คำสอนเรื่อง ‘ลูกผู้ชาย’ ก็เหมือนดาบ 2 คม ส่งผลดีและร้าย ด้านหนึ่งมันก็ทำให้ผู้ชายรู้จักทำหน้าที่ของตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้ผู้ชายไม่เป็นตัวของตัวเอง ใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีความสุข ร้ายที่สุดอาจส่งผลให้ผู้ชายใช้ความรุนแรงกับคนอื่นด้วย การสอนเรื่องลูกผู้ชายแบบผิดเป็นใหญ่ จนมีการนิยามคำว่า ความเป็นชายเป็นพิษ (Toxic Masculinity) ขึ้นมาเพื่ออธิบายมันเลยทีเดียว ในบทความนี้ UNLOCKMEN เลยอยากให้ทุกคนเข้าใจถึงผลเสียของ Toxic Masculinity และวิธีการรับมือกับมัน Toxic Masculinity คืออะไร ? ทำไมถึงส่งผลเสียต่อลูกผู้ชาย ? คนส่วนใหญ่มักเชื่อว่า พฤติกรรมของคนเกิดจากการกระทำของตัวพวกเขาเอง เช่น กรณีของคนตกงานที่มักถูก shaming ด้วยคำพูดต่างๆ อาทิ “ถ้าพยายามมากกว่านี้ก็คงได้งานแล้ว” เป็นต้น โดยมองข้ามปัจจัยอื่นๆ เช่น โอกาสในการหางานใหม่ หรือ ภาวะทางเศรษฐกิจ กรณีของผู้ชายเลวก็ไม่ต่างกัน พฤติกรรมเลวๆ ของพวกเขามักถูกตัดสินว่าเกิดจากนิสัยหรือสันดานของตัวพวกเขาเอง ซึ่งนักสังคมวิทยาจะมองเรื่องนี้ต่างออกไป พวกเขาไม่ได้มองว่ามันเกิดจากนิสัยของพวกเขาเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมอื่นๆ ที่ส่งผลให้ผู้ชายทำพฤติกรรมไม่ดีได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การสั่งสอนเรื่องลูกผู้ชายแบบผิดๆ ที่เรียกกันว่า ‘Toxic Masculinity’ Toxic
“แต่งตัวแบบนี้คนอื่นหัวเราะเยาะแน่เลย” “เราต้องทำอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ทำไมคนอื่นดูไม่ค่อยพอใจเราเลย” รู้ไหมว่าบางครั้ง คุณอาจคิดไปเองว่าคนอื่นจะสนใจเรามากเกินความเป็นจริง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ และมักมองเรื่องต่าง ๆ ผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะต้องทำหรือรู้สึกเหมือนที่ตัวเองรู้สึก ทางหลักจิตวิทยาเรียกปรากฎการณ์นี้เรียกว่า ‘Spotlight Effect’ วันนี้ UNLOCKMEN จะมาอธิบายให้ฟังว่า Spotlight Effect คืออะไร ทำงานยังไง และเราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Spotlight Effect ตรงกัน ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนลองจินตนาการว่า พวกเรากำลังอยู่ในโรงละครที่การแสดงละครเวทีกำลังดำเนินอยู่ บนเวที พระเอกและนางเองกำลังแลกเปลี่ยนบทสนากัน ภายใต้แสง spotlight ที่ส่องมายังทั้งคู่ เพื่อเป็นการบ่งบอกผู้ชมว่านี่คือตัวละครสำคัญในฉาก พร้อมดึงดูดความสนใจของสายตาทุกคู่ที่อยู่ในโรงละครให้จับจ้องไปที่นักแสดงใต้แสง spotlight นั้น Spotlight Effect จึงเป็นคำเรียก ปรากฎการณ์ที่คนคิดไปเองว่าตัวเองได้รับความสนใจจากคนอื่นตลอดเวลา เหมือนกับมีแสง spotlight ส่องมายังพวกเขาตลอดเวลา (ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่โรงละคร ไม่มีแสง spotlight และคนเราไม่ได้สนใจคนอื่นมากขนาดนั้น) ทำให้พวกเขารู้สึกต้องระแวดระวังตัวเองอยู่เสมอ เพราะกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดพลาดของตัวเองได้ ยกตัวอย่าง เวลาเล่นกีฬา คนจะรู้สึกว่าเพื่อนร่วมทีมสังเกตข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยหลายชิ้นได้พยายามอธิบายการมีอยู่ของ
