CARS

The Story of BMW iPerformance เบื้องหลังแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า

By: Lady P. December 7, 2016

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยคือ ไลฟ์สไตล์ที่ผู้คนใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนท้องถนน ลอง
นึกภาพการจราจรติดขัดในยุคก่อนที่พวกเราจะมี Mass Transportation อย่างรถไฟฟ้า BTS และรถไฟใต้ดิน MRT
เปรียบเทียบกับยุคปัจจุบัน จะเห็นว่าจำนวนรถยนต์บนถนนไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย กลับยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนนึงอาจจะเป็นเพราะหน้าที่ของทุกคนที่จำเป็นต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา นั่นหมายความว่าพลังงานเชื้อเพลิง
ของโลกถูกใช้ในอัตราเร่งแบบก้าวกระโดด ทำให้เกิดควันพิษปริมาณมหาศาล แถมยังไม่มีใครรู้ว่า ยังมีน้ำมันจากซาก
ฟอสซิลหลงเหลืออยู่ใต้ดินให้เราใช้ได้อีกนานแค่ไหน

161128-bmwi-3

BMW PROJECT i : The day the electric car was born

แทนที่จะนั่งรอดูผลกระทบที่มีต่อโลกและมนุษย์ เป็นหน้าที่ของแบรนด์ชั้นนำที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีระดับหัว
แถว ที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้น BMW จึงมีแนวคิดริเริ่ม PROJECT i ซึ่งมีเป้าหมาย
ที่จะพัฒนา Electro-mobility เทคโนโลยีที่เน้นการ “ลด / เลิก” พึ่งพาพลังงานน้ำมันที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ
แต่ยังคงให้ความสุนทรีย์ในการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนกว่า

161128-bmwi-2แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแนวคิดใหม่ ๆ หมายถึงการต้องเริ่มคิดตั้งแต่กระบวนการต้นทาง การออกแบบ
โครงสร้างรถยนต์ จะวางตำแหน่งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ความจุขนาดใหญ่ไว้ตรงไหน เพื่อให้กระจายน้ำหนักและ
จุดศูนย์ถ่วงเพื่อบาลานซ์ของรถที่ดีขึ้น, กระบวนการผลิตที่ต้องลดการใช้พลังงานและไม่สร้างมลพิษให้สังคม,
infrastructure รองรับการใช้งานในอนาคต ซึ่งวันนี้พวกเราคงได้เห็นผลลัพธ์ของ PROJECT i กันแล้วกับโมเดล
BMW i3 และ BMW i8 จากแนวคิดสู่รถยนต์แห่งโลกอนาคตที่สามารถจับต้องได้ และตอบโจทย์ทุกข้อที่ BMW เคย
ตั้งคำถามในการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ได้อย่างยอดเยี่ยม

161128-bmwi-4

Carbon Fibre Reinforced Plastic : The Magic of BMW PROJECT i

ยังมีหลายคนเข้าใจผิด คิดว่าการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ก็แค่เอามอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่มาวางแทนที่
เครื่องยนต์ได้ง่ายๆ แต่ที่จริงแล้วการจะผลิตรถยนต์ภายใต้ PROJECT i ต้องเริ่มคิดใหม่ ทำใหม่ ทั้งหมด เนื่องจากน้ำ
หนักที่เพิ่มขึ้นกว่า 300 kg จากมอเตอร์และแบตเตอรี่ความจุมหาศาล จึงต้องทำการลดน้ำหนักรถยนต์พร้อมเพิ่ม
สมรรถนะการขับขี่ให้เร้าใจ รวมถึงความปลอดภัยในห้องโดยสาร ภายใต้แนวคิดใหม่ “LifeDrive concept” วิธีการ
ผลิตแบบใหม่ที่ BMW คิดค้นขึ้นมาใช้กับ PROJECT i โดยเฉพาะ ประกอบด้วยหัวใจสำคัญ 2 ส่วนคือ LIFE module
ซึ่งหมายถึงส่วนห้องโดยสาร และ DRIVE module ซึ่งเป็นส่วนของมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่

