หนึ่งในคำชมที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ มักจะเอ่ยถึงผู้หญิงที่เรารัก จริงจัง และรู้สึกมั่นใจว่าอยากใช้ชีวิตด้วยก็คือ “คนนี้เป็นแม่ของลูกได้เลย” ซึ่งเป็นประโยคที่รวมเอาหลากหลายความรู้สึกและเหตุผลดี ๆ เข้าไว้ด้วยกัน แม้อาจจะยังไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้ถึงขั้นเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ก็พอจะฝันได้ว่าความสัมพันธ์รุ่งแน่นอนจนแก่เฒ่า เพราะเราทุกคนก็รู้อยู่ว่าสังขารนั้นไม่เที่ยง พออายุมากขึ้นก็จะเหี่ยวย่นไปตาม ๆ กัน สิ่งที่ยั่งยืนที่สุดคือเสน่ห์ทางนิสัยใจคอ ความเข้ากันได้ ความเข้าใจ ความเอาใจใส่ และความมั่นคงทางความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งที่จะทำให้คนเรารักกันจนถึงวันสุดท้ายที่หายใจ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเธอจะเป็นแม่ที่ดีได้ในอนาคต ? เรื่องนี้คงตัดสินด้วยการให้เธอซ้อมเป็นคุณแม่ไม่ได้ หรือจะตัดสินกันแค่เรื่องสุขภาพร่างกายเพียงอย่างเดียวก็ไม่พอ ต้องสังเกตจากการคบหากันนี่ล่ะ ว่ามีสัญญาณที่บ่งบอกหรือไม่ว่าเธอจะเป็นแม่ที่ดีของลูกได้หรือไม่ ลองดูว่าคนรักของคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้หรือเปล่า เพื่อความมั่นใจว่าต้องเป็นเธอแน่นอน เธอซื่อสัตย์กับคุณ ถ้าการคบหากับเธอแล้วคุณไม่รู้สึกกังวลเลยว่าเธอจะวอกแวกนอกใจคุณ เธอชัดเจน และเปิดเผยกับคุณเสมอ หรือไม่ว่ากราฟชีวิตคุณจะขึ้นสูงหรือลงต่ำเพียงใด เธอก็ยังอยู่เคียงข้างคุณเสมอ แบบนี้วางใจได้เลยว่าเธอมีพื้นฐานของการเป็นคุณแม่ที่ดี ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ล้ำค่า และเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์ อาจต้องใช้เวลาพิสูจน์นานเป็นแรมปี ก่อนที่จะหวังให้เธอมาซื่อสัตย์กับคุณ คุณก็ควรจะมอบสิ่งนี้ให้เธอก่อน ค่อย ๆ เป็นค่อยไป พอถึงวันที่เชื่อใจซึ่งกันและกันรับรองว่าความสัมพันธ์จะยืนยาว เธอเป็นผู้ฟังที่ดี ให้ความเห็นได้ ข้อแตกต่างของผู้ฟัง และผู้ฟังที่ดีก็คือ ผู้ฟังที่ดีจะตั้งใจฟังสิ่งที่คุณพูดออกมา และสามารถให้ความเห็นได้จากสิ่งที่ใส่ใจรับฟัง ราวกับว่าเสียงของเรามันดังที่สุดในโลก
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีเงื่อนไขมากมาย ทำให้เรามักจะต้องตัดสินใจอะไรภายใต้ความซับซ้อนทางความคิด แยกแยะกันน่าดูระหว่างตรรกะ และความรู้สึก สุดท้ายกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ตัดสินใจนั้นถูกหรือผิดก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ที่เกริ่นนำมาอาจจะดูเครียดไปหน่อย เอาเป็นว่าลองนึกถึงเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน เช่น หัวหน้าของคุณชวนไปดินเนอร์ หรือดื่มเพื่อคอนเนกชั่นกับคนที่คุณไม่เคยเจอมาก่อน ไม่ก็มีคนจากบริษัทดังติดต่อขอนัดเจอเพื่อคุยกันเรื่องตำแหน่งงาน หรืออาจารย์ที่เคยสอนคุณสมัยมัธยมโทรมาขอให้ช่วยกลับไปบรรยายเรื่องอาชีพให้กับรุ่นน้อง แบบนี้คุณจะตอบ “ตกลง” หรือ “ปฏิเสธ” ไปดี ? Shonda Rhimes โปรดิวเซอร์และผู้เขียนบทรายการทีวีชื่อดัง ได้ถ่ายทอดผ่านหนังสือ Year of Yes ว่า เธอได้ say “yes” ตอบตกลงกับทุกสิ่งเป็นเวลาหนึ่งปี และมันเปลี่ยนชีวิตเธอไปทุกอย่าง เธอยินดีที่จะสัมผัสทุกประสบการณ์ในทุกโอกาส โดนชักชวนให้ไปพูดท่ามกลางฝูงชนก็ไป ซึ่ง Rhimes ยังบอกอีกว่า การได้ทำให้สิ่งที่เธอหวาดหวั่น ทำให้เธอสามารถเอาชนะความกลัวได้ และทำให้ชีวิตของเธอมีความหมายยิ่งขึ้น แต่ถ้าใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง Yes Man ที่นำแสดงโดย Jim Carrey ก็อาจจะพอได้แง่คิดที่ว่าการที่เรา yes กับทุกสิ่งอาจไม่ดีเสมอไปก็ได้ อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ทุกอย่างล้วนมีข้อจำกัด และเหตุผลที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นเราจึงควร “ชั่งน้ำหนักให้ถูกทาง” ก่อนที่จะตัดสินใจเสมอ จะได้มีทั้งสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต
เป็นเรื่องน่ายินดีที่การออกกำลังกายในทุกวันนี้ทั้งสนุกทั้งสะดวกกว่าเมื่อก่อนมาก มียิมเจ๋ง ๆ ผุดขึ้นมาเพียบ บางที่ก็เปิด 24 ชั่วโมงตอบสนองชีวิตประจำวันที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละคน แต่ละที่ก็แข่งกันทั้งเรื่องราคาและคุณภาพน่าดู ทำให้ประโยชน์ตกมายังผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ เต็ม ๆ เดินเข้าไปโซนออกกำลังกายก็จะเห็นอุปกรณ์มากมายทั้ง free weight และ machine ทั้ง barbell ยัน kettlebell เรียงรายเต็มไปหมด รองรับการสร้างความแข็งแกร่งตั้งแต่หัวจรดเท้าตามที่ใจต้องการ… …และเมื่อทุกอย่างมันครบ คำถามสุดคลาสสิคก็ตามมา “ระหว่างการเทรนด้วย free weight กับ machine อะไรดีกว่ากัน ?” ทีมงาน UNLOCKMEN ได้สอบถามจากเทรนเนอร์มืออาชีพ และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา และก็ได้คำตอบมาในแนวทางเดียวกันว่า ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการฝึก แม้ว่าทั้ง free weight และ machine จะช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นได้ แต่ทั้งสองอย่างมันก็มีความแตกต่างกันในตัว การเลือกใช้นั้นก็ควรจะเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการ สำหรับคุณผู้อ่านที่ยังลังเลว่าจะใช้อุปกรณ์อะไรในการ workout เรามีคำแนะนำจากมืออาชีพมาฝากกัน เพื่อสุขภาพและความแข็งแรง Free Weight ถ้าต้องการเวทเทรนนิ่งเพื่อรักษาสุขภาพโดยรวม และสร้างร่างกายที่แข็งแรง
ทุกครั้งที่เราเข้าสังคม ไม่ว่าจะเป็นการพบปะผู้คนใหม่ ๆ ตามงานอีเวนต์ เจอเพื่อนของเพื่อนในปาร์ตี้ หรือมีตติ้งครั้งแรกกับกลุ่มคนหน้าใหม่ ก็จะมีการแนะนำตัวกันตามปกติ มีกล่าวทักทาย ยกมือไหว้ ไม่ก็เชกแฮนด์กัน ช่างเป็นภาพการเริ่มต้นของมิตรภาพใหม่ที่แสนราบรื่น ทว่าความชื่นมื่นก็มักจะจบลง เมื่อเราดันลืมชื่อของคนคนนั้นในทันที ! พอเจอปัญหาลืมชื่อแบบนี้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการแอบถามคนรอบข้างแถวนั้น ไม่ก็ต้องถามชื่อคนนั้นอีกที ซึ่งมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ที่แย่ที่สุดคือการจำชื่อผิด แล้วมั่นใจทักไปแบบเต็ม ๆ หน้าแตกกันแบบเข้ม ๆ เลยทีเดียว แล้วมันมักจะเป็นแบบนี้อยู่ค่อนข้างบ่อยเหมือนกัน ซึ่งผลเสียที่ตามมาอาจจะมีมากกว่าที่คิด ทั้งสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ หรือเริ่มต้นมิตรภาพไม่สวย เป็นต้น ลองคิดดู พอคุณกับเขามาเจอกันอีกที เขาเรียกชื่อคุณถูก แต่คุณกลับจำชื่อเขาไม่ได้ เรียกชื่อเขาไม่ถูก ก็คงจะทำให้คนตรงหน้าเซ็งพอควร ทำไมเราถึงชอบลืมชื่อคนที่เจอกันครั้งแรกในทันที ? เรื่องนี้ Charan Ranganath ผู้อำนวยการโปรแกรมความจำและความสามารถของสมอง แห่ง University of California มีคำตอบ ทำไมเราถึงลืม คำอธิบายที่ง่ายที่สุดก็คือ เราอาจไม่ได้สนใจและไม่ได้ใส่ใจ เลยไม่จดจำ อย่างที่ Ranganath บอกไว้ว่า “คนทั่วไปมักจะจำสิ่งที่ดึงดูดใจให้เรียนรู้ได้ดีกว่า บางครั้งมันก็มีแรงจูงใจให้เราต้องจำชื่อคนคนนั้นให้ได้ แต่ในบางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องให้ความสำคัญก็ได้”
