าวิธีเก่าจริง พวกเขาก็ควรบอกได้ว่าทำไมมันถึงดีกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้ดีกว่าเลย คุณก็ควรบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรใช้วิธีเก่ากันต่อไป “ผมจะลองดู” ถ้าเราใช้คำว่า “จะลองดู” หรือ “จะพยายามทำดู” นั่นหมายความว่า คุณไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูง ซึ่งความไม่มั่นใจและความกลัวไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานเลย การทำให้หัวหน้าของคุณรู้สึกแบบนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวคุณเช่นกัน ดังนั้น แทนที่คุณจะพูดว่า “จะลองดู” ให้พูดว่า “จะทำให้อย่างสุดความสามารถดูครับ แล้วเดี๋ยวผมจะสรุปมาให้ว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรเพื่อปรับปรุงได้บ้าง” แทน ซึ่งเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพมากกว่า “ขอโทษครับ แต่….” เวลาที่คุณรู้สึกผิดกับความผิดพลาดของตัวเอง คำว่า
แสนสิริเปิดตัว BuGaan Pattanakarn (บูก้าน พัฒนาการ) ความภาคภูมิใจล่าสุดใน Sansiri Luxury Collection เจ้าของตำแหน่งแฟล็กชิพซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่บ้านเดี่ยวโครงการแรก บนทำเลที่ดีที่สุดของพัฒนาการ รองรับการเดินทางสู่ย่านไลฟ์สไตล์ชั้นนำและย่านธุรกิจได้สะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่กลุ่ม Young Successor ซึ่งมีรสนิยมและไลฟ์สไตล์ชัดเจน ด้วยบ้านที่มีเอกลักษณ์และสเปซที่มอบความส่วนตัวสูงสุด รวมถึงฟังก์ชั่นที่ตอบสนองรูปแบบชีวิตที่แตกต่างได้อย่างลงตัว โดย BuGaan Pattanakarn เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ 3 ชั้น ที่ถูกรังสรรค์ผ่านแนวคิด “My Home Speaks for Myself – ให้บ้านบ่งบอกความเป็นตัวตนของคุณ” มากกว่าความเป็นบ้าน แต่คือ พื้นที่สะท้อนรสนิยมและความหลงใหลของผู้อยู่อาศัย ผ่านดีไซน์ที่บ่งบอกไลฟ์สไตล์ ภายใต้ 3 กลยุทธ์หลัก อย่าง Limited Edition & Rare Item: ดีไซน์พิเศษเพียงหนึ่งเดียว เฉพาะ 17 ครอบครัวเท่านั้น The Best Location:ในย่านพัฒนาการ เป็นบ้านเดี่ยวที่อยู่ใกล้เมืองมากที่สุด รายล้อมด้วยสังคมคุณภาพระดับลักซ์ชัวรี่
เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมาคือวันครบรอบ 28 ปีการจากไปของ Kurt Donald Cobain ฟรอนต์แมนของวง Nirvana ผู้สร้างปรากฎการณ์ให้กับวงการดนตรีทั่วโลกไว้มากมาย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน มีแฟนเพลงมากมายที่ชื่นชอบ Nirvana จนถอนตัวไม่ขึ้น หนึ่งในนั้นคือ “ใหม่ พิชชานันท์ ชัยศิริ” ใหม่เป็นบุคคลที่ขับเคลื่อนชีวิตด้วยซาวด์ดนตรีจากเมืองซีแอตเทิลของวง Nirvana มันได้สร้างอิทธิพลให้เขาสร้างวงดนตรีที่มีชื่อว่า Revive 90’s ขึ้นมา เท่านั้นยังไม่พอมันยังได้ลุกลามกลายเป็นการสร้างกลุ่ม Nirvana Thailand ตามขึ้นมาด้วยเช่นกัน อะไรทำให้ทำให้ผู้ชายคนนี้ต้องบ้าคลั่งวง Nirvana ได้ขนาดนี้ ไปค้นหาคำตอบพร้อม ๆ กันได้เลย SMELLS LIKE TEEN SPIRIT ประตูบานแรกสู่นิพพาน จุดเริ่มต้นการติดตามวง Nirvana เกิดขึ้นช่วงเรียนมัธยม ใหม่ได้มีโอกาสฟังเพลง “Smells Like Teen Spirit” ผลงานจากอัลบั้ม Nevermind ที่ถือได้ว่าเป็นเพลงที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้จัก Nirvana ด้วยเช่นกัน
“ครั้งแรกที่ Lambretta ติดต่อมาโอ้รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเราเองเป็นคนที่ชอบสกู้ตเตอร์ สะสมแลมอยู่แล้ว การที่วันนึงมีโอกาสได้มาเป็นตัวแทนของ Lambretta มันเป็นอะไรที่เกินความคาดหมายมากจริง ๆ” นี่คือความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับ Lambretta ของ ‘มาริโอ้ เมาเร่อ’ หนุ่มอารมณ์ดี เจ้าของดีกรีพระเอกพันล้าน ที่มีอีกด้านของชีวิตเป็นสาวกแลมตัวยง ชนิดที่ว่าเจาะเลือดออกมาตรวจดูก็จะเจอความเป็น #เลือดกรุ๊ปแลม ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกันเลยทีเดียว และวันนี้เราจะชวนชาว UNLOCKMEN ไปดูความเข้มข้นใน #เลือดกรุ๊ปแลม ของ ‘มาริโอ้’ ไปพร้อมกัน