เวลาทำงานเราจำเป็นต้องพูดคุยกับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน บอส หรือ ลูกค้า ทักษะในการสื่อสารที่ดีจึงสำคัญต่อการทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างมาก เพราะถ้าเราคุยกับคนอื่นได้ไม่ดี เราอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและประสบกับความล้มเหลวในการทำงานได้ UNLOCKMEN เลยอยากจะแนะนำ 5 ประโยคที่ไม่ควรพูดในที่ทำงาน โดยหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น “เราทำแบบนี้มาตลอด” แม้คุณจะเป็นฝ่ายถูก แต่การพูดแบบนี้มักทำให้หัวหน้ารู้สึกว่า “คุณไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แย่ของคนทำงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงสามารถนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่องค์กร ดังนั้นจงจำไว้ว่า สิ่งที่ทำมาตลอดไม่ใช่ว่ามันจะดีที่สุดเสมอไป บางสิ่งมันก็ควรเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เช่น การเปลี่ยนจากทำงานบนกระดาษมาเป็นทำงานเอกสารบนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตแทน แทนที่เราจะพูดแบบนั้น เราควรถามฝ่ายตรงข้ามกลับไปว่า “อะไร คือ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการลองวิธีใหม่” ถ้าวิธีการทำงานแบบใหม่ดีกว่าวิธีเก่าจริง พวกเขาก็ควรบอกได้ว่าทำไมมันถึงดีกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้ดีกว่าเลย คุณก็ควรบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรใช้วิธีเก่ากันต่อไป “ผมจะลองดู” ถ้าเราใช้คำว่า “จะลองดู” หรือ “จะพยายามทำดู” นั่นหมายความว่า คุณไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูง ซึ่งความไม่มั่นใจและความกลัวไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานเลย การทำให้หัวหน้าของคุณรู้สึกแบบนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวคุณเช่นกัน ดังนั้น แทนที่คุณจะพูดว่า “จะลองดู” ให้พูดว่า “จะทำให้อย่างสุดความสามารถดูครับ แล้วเดี๋ยวผมจะสรุปมาให้ว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรเพื่อปรับปรุงได้บ้าง” แทน ซึ่งเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพมากกว่า “ขอโทษครับ แต่….” เวลาที่คุณรู้สึกผิดกับความผิดพลาดของตัวเอง คำว่า
ใครที่ทำงานอยู่บ้านแล้วนั่งทั้งวัน ไม่ได้ออกกำลังกายเลยเพราะงานยุ่ง ตอนนี้มีตัวช่วยใหม่ที่ทำให้เราสามารถทำงานไปด้วยและมีสุขภาพที่ดีขึ้นไปด้วย ตัวช่วยนี้มีชื่อว่า Walkolution เป็นลู่วิ่งไม้แบบไม่ใช่ไฟฟ้าที่ทำให้เราวิ่งหรือเดินไปพร้อมกับการทำงานหน้าคอมได้ นวัตกรรมนี้ได้รับการออกแบบโดย Dr.Eric Söhngen และ Frank Ackermann จากประเทศเยอรมัน และช่วยให้คนทำงานสามารถเอนจอยกับการวิ่งได้แม้ในตอน meeting ออนไลน์ เพราะมันเป็นลู่วิ่งอนาล็อกจึงทำให้เกิดเสียงเบามาก แถมตัวลู่วิ่งยังมาพร้อมกับดีไซน์พิเศษที่มีลักษณะเหมือนที่พิงหลัง ช่วยให้เราสามารถพิงหลังได้อย่างสบาย แถมยังช่วยแก้โรคปวดหลังและปวดอกอีกจากการนั่งเป็นเวลานานอีกด้วย นอกจากนี้ การใช้งานลู่วิ่งยังไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้ากีฬา เพราะที่พื้นมีแผ่นบานเกล็ดที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่องความยืดหยุ่นคล้ายสปริง เวลาวิ่งบนเครื่องจะให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบพื้นป่าอ่อน ๆ ยิ่งไปกว่านั้น การกระดอนกลับและความแข็งหลายระดับของพื้น ยังช่วยคลายความตึงของกล้ามเนื้อและเกิดความผ่อนคลายอีกด้วย