Trance Music รากแก้วจากดนตรี EDM ยุค 90s สู่ Transmission วัฒนธรรมดนตรีสุดยิ่งใหญ่แห่งทวีปยุโรป

หากพูดว่าดนตรี Rock คือแนวดนตรีของมวลมนุษย์ชาติ ดนตรีแนว EDM ก็เปรียบดังดนตรีแห่งจักรวาล เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เพศอะไร อายุเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการปิดกั้นสำหรับการฟัง Electronic Dance Music  หลายคนอาจจะสงสัยเพลง EDM เนี่ยนะ ! ใครก็ฟังได้ ถ้าฟังเวลาปกติ มันจะไม่ดูหนักเกินไปหรือ แต่ถ้าคุณมีความเข้าใจในแนวดนตรีนี้มากเพียงพอ ก็จะรู้ว่าจริง ๆ แล้ว ดนตรีที่เรียกว่า EDM สามารถแบ่งแยกลงไปได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น House , Trance , Techo และในแแต่ละประเภทก็ยังแตกย่อยลงไปได้อีกมากมาย ครอบคลุมทุกความหนักเบาในทุกอารมณ์อย่างแท้จริง

ดนตรีประเภทที่เรียกกันว่า EDM หรือชื่อเต็มว่า Electronic Dance Music เป็นการเรียกเหมารวมดนตรีแนวแดนซ์ ที่มีต้นกำเนิดมาจากไนท์คลับในยุคปลาย 80 เน้นการใช้เครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อย่างเครื่องสังเคราะห์เสียง ดรัมแมชชีน และ Sequencer มาประกอบกันจนได้ออกมาเป็นจังหวะเพลงมันส์ ๆ จะเรียกว่าถูกสร้างขึ้นมาสำหรับให้ DJ mix เพลงในคลับก็ไม่ผิดนัก เริ่มได้รับความนิยมจากฝั่ง Europe ก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปฮิตในฝั่ง USA ถึงขั้นกลายเป็น Mainstream Music สำหรับชาวแดนซ์และอุตสาหกรรมเพลงในปี 2010 ลบล้างภาพผิด ๆ ว่า EDM ต้องเกี่ยวข้องกับยาเสพติดไปจนหมดสิ้น และปัจจุบัน EDM ก็ได้กลายเป็น culture แห่งความสนุกสนาน ที่ผู้คนยอมเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล ไปแดนซ์กับ DJ คนโปรดของตัวเองกันแบบที่เราเห็นภาพกันได้บ่อยขึ้นในปัจจุบัน

อย่างที่บอกว่า ดนตรี  EDM เป็นเสมือนบรรพบุรุษของ Dance music เกือบทั้งหมดก็ว่าได้ แต่ถ้าพูดถึงสาขาย่อยที่แตกออกมาอย่างแข็งแรง ได้รับความนิยมกว้างขวางอยู่คู่ชาวแดนซ์มาช้านาน คงจะต้องยกให้ Trance music ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคพีคของ Music Culture ช่วงต้นของยุค 90s เริ่มจากฝั่ง Europe ตั้งแต่ Germany, UK, Czech ก่อนจะกระจายความนิยมไปสู่หลายประเทศทั่วโลก ด้วยสไตล์ของดนตรีที่ถูกออกแบบให้เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนฟัง ลูกเล่นของจังหวะที่สลับ Peaks และ Drops แบบ Free-From เกินคาดเดา เหมือนจะลากไปจุด Climax ก่อนจะตัดไป Soft ก่อนจะลากอารมณ์ขึ้นไปใหม่อีกครั้ง เป็นความท้าทายที่ Trance DJ ต้องออกแบบ ทดลอง และ สร้างลูกเล่นให้จังหวะเร้าใจ บิ้วให้ชาวแดนซ์ต้องพร้อมขยับแข้งขารับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเทียบกันแล้ว Trance ในยุคใหม่จะมีความซับซ้อนกว่าในยุคก่อนมาก แต่ก็มีเสน่ห์และการไล่จังหวะมันส์ ๆ ที่สนุกสนาน และติดหูกว่ามากเช่นกัน

Trance Musics อาจจะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นชินนักในบ้านเรา แม้หลายคนจะคุ้นกับ Trance มาบ้าง แต่ที่จริงแล้วแนวดนตรีของ Trance นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลากหลายประเภท และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น

Acid Trance เป็น Trance ก่อนยุคทศวรรษที่ 90 เสียงส่วนใหญ่เน้นไปที่เสียงจาก Synthesizer ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Roland TB-303 เป็นหลัก

Goa Trance ว่ากันว่ามีมาก่อน และก็ไม่เกี่ยวข้องกับ Trance ยกเว้นชื่อของมัน โดยดนตรีจะเป็นกลิ่นอายของทางอินเดีย ที่เกิดจากเมือง Goa ทางตะวันตกของประเทศอินเดีย