161128-bmwi-5เริ่มจาก LIFE Module, BMW เลือกใช้ Carbon Fibre Reinforced Plastic (CFRP) เทคโนโลยีวัสดุชั้นสูงของ BMW
แบบเดียวกับที่ใช้ใน Super HiTech Vehicle อย่าง Fighter Jet F22 Rapter, รถแข่ง Formula 1, Exotic
Hypercars เช่น Pagani Huayra, Ferrari F12, Lamborghini Aventador ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ Carbon
Fibre ที่มีความแข็งแรงทนทานมากกว่าเหล็กกล้าถึง 5 เท่า ในขณะที่มีน้ำหนักเบากว่าถึง 50% เพื่อชดเชยกับน้ำหนัก
ของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า พร้อมให้ความคล่องตัวและความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้โดยสารในรถยนต์ BMW

161128-bmwi-15

ลองนึกภาพว่ารถ F1 เกิดอุบัติเหตุที่ความเร็วเกือบ 200 km/h แต่คนขับสามารถลุกขึ้นเดินได้สบายๆ นั่นคือความ
ปลอดภัยที่เราจะได้จากการใช้ห้องโดยสาร Carbon Fibre นั่นเอง ซึ่งกว่าจะได้โครงของห้องโดยสารจาก Carbon
Fibre (CFRP) ออกมาได้นั้น ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงแบบเดียวกับที่ใช้ในการผลิตเครื่องบินรบหรือยานอวกาศ ที่เรียก
ว่า Resin Transfer Moulding (RTM) และเป็นครั้งแรกที่มีการนำ CFRP กับกระบวนการผลิตชั้นสูงมาใช้ผลิตรถยนต์
mass production เช่น BMW i3 ในราคาที่ไม่ไกลเกินครอบครอง เป็นผลจากความเชี่ยวชาญกว่า 10 ปี ในโรงงานที่
BMW ควบคุมกระบวนการผลิตอย่างประณีตทุกขั้นตอน

161128-bmwi-7

ในส่วนของ DRIVE module ที่เปรียบเสมือน Chassis หลักของรถยนต์ BMW i-series ที่มี CFRP Life body ประกบ
ไว้อย่างแข็งแรง และยังเป็นห้องขับเคลื่อนที่บรรจุมอเตอร์ไฟฟ้า ก็ใช้เทคโนโลยีล้ำหน้าในการผลิตเช่นกัน โดย Chassis ทั้งหมดถูกขึ้นรูปจาก aluminium ชิ้นเดียว แทนที่จะเป็นการประกอบทีละส่วนเหมือนการผลิตรถยนต์ทั่วไป การประกอบภายในทำอย่างเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูง จึงช่วยประหยัดพื้นที่การติดตั้ง ส่งผลให้น้ำหนักลดลงไปได้อีกส่วน ซึ่งกระบวนการนี้ก็ถูกผลิตในโรงงานที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของ BMW เช่นกัน

161128-bmwi-8

Clean Cars, Creating Cleanly

เคยมีการพูดถึงกระบวนการผลิตรถยนต์ Hybird หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ว่าแม้จะลดควันเสียจากการใช้เชื้อ
เพลิง แต่ก็สร้างมลภาวะในกระบวนการผลิตแบตเตอรี่ไม่ใช่น้อย ซึ่งนี่เป็นอีกข้อดีของ BMW ที่เน้นการแก้ปัญหาแบบ
ครบกระบวนการ BMW i-series ถูกผลิตด้วยความเป็นมิตรกับธรรมชาติมากกว่าปกติด้วยซ้ำไป ด้วยความทันสมัย
ของเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูง BMW i models ใช้พลังงานไฟฟ้าในการผลิตน้อยกว่าปกติถึง 50% และใช้น้ำใน
การผลิตน้อยกว่าปกติถึง 70% แถมไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตยังได้มาจากพลังงานธรรมชาติ (Wind Power) อีกด้วย
เรียกว่าเป็นการผลิตที่ 100% CO2-free ไม่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ธรรมชาติอย่างแท้จริง เรียกว่าสะอาด
ตั้งแต่รถยันโรงงานผลิตเลยทีเดียว

