คุณว่าการใช้ชีวิตในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง? เชื่อว่าคำถามนี้คงทำให้ผู้ชายหลายคนฉุกคิดและย้อนไปลำดับภาพการใช้ชีวิตที่รีบเร่งในแต่ละวัน สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในหัวอาจเป็นทัศนียภาพป่าคอนกรีตที่อบอวลด้วยฝุ่นควัน ทรัพยากรจำนวนจำกัดที่สวนทางกับจำนวนประชาชน หรือแม้แต่ผังเมืองที่ไม่เคยเอื้อประโยชน์ต่อแผนพัฒนาในอนาคต แม้ปัญหาและข้อจำกัดมากมายจะทำให้เรากุมขมับทุกครั้งที่เรียกตัวเองว่า “คนเมือง” แต่ UNLOCKMEN อยากให้หนุ่ม ๆ ได้สัมผัสอีกแง่มุมหนึ่งผ่านคอลเลกชันภาพถ่ายบุคคลแนวสตรีต ที่บอกเล่าทุกอณูชีวิตคนเมืองอย่างแท้จริง Urban Street Portraits เป็นคอลเลกชันภาพถ่ายสีขาวดำของช่างภาพชาวสวิส Jens Krauer ที่ใช้กล้องตัวโปรดลั่นชัตเตอร์ในจังหวะที่พอเหมาะ และเก็บบันทึกภาพความทรงจำตลอดจนความรู้สึกของคนเมือง ทั้งความกลัว ความเศร้า ความเหงา ความกังวล หรือแม้แต่ความสุขที่ปะปนอยู่บ้าง แม้ Jens Krauer จะไม่ได้พยายามซ่อนตัวเองหรือซ่อนกล้องของเขาจากสายตาผู้คน แต่ภาพถ่ายของเขากลับดูเป็นธรรมชาติและถ่ายทอดทุกอารมณ์ความรู้สึกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จนเขาได้รับฉายาว่าเป็นช่างภาพที่พกเสื้อคลุมล่องหนติดตัวไปด้วยทุกที่ ภาพถ่ายของเขาไม่เพียงบันทึกความทรงจำในขณะนั้น หากยังสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของคนเมืองที่ไม่ได้สุขหรือทุกข์เพียงด้านเดียว หรือบอกชีวิตเป็นส่วนผสมของความสุขและทุกข์คงจะเหมาะสมกว่า Jens Krauer หวังว่าทุกคนในคอลเลกชันภาพถ่ายนี้จะมีชีวิตอยู่แบบนี้ไปตลอด ไม่ต้องเพิ่มความสุข ไม่ต้องลดความทุกข์ เพียงแค่ให้พวกเขาอยู่ได้เหมือนตอนที่เขายังอยู่ในภาพถ่ายของ Jens Krauer เราเชื่อว่าบางครั้งชีวิตคนเมืองอาจไม่ได้แออัดยัดเยียดเสมอไป ถ้าเลือกมองสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขและเก็บมันมาเป็นพลังบ้าง เหมือนกับภาพถ่ายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ที่แม้จะมีเพียงภาพเดียวจากทั้งหมด แต่ทันทีที่เห็นก็รับรู้ได้ถึงมวลความสุขที่อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม Photographs by Jens Krauer COVER
‘ญี่ปุ่น’ ประเทศเมืองเกาะที่เป็นดินแดนในฝันของผู้ชายหลายคน ห้อมล้อมอยู่ในอ้อมกอดธรรมชาติตั้งแต่ภูเขายันท้องทะเล มีอาหารเลิศรสและจารีตประเพณีงดงามทรงเสน่ห์ ทั้งยังผู้คนที่มีระเบียบ ใส่ใจรายละเอียด และขยันขันแข็งกับแทบทุกเรื่องในชีวิต หากคุณเคยไปเยือนประเทศญี่ปุ่นมาบ้าง คงจะพอคุ้นชินกับเหตุการณ์หยุดรถไฟกะทันหัน เนื่องจากมีคนกระโดดลงรางรถไฟความเร็วสูงเพื่อปลิดชีพ และมันเป็นอีกวิธีฆ่าตัวตายยอดนิยมของคนที่นี่ จริง ๆ แล้วการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่สมัยหลังสงคราม เนื่องด้วยชาวญี่ปุ่นต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและไม่อาจทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกนี้ได้ จึงตัดสินใจยุติลมหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยวิธีการฆ่าตัวตายในรูปแบบต่าง ๆ การผูกคอตายครองแชมป์มาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยการกระโดดลงรางรถไฟ และการปล่อยให้ร่างกายซึมซับแก๊สพิษตามลำดับ สาเหตุการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นก็หนีไม่พ้นเรื่องการทำงานที่เคร่งเครียด ปัญหาทางเศรษฐกิจ อาการเจ็บป่วยที่ไม่อยากเป็นภาระให้ลูกหลาน หรือแม้แต่ปัญหาชีวิตวุ่น ๆ ของเหล่าวัยรุ่น Kenji Chiga ช่างภาพหนุ่มชาวญี่ปุ่นจึงถ่ายทอดเรื่องราวการฆ่าตัวตายของคนในประเทศตนด้วยคอลเลกชันภาพถ่ายที่แฝงความโศกเศร้าไร้ทางออก และมีเพียง ‘การฆ่าตัวตาย’ เท่านั้นที่อาจทำให้ใคร (บางคน) พ้นจากความทุกข์ได้จริง ๆ การฆ่าตัวตาย อาจเปรียบดั่งโรคติดต่อของคนในประเทศนี้ แพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวไวรัสจากสมองของคนหนึ่งไปสู่สมองอีกคน บางครั้งผู้ตายอาจไม่ได้มองหาความตายเสมอไป หากมองหาการปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจที่ถูกพันธนาการ ความตายจึงเป็นวิธีปลดปล่อยอย่างง่ายและชัดเจนที่สุด ยิ่งในช่วงที่สื่อและเทคโนโลยีผลัดกันนำเสนอเรื่องราวของคนตาย ไวรัสที่ชื่อ ‘Werther Effect’ ก็ค่อย ๆ รุนแรงและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังมียาต้านไวรัสที่จะสร้างขึ้นเมื่อคุณ เขา เธอ หรือใครก็ตามเห็นคุณค่าของชีวิตและคนรอบตัวมากพอ นำความรักและการเห็นคุณค่านั้นหล่อเลี้ยงความคิดเพื่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นคำตอบสำหรับบางคน
ถ้าพูดถึงประเทศอังกฤษ เชื่อว่ารายชื่อสโมสรฟุตบอล ภาพหอนาฬิกา Bigben และอุณหภูมิเย็นยะเยือกคงละเลียดเล็ดเข้ามาในหัวของผู้ชายหลายคน แล้วนั่นคงทำให้หนุ่ม ๆ บางคนพอระลึกได้ว่าอีกสมญานามของเกาะอังกฤษแห่งนี้คือ ‘เมืองผู้ดี’ เนื่องจากอังกฤษเป็นประเทศที่เก่าแก่และนับเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีต มีพระมหากษัตริย์ คนชนชั้นสูง และขนบธรรมเนียมประเพณี ตั้งแต่การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ คำพูดคำจา หรือมารยาทบนโต๊ะอาหารที่แม้แต่คนไทยสมัยก่อนก็หยิบนำมาสร้างเป็นบรรทัดฐานของสังคมและวัฒนธรรมบ้านเรา แต่ในประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีมารยาททางสังคมสูงส่ง ได้ซุกซ่อนโลกใต้ดินที่อบอวลไปด้วยเสน่ห์และวิถีชีวิตของผู้คน ทำให้ประเทศเกาะของทวีปยุโรปแห่งนี้มีสีสันและชีวิตชีวามากกว่าแค่เป็น ‘เมืองผู้ดี’ ที่เรารู้จักคุ้นเคย UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ ไปสำรวจอีกด้านของกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ ผ่านคอลเลกชันภาพถ่ายของ Bob Mazzer ชายที่ถ่ายภาพผู้โดยสารในขบวนรถไฟใต้ดินจนเคยชิน ความเคยชินก่อตัวเป็นนิสัย นิสัยที่ทำให้เขามีความสุขทุกครั้งเมื่อได้จ้องมองผู้คนผ่านเลนส์ ก่อนจะลั่นชัตเตอร์ ลอนดอน ถือเป็นอีกเมืองที่รวบรวมผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเข้าไว้ด้วยกัน และชาวลอนดอนก็ใช่จะเคร่งเครียดและเจ้าระเบียบอย่างที่ใครหลายคนคิด พวกเขากลับดูเป็นธรรมชาติ มีความสุข และมีความทุกข์ไม่ต่างผู้คนในประเทศอื่น ๆ เลย Bob Mazzer ช่างภาพชาวอังกฤษรายนี้จึงใช้กล้องเป็นสื่อบันทึกเศษเสี้ยวและรายละเอียดของความหลากหลายในชีวิตมนุษย์ ลั่นชัตเตอร์ในสภาพแวดล้อมแห่งความเป็นจริง ทำให้ได้ภาพที่พิเศษธรรมดาและไม่ได้ถูกปรุงแต่งจนเกินความเป็นภาพถ่าย ทั้งยังนำเสนอมุมมองอีกด้านหนึ่งของลอนดอนที่มีเสน่ห์และมีชีวิตชีวา ไม่แพ้วัฒนธรรมแห่งเมืองผู้ดีที่ขึ้นชื่อเลย Photography by Bob Mazzer. COVER
“ฉันรู้สึกเหมือนเป็นนางเงือก ร่างชี้ว่าเป็นชายแต่จิตวิญญาณคือหญิงสาว ฉันเหมือนดอกไม้ ดอกไม้ที่สร้างขึ้นจากกระดาษ แม้รับความรักท่วมท้นจากภายนอกเมื่อมองมา แต่ไม่ได้อาจสัมผัสความรู้สึกนี้จากการแตะต้องและดอมดม” Heena, 51, ธากา, บังกลาเทศ, 2012 Hijra (ฮิจรา) คือกลุ่มคนที่มีเพศสภาพที่แตกต่างจากเพศสถานะภายใน ใช้สำหรับเรียกเพศที่สามที่กายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงและดำเนินชีวิตแบบหญิงสาว คำศัพท์ที่ชี้หน้าและตีตราความรู้สึกของบทบาทความเป็นชายหญิงและความ “เป็นอื่น” ทางสังคม ถ้าพูดในแง่ประวัติศาสตร์แล้ว “ฮิจรา” ปรากฏหลักฐานมายาวนาน นานพอจะเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคม แต่ค่านิยมแง่ลบไม่ได้หายไปพร้อมกาลเวลา เหลือเป็นคราบติดแน่นฝังไว้ถึงวันนี้แม้รัฐบาลบังกลาเทศจะออกกฎหมายแสดงการรับรองสิทธิทางเพศมา 5 ปีแล้วก็ตาม การใช้ชีวิตต้องสาปด้วยคำสาป บางคนสงสัยว่าสถานะต้องสาปที่ผู้คนไม่อยากเข้าใกล้นี้จะใช้ชีวิตอย่างไร คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการหางานเพราะไม่มีใครยอมรับ หรือสิทธิพลเมืองอื่น ๆ ที่ถูกริดรอนไป สิ่งที่พิทักษ์ฮิจราไว้คือระบบความเชื่อบางอย่างของสังคมที่ฝังมายาวนาน ว่าเพศที่สามอย่างพวกเธอคือผู้มีอำนาจพิเศษจากการบูชาพระแม่พหุชระหรือมาตากี ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระแม่อุมา ทำให้สามารถสาปแช่งหรือให้พรได้ ดังนั้น วาจาศักดิ์สิทธิ์นี้จึงกลายเป็นเครื่องมือทำกินที่ทำให้ฮิจราสามารถรับเงินมาได้จากการอวยพรเด็กแรกเกิดที่ครอบครัวต่าง ๆ เชิญไป และเป็นอาวุธปกป้องตัวเองจากผู้ไม่ประสงค์ดีด้วยการสาปแช่งผู้คน ซึ่งเชื่อกันว่าใครได้รับคำบริภาษนั้นไปจะต้องโชคร้าย เงือกที่ไม่อาจเป็นมนุษย์ ดอกไม้เทียมที่ไม่อาจเป็นดอกไม้จริง คือความเจ็บปวดที่ฮิจราชาวบังกลาเทศต้องยอมรับ จิตวิญญาณที่ขัดแย้งกับเปลือกที่รับมาทำให้พวกเธอต้องกลายเป็นคนไร้ราก หอบชีวิตออกจากแผ่นดินเกิดคนแล้วคนเล่า ถูกทอดทิ้งจากความสัมพันธ์เบื้องหลังทุกรูปแบบเพื่อย้ายไปยังอินเดีย สถานที่ที่พวกเธอยังคงได้รับการดูหมิ่นดูแคลนไม่แพ้กันแต่ระดับความเลวร้ายต่ำกว่า ทว่าในความมืดมิดอ้างว้างก็แทนที่ได้ด้วยความสัมพันธ์เหนียวแน่นระหว่างฮิจราด้วยกัน ดังนั้น ถ้าเราไปพบพวกเธอเป็นกลุ่มใหญ่ นั่นคือครอบครัวใหม่ของพวกเธอ Sharhia Sharmin
จากภาพยนตร์โลกอนาคตหลาย ๆ เรื่อง มักจะนำเสนอเกี่ยวกับยุคของหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ครองโลกจนไม่มีพื้นที่ให้มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ จนมาถึงปี 2018 นี้ที่กระแส AI จะมาแทนที่แรงงานมนุษย์มาแรงและเข้าใกล้ความเป็นจริงเข้าไปทุกที ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ยังคงต้องถกเถียงถึงความเหมาะสมกันต่อไป UNLOCKMEN ขอแนะนำความสามารถของ AI ที่จะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นอีกเยอะ อย่าง “Noise2Noise” ที่จะมาลด Noise ในภาพถ่ายได้แบบเหนือชั้น มาทำความรู้จักกับมันแบบ Before It Was Cool กันดีกว่า ผู้พัฒนาจาก Nvidia, MIT, และ Aalto University กำลังซุ่มปั้นโปรเจ็กต์แจ่ม ๆ ที่ชื่อ “Noise2Noise” ที่นำระบบ AI มาลบ Noise ในภาพถ่าย ทางทีมได้นำภาพจำนวน 50,000 ภาพจาก ImageNet เพื่อให้ระบบ AI ได้ทดสอบการลบ Noise และมันก็ทำออกมาได้ดีจริง ๆ โดยสามารถลบ Noise
เตรียมอุปกรณ์ไปสาดน้ำให้ชุ่มฉ่ำรับสงกรานต์กันแล้ว ต้องไม่พลาดการ install แอปฯ เด็ด ๆ ไว้เก็บรูปสาว ๆ หรือบรรยากาศม่วนท่ามกลางฤดูร้อนหนึ่งปีมีหน ตราบเท่าที่แบตไม่หมดบอกเลยว่าไม่ต้องกลัวว่าเมมโมรี่ที่มีจะเต็ม เพราะเราเลือกแอปฯ โกดังเก็บรูปมาให้ครบถ้วนถึง 4 แอปฯ ที่ทั้งจุ ทั้งฟรีแบบ S M และ L งานนี้หนุ่มชาว UNLOCKMEN เจอคนถูกใจอยากกดถ่ายไว้แบ่งเพื่อนดูหรือเก็บไว้เปิดวาร์ปตอนจบเทศกาลก็ทำได้เสียหาย 1. Google drive [15 GB – size S] งานดีไม่มีพลาดถ้าใช้แอปนี้ เพราะถือเป็นแอปฯ สามัญประจำ Gmail ที่ทุกวันนี้แทบทุกคนต้องมีกันอยู่แล้ว วิธีใช้ไม่ยากแค่อัปโหลดรูปขึ้นไปแชร์ใน Google Drive แต่ด้วยไซส์ 15 GB ที่มีและดูเหมือนว่ามันจะใหญ่นั้น มันแชร์พื้นที่กับอีเมล ดังนั้นถ้าใครใช้อีเมลจุเหลือเกินเกือบเต็มแล้วก็ขอให้เปลี่ยนไปใช้แอปฯ อื่นแทนแอปฯ นี้…ถ้าไซส์ S นี้ไม่เหมาะกับเรา ไม่ต้องกังวลอะไรยังมีให้เลือกอีกตั้ง 4 อย่าง 2.