สิ่งนี้ช่วยป้องกันการเกิดการเจ็บปวดที่เดิมซ้ำ (Repetitive Strain Injury: RSI) ไปพร้อมกับการช่วยพัฒนาการประสานงานและสมดุล แถมพอเราซื้อสินค้า เราอาจมีส่วนช่วยโลกด้วย เพราะเมื่อขายสินค้าได้แต่ละชิ้น ทางบริษัทจะมีการปลูกต้นไม้ทดแทน 10 ต้น เพื่อชดเชยการนำวัสดุไปใช้และการปล่อยก๊าซในขั้นตอนการผลิด ความพิเศษของตัวลูวิ่งยังมีอีก คือ เราไม่จำเป็นต้องบำรุงรักษามัน แถมยังไม่ต้องทาน้ำมัน หรือ หล่อลื่นอีกด้วย ตัวลู่วิ่งทำมาจากบีชและไม้อัดเบิร์ช ส่วน inner frame ทำมาจากเหล็กแข็งที่รองรับน้ำหนักได้มากกว่า 160 กิโลกรัม
คนที่เคยดูซีรีส์เกาหลีชื่อดังอย่าง “It’s okay to not be okay” อาจคุ้นเคยกับวิธีบำบัดที่ชื่อว่า Butterfly Hug หรือ การกอดตัวเองโดยการเอามือทาบไว้ที่หน้าอกจนมีลักษณะเหมือนปีกผีเสื้อกันบ้างแล้ว ในบทความนี้ UNLOCKMEN อยากมาแนะนำวิธีการกอดตัวเองอีกแบบหนึ่งชื่อว่า Havening ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยลดความเครียดให้เราได้เป็นอย่างดี Havening คือ อะไร ? สมองของเราจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ (emotional brain) และส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิด (thinking brain) ซึ่งการทำงานของสมองเหล่านี้ถูกควบคุมโดยอะมิกดาลา (กลุ่มนิวเคลียสประกอบด้วยโครงสร้างต่าง ๆ มีหน้าที่สร้างความรู้สึกกลัว วิตกกังวล) หากมันพบเจอเหตุการณ์ที่ดูเป็นภัยคุกคามแก่ชีวิต มันจะสร้างความเครียดให้เรา และเร่งให้เกิดการตอบสนองอย่างรวดเร็วที่เรียกว่า fight-or-flight เช่น การวิ่งหนีโจรผู้ร้าย หรือ การเอาตัวรอดจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ อย่างไรก็ดี สมองของเรามักคิดไปเองว่ากำลังเจอภัย โดยเฉพาะสมองของคนที่เป็นโรควิตกกังวลทั่วไป (generalized anxiety) โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง ( post-traumatic stress disorder) และ
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมีชีวิตดี ทำธุรกิจอะไรก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนทำอะไรก็ให้ผลตอบแทนไม่งอกเงยเท่าที่ควร มีผลวิจัยทำสถิติระบุว่า เรื่องนี้อาจอยู่ที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและมุมมองวิธีคิดของแต่ละคน เช่นคนที่มักจะรายล้อมตัวเองด้วยคน Toxic หรือมองความท้าทายเป็นปัญหาที่ไม่กล้าจะก้าวเท้าออกไปเผชิญหน้ากับมัน วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล ดูเหมือนว่าคนรอบตัวจะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนเก่ง เราจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ถ้าเราอยู่กับคนขี้แพ้ เราอาจกลายเป็นคนขี้แพ้ไปด้วย งานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 25 ปีของ Dr. David McClelland อาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ปัจจัยนึงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเราได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ กลุ่มอ้างอิง (reference group) หรือกลุ่มคนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วย พูดคุยด้วย หรือ ทำงานร่วมกันเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ส่งผลต่อตัวเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่เราเลือกคบนั้นจะมีอิทธิพลต่อเราในทุกด้าน Warren Buffet