161128-bmwi-10

eDrive : Electrifying Power

แม้พวกเราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่สำหรับ BMW ที่มุ่งจะเป็นผู้นำด้าน
Electro-Mobility ได้เริ่มลงมือพัฒนารถพลังงานไฟฟ้าต้นแบบคันแรกให้เป็นจริงได้ตั้งแต่เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ในปี 1972
BMW เคยทำการทดลองรถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ด้วยการนำรถยนต์รหัส 1602 บรรพบุรุษของ
BMW 3-series ในปัจจุบัน ดัดแปลงให้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์จำนวน 6 ลูก สามารถขับได้ระยะทาง 30
กิโลเมตร ด้วยกำลัง 43 แรงม้า แม้จะฟังดูไม่มากมายเท่าไหร่ แต่อย่าลืมว่านี่คือยุคที่มนุษย์ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เป็น
ครั้งแรก และคงยังไม่มีใครเคยเห็นรถยนต์ที่ไม่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาก่อน จะมีก็เพียงในจินตนาการเท่านั้น

161128-bmwi-11

161128-bmwi-12

ในช่วงปี 80’s และ 90’s เป็นปีทองของ BMW ที่สามารถพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้แบบก้าวกระโดด นอกจาก
แก้ปัญหาการวิ่งได้ในระยะทางสั้นของ 1602 ในอดีต BMW สามารถสร้างรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบให้วิ่งได้ไกลถึง 150
km ต่อการชาร์จ 1 ครั้งได้ในปี 1982 ก่อนจะสร้างมาตราฐานใหม่ได้อย่างรวดเร็วในปี 1991 ด้วยการเปิดตัว BMW
E1 ในงาน Frankfurt Motor Show ที่แม้จะเป็น concept car แต่มีการพิสูจน์ว่า E1 สามารถวิ่งได้ไกลขึ้นไปอีกถึง
200 km ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบใหม่ตั้งแต่ต้นทาง เช่นเดียวกับแนวคิดของ BMW i3
“Born Electric” นั่นเอง

161128-bmwi-13

เมื่อมั่นใจ ต้องให้คนทั่วไปพิสูจน์ได้ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าต้นแบบที่กล่าวมาเป็นผลที่สร้างขึ้นมาเพื่องานวิจัย แต่ไม่
เคยมีคนนอกได้สัมผัสประสบการณ์เหล่านั้นมาก่อน จนกระทั่งในปี 2009 ก็ถึงเวลาที่ BMW จะผลักดันให้โครงการนี้
จับต้องได้จริง ไม่ใช่สำหรับเฉพาะแค่กลุ่มนักวิจัย แต่ BMW ได้เปิดให้คนทั่วไปกว่าพันคนจากสิบประเทศ ได้เข้ามาร่วม
ทดลองขับรถ Mini E เป็นครั้งแรก ด้วยสเปคที่ให้กำลังสูงถึง 204 แรงม้า แรงบิด 220Nm จากมอเตอร์ไฟฟ้า
ทำความเร็ว 0 – 100 km/h ได้ภายใน 8.5 วินาที พร้อมระบบ Launch Control เรียกว่าไม่แพ้เวอร์ชั่นตัวแรง John
Cooper Works เลย โดยการทดสอบใช้ระยะทางรวมกว่า 20 ล้านกิโลเมตร ทำให้ได้รับความไว้วางใจในเทคโนโลยีล้ำ
สมัยนี้อย่างไม่มีคำครหาใดๆ จนกระทั่ง BMW เปิดตัว PROJECT i models ครั้งแรกในปี 2014 เป็นการเดินทางกว่า
40 ปี ของการพัฒนา Electro-Mobility อย่างต่อเนื่องที่คุ้มค่าและเห็นผลอย่างชัดเจน

161128-bmwi-16

The Green Demon

นอกจากด้านความเสถียรในการใช้งาน Mini E น่าจะเป็นรถยนต์คันแรกที่เปลี่ยนแปลงไอเดียเก่า ๆ ที่ว่ารถพลังงาน
ไฟฟ้า รักธรรมชาติจะเป็นรถสมรรถนะสูงไม่ได้ ปัจจุบันเราได้เห็น Hypercars จำนวนมากหันมาใช้ระบบขับเคลื่อน
ไฟฟ้าแบบ Hybrid-Electric เปลี่ยนค่านิยมจาก Turbo ขนาดใหญ่ มาพึ่งพากำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าแทน ผลที่ได้คือ
ตัวเลขสถิติ Street-Legal ติดอันดับรถยนต์ที่แรงที่สุดในโลก