Psychedelic Trance แนวนี้จะออกแนวหลอน และมักถูกจำสับสนกับ Goa Trance ด้วยรูปแบบการดำเนินของดนตรี เพลงที่ทำขึ้นจะมี beat ที่เร็ว หนักไปด้วยเสียงเบส

Minimalist trance – ถูกพัฒนามาก่อนยุค 2000 เป็นการรวมของ PsyTrance และ Progressive Music นิยมใน Denmark, Sweden และ Germany

Progressive Trance บางที่เรียกมันว่า Melodic Trance จะมีส่วนของ Techno music กับ Ambient Music เสียงเพลงจะมีลักษณะล่องลอย บางครั้งจะเรียกเป็น Epic Trance, Melodic Trance หรือ Anthem Trance

สำหรับ Trance DJ ชั้นนำของวงการในปัจจุบันที่หลายคนน่าจะคุ้นหูกันดี ก็อย่างเช่น Armin Van Buuren , Tiesto , Markus Schulz และอีกมากมาย ที่รวมตัวกันสร้างกระแส Trance จนเกิดกลุ่มคนที่คลั่งไคล้ ดนตรีแนว Trance ในยุโรป และนำไปสู่งาน festivals อลังการมากมายทั่วโลก อาทิ Street Parade ( งาน electronic เก่าแก่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ) , Boom festival ( งาน outdoor ที่จัดทุก ๆ สองปี ในประเทศโปรตุเกส ) หรือ Transmission festivals ( งานดนตรีแนว Trance จัดที่กรุงปราก เป็นงาน indoor ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป )

ซึ่งถ้าให้พูดถึงงานพวกนี้ ยังถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับชาว Asia ค่อนข้างมาก เพราะวัฒนธรรมเพลงแดนซ์เหล่านี้ เพิ่งจะเข้ามาจัดในไทยได้ไม่นานมากนัก ทีมจัดงานส่วนใหญ่ยังคงมีความกล้าๆ กลัวๆ ในการจะจัดสเกลงานให้ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนกับในต่างประเทศ ที่มี Music Festival เข้าขั้นวัฒนธรรมชีวิต ไม่ใช่แค่การไปงานปาร์ตี้อย่างในบ้านเรา 

แต่นับว่าเป็นความโชคดีของขาแดนซ์ชาวไทย เมื่อมีผู้จัดใจถึง นำเข้า Transmission Festivals เทศกาลดนตรี Electronic Dance สุดยิ่งใหญ่ ซึ่งปกติเราต้องบินไปแดนซ์ไกลถึงกรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็ก เพื่อจะได้สัมผัสประสบการณ์ที่ขึ้นชื่อเรื่อง Visual and Laser Production ระดับโลก เข้ามาจัดอย่างสุดอลังการเต็มรูปแบบ ภายใต้ concept “The Lost Oracle” เน้นการนำเสนอดนตรี Trance สุดเร้าใจ เป็นครั้งแรกถึงในประเทศไทย และยังนับเป็นครั้งแรกสำหรับทวีป Asia ที่จะได้มันส์ในมหกรรมคอนเสิร์ตยิ่งใหญ่ระดับโลกในสเกลนี้อีกด้วย

ความเจ๋งของ Transmission Festival ที่จะยกมาจัดในบ้านเรานั้น จะประเดิมการใช้ฮอลล์ 100 ใหม่ล่าสุดของ  Bitec บางนา ซึ่งเป็นฮอลล์ที่ใหญ่ที่สุด มีความสูงของฮอลล์ถึง 25 เมตร เพื่อรองรับ ความอลังการบทเวทียักษ์ความสูงกว่า 23 เมตร จัดเต็มวิชวล สเปเชียลเอฟเฟกต์ ไลฟ์แอ็คชั่น เลเซอร์ ด้วยจอ LED-screen รวมกว่า 300 ตารางเมตร และเลเซอร์ 18 ตัว เป็นความยิ่งใหญ่แบบฉบับงาน Transmission อย่างแท้จริง ที่สำคัญไลน์อัพดีเจ ก็ขนมาระดับพระกาฬตัวพ่อทั้งนั้น อาทิ Markus Schulz , Ferry Corster , Aly Fila , John O’ Callaghan, Bryan Keatney,  Driftmoon, Omnia  ที่ต่างซ้อมฝืมือ เตรียมบินมามอบความเร้าใจแบบไหลลื่นสไตล์ Trance ให้กับชาวไทยทุกท่านในวันที่ 10 มีนาคม 2560

นี่เป็นแค่ตัวอย่างเทศกาลดนตรีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นภาพความมันส์และความยิ่งใหญ่ของ Transmission โอกาสดี ๆ ที่หายากระดับนี้ ถ้าใครพลาดไปต้องน่าเสียดายเป็นอย่างมากแน่นอน ดังนั้นเราแนะนำให้รีบเข้าไปเช็คข้อมูล และสอบถามเรื่องบัตรเพิ่มเติมได้ที่ Transmission Festival Asia