นับย้อนไปตั้งแต่วันที่ผู้ชายคนนี้เริ่มมีใจให้กับ Lambretta “จุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้มาเจอกับ Lambretta ต้องขอย้อนไปตั้งแต่วัยเด็กก่อน เพราะโอ้ถูกปลูกฝังความเป็นนักสะสมมาตั้งแต่เด็ก คุณพ่ออยากให้ลูกมีงานอดิเรก ก็เลยแนะนำให้ลองหาของสะสมดู เราก็เริ่มจากสะสมเหรียญเก่า ธนบัตรเก่าทั้งของไทย ของนอก ทำให้มีความเป็นคนชอบของวินเทจ พอโตมาหน่อยก็เริ่มสนใจในเสื้อผ้าวินเทจ ฟิกเกอร์ ของเล่นต่าง ๆ รวมถึงสกู้ตเตอร์เก่า แล้วพอมาเจอรุ่นพี่ขี่แลม 2 ก็เป็นเรื่องเลย รู้สึกว่าสวยจัง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากสะสม Lambretta ตั้งใจไว้ว่าถ้าหาเงินได้เมื่อไหร่จะต้องมีแลมเป็นของตัวเองให้ได้ จนสุดท้ายก็ได้แลม 2 มาเป็นคันแรกในครอบครอง โอ้ชอบความ
ยังคงเดินทางส่งต่อความรักไซส์ BIG อย่างต่อเนื่องมาจนถึงครั้งที่ 5 กับทริป MINI BIG LOVE STORY เมื่อวันที่ 24 – 26 มิถุนายน ที่ผ่านมา และครั้งนี้แน่นอนว่าเราก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพความประทับใจมาฝากชาว UNLOCKMEN เหมือนเช่นเคย สำหรับทริปนี้ทาง MINI THAILAND ได้รวมพลเหล่า #MINIster กลุ่มคอมมูนิตี้คนรัก MINI กว่า 20 ครอบครัว มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางจังหวัดจันทบุรี เพื่อสานต่อ BIG LOVE STORY ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่สวยงามของเมืองจันท์ ไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา เมืองเก่า และป่าชายเลน กับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ช่วยสนับสนุนวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น รวมไปถึงร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม จัดเต็มกิจกรรมที่ทั้งสนุกสนาน และเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของครอบครัวชาว MINI ได้เป็นอย่างดี โดยทริป MINI BIG LOVE STORY ที่จังหวัดจันทบุรี นั้นเริ่มกิจกรรมแรกด้วยการพากลุ่ม MINIster ไปช้อป ชม
“โฆษณา” เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ทุกที่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะมองไปที่ไหนก็ตาม ถึงแม้ว่า “โฆษณา” จะเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม หรือรำคาญจนจ้องจะกดข้ามมันไปภายในเสี้ยววินาที แต่สำหรับบางคน โฆษณาคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาหลงใหลและมองเห็นคุณค่าของมัน จนวันนึงเขาสามารถที่จะเปลี่ยนโฆษณาให้กลายเป็น Content ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จอย่างสวยงามได้ ซึ่งคุณเองก็สามารถเปลี่ยนความคลั่งอะไรบางอย่างให้กลายเป็นธุรกิจได้เช่นกัน วันนี้เราจะพาทุกคนเข้าไปในโลกของคนคลั่งโฆษณา “เพิท พงษ์ปิติ ผาสุขยืด” จาก Ad Addict สื่อออนไลน์ด้านโฆษณาและการตลาด ‘เพราะทุกสิ่งในโลก ล้วนเป็นโฆษณา’ และหาวิธีทำให้คนอื่น ๆ ได้เห็นมุมมองดี ๆ ของมัน ใช้ชีวิตอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข มาดูกันว่าคนคลั่งโฆษณาอย่างคุณเพิท สร้างรายได้จากโฆษณาได้อย่างไร มีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจจากความคลั่งของตัวเองบ้าง จากตัวแทนแข่งแผนการตลาดสมัยมหาวิทยาลัย กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเพิทคลั่งไคล้โฆษณา สู่การเป็น Founder ของเพจ Ad Addict ที่กำลังไปได้ดีมาก น่าจะคล้ายกับความฝันของคนรุ่นใหม่หลายคน ที่อยากจะทำงานหาเงินบนสิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้บ้าง “ทำไมมาอินกับโฆษณา? จุดเริ่มต้นต้องย้อนกลับไปสมัยมหาวิทยาลัย เราเรียนอยู่คณะการตลาด มันจะมีกิจกรรมนึงที่อาจารย์ให้จับกลุ่มกับเพื่อนเพื่อไปแข่งประชันแผนการตลาด ช่วงนั้นเราชอบแข่งแผนพวกนี้ เราจึงได้รู้จักเอเจนซี่โฆษณา แล้วได้ไปฝึกงานที่หนึ่งจนเหมือนกับได้เปิดโลก” “เรารู้สึกว่าโฆษณามันเป็นพลังอันหนึ่งที่สุดยอดมากนะ มันเปลี่ยนแปลงการกระทำของคน เปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก หลาย ๆ