เคยพูดว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากการใช้เวลาร่วมกับคนที่ดีกว่าตัวเอง เลือกเพื่อนที่มีพฤติกรรมดีกว่าเรา เราจะอยากผลักดันตัวเองให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้นไปด้วย ดังนั้น เราควรมีเพื่อนเก่ง ๆ อย่างน้อยสักหนึ่งคนที่สามารถขอคำแนะนำหรือคำปรึกษาในยามที่เกิดปัญหา ในขณะเดียวกัน ตัวเราเองก็ต้องมีความพร้อมในการมองเห็นและยอมรับปัญหาของตัวเอง เพื่อที่จะได้พัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้นได้แบบ inside-out เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีและความรู้ในโลกเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้ความเข้าใจที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งแต่ปีที่แล้ว เราเห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการรถยนต์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์บินได้ หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้า แสดงให้เห็นถึงอนาคตที่ไร้ขีดจำกัดของยานพาหนะชนิดนี้ วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำเทรนด์รถยนต์ (Automotive Trends) ที่คาดว่าจะมาแรงและน่าจับตามองในปี 2022 ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าเต็มตัว เรากำลังเดินทางเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ต้องใช้หมอดูก็เห็นอนาคตที่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะมาแทนที่เครื่องยนต์เผาไหม้แน่นอน เพราะตอนนี้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่วางขายในตลาดมีคุณภาพไม่แพ้เครื่องยนต์เผาไหม้เลย เช่น Tesla Model 3 หรือ Hyundai Kona Electric ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และยังมีสตาร์ทอัพหลายแห่งที่เริ่มหันมาผลิต EV กันมากขึ้น เช่น Aptera ของ Aptera Motors หรือ Canoo Pickup ของ Canoo รวมถึงคู่แข่งที่พร้อมจะล้ม Tesla และน่าจับตามองอย่าง Rivian, Lucid Air รวมถึงค่าย gadgets อย่าง Sony
เวลาใช้งานคีย์บอร์ด ปัญหาที่เราพบเจอกันบ่อย คือ มันมีขนาดที่ใหญ่เกินไปจนขาดพื้นที่ในการวางเม้าส์ แถมคีย์บอร์ดบางยี่ห้อยังทำให้เราเกิดอาการปวดมือได้ง่ายอีกด้วย ตอนนี้มีสตาร์ทอัพที่พยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยการทำให้คีย์บอร์ดสามารถพกพาไดง่ายขึ้น และใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น MoErgo สตาร์ทอัพในประเทศ New Zealand ได้พัฒนา Glove 80 ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดแบบแยก (split keyboard) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากถุงมือ โดยคีย์บอร์ดอันนี้มาในดีไซน์แบบเออร์โกโนมิคส์ (ergonomic) และเลย์เอาท์ (layout) ที่สอดคล้องกับรูปมือมนุษย์ ผู้พัฒนาเผยว่า พวกเขาใช้เวลาพัฒนาคีย์บอร์ดนี้มานานกว่า 6 ปี โดยมีการทำ comparative A/B testing มากกว่า 500 ครั้ง จน Glove 80 ออกมาเป็นคีย์บอร์ดที่มีปุ่มกดที่เหมาะสมกับปลายนิ้วมือของเรา มันมาพร้อมกับปุ่มกด 80 คีย์ (ข้างละ 40 คีย์) และมีรูปร่างเหมือนถุงมือ พร้อมด้วยที่พักฝ่ามือ และขาคียบอร์ดแบบปรับแต่งได้ เพื่อให้คีย์บอร์ดสามารถปรับแต่งได้ตามใจผู้ใช้งานมากที่สุด นอกจากนี้ ดีไซน์ของคีย์บอร์ดยังช่วยให้ ข้อมือ แขน และไหล่อยู่ในตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด เวลาใช้งานจึงเกิดความเหนื่อยล้าน้อยลง