UNLOCKMEN ขอพนันได้เลยว่าผู้ชายแทบทุกคนต้องเคยเห็นรูปของ Bob marley หรือชายผิวสีท่าทางโคตรเท่แบกทรงผมขดยาวพร้อมมาดนักดนตรีผู้ทรงพลัง มากไปกว่านั้นหลายคนอาจจะรู้ว่าเขาเป็นราชาเร็กเก้ชื่อก้องโลกที่เราต่างเคยฟังเพลงของเขามาแล้วทั้งนั้น UNLOCKMEN ขอพนันอีกว่ารูปที่พวกเราเคยเห็นผ่านตานั้นถ้าไม่ใช่รูปที่แปะอยู่บนพื้นหลังเขียวแดงเหลือง ก็คงเป็นรูปจับไมค์ร้องเพลงอยู่บนเวที แต่คราวนี้นิทรรศการรูปถ่ายที่ถูกจัดแสดงที่ London’s Dadiani Fine Art ประเทศอังกฤษ นำภาพถ่ายของราชาเร็กเก้ช่วงปี 1973 มาจัดแสดง โดยรูปถ่ายส่วนใหญ่เป็นอิริยาบถธรรมดาสามัญที่ทำให้เราเห็นตัวตนของเขาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น Bob Marley: A Rebel Prophet หรือนิทรรศการภาพถ่ายสุดเสรีของราชาเร็กเก้เป็นนิทรรศการที่ถูกจัดขึ้นโดย Esther Anderson ช่างภาพชาวจาไมก้า รวมถึงเป็นคนทำหนังและเป็นเพื่อนกับ Marley อีกด้วย Esther Anderson โชว์ภาพพอร์เทรตที่เขาเป็นคนถ่ายภาพ Marley กับมือก่อนที่ราชาเร็กเก้จะมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยภาพเหล่านี่ถ่ายใน Kingston ไม่ว่าจะเป็นที่ชายหาด บนถนนหนทาง หรือแม้แต่ที่บ้าน ภาพเหล่านี้สุดท้ายกลายเป็นภาพที่ Marley ใช้เสนอตัวเองกับค่ายเพลง Island Records ด้วยซ้ำ Esther Anderson ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า Bob Marley ก้าวข้ามเขตแดนของการเป็นนักดนตรีไปแล้ว แต่เขาเป็นเหมือนคนส่งสารที่สามารถสัมผัสได้ถึงผู้คนทั่วโลก เป็นบทกวีทั้งในอดีตและในอนาคต
ดราม่ากันมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบกับข้อถกเถียงที่ว่าการมีกล้องเทพ ๆ ช่วยให้คุณถ่ายรูปได้เทพกว่าคนอื่นจริงหรือไม่? หรือจริง ๆ แล้วรูปจะเทพหรือไม่เทพขึ้นอยู่กับฝีมือคนถ่ายต่างหาก? วันนี้ข้อถกเถียงเรื่องอุปกรณ์อาจจะตกไปชั่วคราว เพราะนี่คือ 10 รูปโคตรเทพที่อุปกรณ์เทพไม่เกี่ยว เนื่องจากมันถูกถ่ายด้วยกล้องไอโฟน! แม้จะถ่ายด้วยกล้องจากสมาร์ทโฟน แต่ UNLOCKMEN รับรองเลยว่า 10 รูปที่คุณจะได้เห็นต่อไปนี้ จะทำให้คุณต้องอ้าปากค้าง เกาหัวแกรก ๆ ว่า เฮ้ย นี่ถ่ายด้วยไอโฟนจริงดิ? Children of Qayyarah Grand Prize Winner, Photographer of the Year Sebastiano Tomada Brooklyn, New York iPhone 6s Dock Worker 1st Place, Photographer of the Year Brendan O Se Cork, Ireland iPhone 6s The Performer