161128-bmwi-15

Porsche 918 Spyder, 4.6-litre V8 + electric motors, ทำความเร็ว 0 – 100 km/h ได้ภายใน 2.2 วินาที

Ferrari LaFerrari, 6.3-litre V12 + electric motors with KERS, ทำความเร็ว 0 – 100 km/h ได้ภายใน 2.4 วินาที

McLaren P1, 3.8-litre twin-turbo + electric motor, ทำความเร็ว 0 – 100 km/h ได้ภายใน 2.6 วินาที

161128-bmwi-17

เช่นเดียวกับ BMW i8 รถยนต์ที่ใช้โครงสร้าง Carbon Fibre Reinforced Plastic (CFRP) น้ำหนักเบาเช่นเดียวกับ i3
แต่ต่างกันที่การขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบบ Plug-in Hybrid Electric Vehicles (PHEV) เพื่อจุดประสงค์ด้าน
สมรรถนะการขับขี่ระดับ 362 แรงม้า จากการทำงานของเครื่องยนต์ 3 สูบ TwinPower Turbo ส่งพลัง 231 แรงม้า
สู่ล้อหลัง และมอเตอร์ไฟฟ้า 131 แรงม้าส่งพลังสู่ล้อหน้า ทำงานร่วมกันแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ด้วยแรงบิดมหาศาล
ระดับ 570Nm พร้อมกดหลังคนขับให้จมติดเบาะด้วยตัวเลขเวลา 0 – 100 km/h ภายใน 4.4 วินาที

161128-bmwi-19

161128-bmwi-18

แรงแต่ยังรักษ์โลก ด้วยตัวเลขที่ดุเดือดขนาดนี้ แต่ BMW i8 กลับมีตัวเลขประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงถึง 40 km per
litre อยู่ในอันดับต้นๆ ของรถ แถมยังปล่อยไอเสีย (CO2 emissions) เพียงแค่ 59 g/km น้อยกว่า Toyota Prius,
Ferrari LaFerrari, McLaren P1 และ Porsche 918 Spyder ที่มีค่า CO2 emissions ระดับร้อยไปถึงหลายร้อย g/
km ตัวเลขความประหยัดเชื้อเพลิงที่น่าประทับใจนี้เกิดจากการทำงานของ Intelligent Energy Management ระบบ
อัจฉริยะที่คอยควบคุมการชาร์จพลังงานของแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า ผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ ของ BMW
EfficientDynamics เช่น ECO PRO / Brake Energy Regeneration เรียกว่าไม่มีอะไรเสียเปล่าจากรถยนต์ BMW
ชนิดที่ยากจะมีรถรุ่นไหนมาทำลายได้สถิติของ BMW eDrive ลงได้

161128-bmwi-20

From eDrive to iPerformance : Best of both worlds

แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ต้องทำให้ครบวงจร BMW ได้ทำการถ่ายทอดความรู้จากเทคโนโลยี eDrive ของ i8 สู่รถยนต์
รุ่นอื่นของค่าย เพื่อให้มั่นใจว่าการทำงานร่วมกันของ Petrol engine และ Electric Motor + Lithium-ion battery
สามารถตอบสนองอารมณ์การขับขี่ได้ไม่แพ้กัน และการยืดระยะทางขับขี่จากการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุดด้วย
Intelligent Energy Management มาใช้ในรถยนต์ Plug-in Hybrid อย่าง BMW X5 xDrive 40e และ BMW 330e
ที่เปิดตัวในราคาจับต้องได้ และยังมีข้อดีในอารมณ์การขับขี่ การประหยัดน้ำมัน รวมถึงความรักษ์โลกที่มีไม่แพ้รุ่นพี่
อย่าง i8

เรียกว่าเป็นจุดแข็งของ BMW ที่เอาเทคโนโลยี eDrive มาใส่ในรถรุ่น BMW iPerformance ทั้งหมด ที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดอยู่หลายก้าว น่าจะตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ใช้งานอย่างพวกเราให้ติดใจได้ไม่ยาก และแน่นอนว่ายังตอบโจทย์ที่ BMW เคยตั้งไว้ให้กับตัวเองได้อย่างยั่งยืนและครบถ้วน

161128-bmwi-21

161128-bmwi-22

Lady P.
WRITER: Lady P.
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line