ปัญหาของการพัฒนาอุปกรณ์ VR คือ ผู้ใช้งานมักแยกพื้นที่ในโลกแห่งความเป็นจริงและพื้นที่ในโลกเสมือนไม่ออก จนทำให้เวลาท่องโลกเสมือนซึ่งมีความไร้ขอบเขตไม่เหมือนโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ใช้งาน VR อาจเดินชนประตู กำแพง ข้าวของ หรือ สิ่งกีดขวางที่อยู่ในบ้านของตัวเองก็เป็นได้ มีผู้พัฒนาหลายคนพยายามแก้ไขปัญหาอยู่ อย่างตอนนี้ก็มีสตาร์ทอัพแห่งหนึ่งชื่อว่า Ekto VR ที่ออกแบบรองเท้าสุดเท่ที่มีดีไซน์ออกแนว Cyberpunk โดยรองเท้าคู่นี้มีชื่อว่า Ekto One ซึ่งเป็นรองเท้ากลไกขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีพิเศษทำให้ผู้ใช้งานท่องโลก Metaverse ได้โดยไม่เดินชนสิ่งกีดขวางในโลกความเป็นจริง Ekto One เป็นรองเท้าที่ทำจากวัสดุแข็งแรงอย่าง คาร์บอนไฟเบอร์ (Carbon Fiber) และช่วยให้เรารู้สึกเหมือนการเดินเท้าบนดวงจันทร์ โดยที่ฝ่าเท้าของรองเท้าจะมีการติดตั้งล้อมอเตอร์ที่หมุนไปในทิศตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวไปข้างหน้าของผู้สวมใส่ ทำให้เวลาเดินเหมือนเดินอยู่บนลู่วิ่ง คือ ผู้ใช้งานเดินอยู่กับที่ สำหรับการใช้งาน Ekto One ต้องใช้ร่วมกับหูฟังวีอาร์ (VR headset) ซึ่งเป็นตัวช่วยในการมองภายของโลกเสมือน เมื่อใช้อุปกรณ์ทั้ง 2 อย่างนี้ร่วมกันแล้ว เราจะท่องโลก Metaverse ได้เหมือนกับท่องโลกในชีวิตจริงเลย เป้าหมายเริ่มต้นของรองเท้าคู่นี้ คือ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ใน training simulation หรือ สิ่งแวดล้อมจำลองสำหรับการฝึกฝนบุคลากรในด้านต่าง
ความแตกต่างระหว่าง ‘นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ’ กับ ‘คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ’ ปัจจัยสำคัญนั้นอยู่ที่วิธีคิด หรือ Mindset ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญต่อการทำธุรกิจอย่างมาก ว่ากันว่าถ้าเรามี Mindset ที่ดี เราจะสามารถจัดการรับมือและแก้ปัญหาได้ดีกว่าคนอื่น ทำให้มีโอกาสชนะในการแข่งขันทางธุรกิจมากกว่าคนอื่นอีกด้วย Mindset หมายถึง กลุ่มของความเชื่อที่ส่งผลต่อความเข้าใจในโลกรอบตัว วิธีคิด ความรู้สึก การแสดงออกในแต่ละสถานการณ์ รวมไปถึงการแก้ปัญหาชีวิตของเรา มันจึงเป็นอะไรที่สำคัญมาก และนักธุรกิจทุกคนควรให้ความสนใจและพัฒนา Mindset ของตัวเองอยู่บ่อย ๆ เราอยากแนะนำประเภทของ Mindset ที่จะช่วยให้นักธุรกิจทุกคนเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นในปีใหม่ที่แสนจะท้าทายนี้กันครับ Growth Mindset เริ่มจาก Growth Mindset หรือ แนวคิดของมนุษย์ที่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา เพียงแค่มีความตั้งใจและความพยายามก็สามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น หรือ ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่อหนึ่งมากขึ้นได้ คนที่มีแนวคิดแบบนี้ยังมองว่าการหยุดพยายาม หรือ การหนีจากปัญหาคือความล้มเหลว ในขณะที่ความท้าทายหรืองานที่โหดหิน จะทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ฉลาดยิ่งขึ้น Growth Mindset สำคัญต่อนักธุรกิจ เพราะมันช่วยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหา และตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักธุรกิจเจอกับการขาดทุนหนักในระยะเวลานึง ถ้ามี Growth Mindset พวกเขาจะไม่เลิกทำธุรกิจ แต่จะเรียนรู้จากปัญหา