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกปัจจุบัน เทคโนโลยีนั้นหมุนไวจนเราแทบตามไม่ทัน ส่งผลต่อการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ไปอย่างรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่วงการถ่ายภาพ ที่ในแต่ละวันเรามักจะได้ยินข่าวการเปิดตัวอุปกรณ์ถ่ายภาพที่มาพร้อมความสามารถใหม่ ๆ ดีขึ้น ชัดขึ้น โฟกัสไวขึ้น และเชื่อว่าหลายคน (รวมทั้งตัวเราเอง) ต่างก็อยากจะอัพเกรดไปสู่สิ่งที่เจ๋งกว่า ทว่ายังมีคำถามที่ขัดแย้งในใจถึงกล้องที่มีอยู่ในมือ ว่าเราใช้มันคุ้มค่าแล้วหรือยัง นี่ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนกล้องใหม่ หรือต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่มแล้วจริง ๆ หรอ เพราะถ้าลองนึกย้อนกลับไปถึงแก่นของการถ่ายภาพ มันไม่มีอะไรที่พิสดารนอกเหนือไปจากการเก็บแสงที่กระทบกับวัตถุ แล้วสะท้อนผ่านเลนส์มาฉายลงบนแผ่นฟิล์ม หรือในยุคปัจจุบันคือฉายลงบนเซ็นเซอร์รับภาพ ซึ่งความมีสเน่ห์ของภาพถ่ายที่แท้จริงนั้นไม่ได้ดูกันที่ความละเอียดของเซ็นเซอร์ หรือมูลค่าของอุปกรณ์ แต่มันเกิดจากจังหวะที่กดชัตเตอร์ เพื่อเก็บอารมณ์ รวมถึงมุมมองการจัดวางองค์ประกอบของภาพที่ลงตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความสามารถที่เกิดจากประสบการณ์ของมนุษย์ผู้อยู่หลังกล้อง และเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการวิ่งตามเทคโนโลยี หรือหยิบยกเอาความเหนือกว่าของอุปกรณ์ถ่ายภาพมาข่มกันด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นตากล้องมือใหม่ หรือผู้ที่ชอบถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก สิ่งที่ควรโฟกัสอาจไม่ใช่การไขว่คว้าหาอุปกรณ์ที่ล้ำที่สุด ดีที่สุดมาครอบครอง แต่ควรเน้นไปที่ความรู้พื้นฐาน และ การฝึกฝน มาก่อนเป็นอันดับแรก ดังที่ Henri Cartier-Bresson (อองรี การ์ตีเย-แบรซง) ช่างภาพชาวฝรั่งเศส ปรมาจารย์ด้านการถ่ายภาพแนวสตรีทผู้ล่วงลับ เคยกล่าวเอาไว้ว่า “Your first 10,000 photographs are your worst.”
การถ่ายภาพไม่ใช่แค่ทำตามหนังสือ How to แต่คือต้องหัดคือเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