ทุกการเปลี่ยนแปลง ย่อมดีเสมอ… ตามธรรมชาติของคนที่มี growth mindset ที่เชื่อว่าความสามารถนั้นเกิดจากความพยายาม ชอบขวนขวายสู่ความสำเร็จ และมองความท้าทายหรือความล้มเหลวเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเองนั้น ชีวิตนี้มักจะไม่เคยหยุดอยู่กับที่ มีโอกาสอะไรดี ๆ เข้ามาก็มักจะลุยเพื่อผลลัพธ์คือประสบการณ์ที่จะทำให้แกร่งขึ้น เก่งขึ้น เข้าใจมากขึ้น และประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง ใคร ๆ ก็อยากจะขอคำแนะนำเพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตตัวเองได้บ้าง ส่วนใหญ่แล้วบุคคลที่ประสบความสำเร็จจนได้รับคำชื่นชมนั้นมักจะถูกตั้งคำถามว่า “คุณเปลี่ยนชีวิตคุณภายในสัปดาห์เดียว เดือนเดียว หรือปีเดียวได้อย่างไร ? “ อันที่จริงแล้ว สิ่งที่มีคุณค่าย่อมใช้เวลาเสมอ โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนาตัวเองหลายท่านได้ให้ข้อมูลที่ตรงกันว่า การเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองของมนุษย์นั้น จะใช้เวลาประมาณ 18-24 เดือนต่อเนื่องกันจึงจะได้ผลอย่างยั่งยืน ทีมงาน UNLOCKMEN ขอนำวิธีการพัฒนาตัวเองให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ภายใน 2 ปีนี้ ขอบอกว่าไม่ยาก แต่ต้องใช้ระเบียบวินัยและความอดทนจึงจะเห็นผล ว่าแล้วก็เริ่มนับหนึ่งตั้งแต่ตอนนี้เลย ดูแลสุขภาพตัวเองก่อน “สุขภาพ” เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดได้ถึงขีดความสามารถในการล่าความสำเร็จในทุกด้านในชีวิต ถ้าสุขภาพเราเสื่อมโทรม ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ก็จะไม่สามารถปลดล็อกประสิทธิภาพสูงสุดของตัวเองออกมาได้ ลองทำตามลิสต์นี้ต่อเนื่องกัน 2 ปี รับรองว่าดีกับชีวิต ออกกำลังกายในรูปแบบที่ตัวเองชื่นชอบ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ควบคุมการกินให้ดี อย่าเลือกกินแต่ของอร่อย หรือแพง ดูดีเข้าว่า
ถ้าจะให้พูดถึงหนึ่งในแนวเพลงที่คุณผู้อ่าน UNLOCKMEN ต้องเคยโยกกันหัวแทบหลุด เชื่อว่าแนว Nu-metal ก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น แถมเคยมีอิทธิพลกับวัยรุ่นยุค 90’s ถึง 2000 มาแล้ว ด้วยภาคริธึ่มที่หนักหน่วงไปด้วยโทนต่ำ มืดหม่น ถ่ายทอดอารมณ์ได้โคตรมันส์ เสียงสำรอกสุดสะใจ พร้อมเนื้อหาหาที่โดน insight การเผชิญปัญหาของมนุษย์ มันจึงมีเสน่ห์แบบแมน ๆ และเข้าถึงผู้ชายอย่างเราได้ง่าย ใครได้ฟังก็รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความอัดอั้นของตัวเองออกมา โดยวงดนตรีที่เปิดศักราช nu-metal ในขณะนั้น และยังอยู่มีงานใหม่อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ก็มีอย่าง Korn, Slipknot และ Deftones เป็นต้น แม้ว่ากระแสของแนวนี้จะซาลงไปเยอะแล้ว ด้วยกาลเวลา และเทรนด์ที่เปลี่ยนไป แต่ทุกครั้งที่ได้กลับไปย้อนฟังเพลงจากยุคที่ nu-metal เฟื่องฟูนั้น ก็อดโยกหัวและร้องตามไม่ได้ทุกที UNLOCKMEN จึงขอแนะนำอัลบัมเพลงแนว nu-metal ที่เรารู้สึกว่าต้องฟังให้ได้มาฝากกัน (*ขอเน้นย้ำว่าเป็นการแนะนำจากมุมมองทีมงานเท่านั้น อัลบัมใดที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์นี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีแต่อย่างใด) Korn – Korn (Immortal/Epic, 1994) “Are…you…ready !?” นี่คือประโยคแรกที่ Jonathan Davis สำรอกให้เราได้ยินจากเพลง Blind ซิงเกิ้ลแรกของวง
บ่อยครั้งที่ความสัมพันธ์ของคู่รักต้องมีอันจบลงท่ามกลางความงงว่ามันเป็นเพราะอะไร โดยเฉพาะฝ่ายที่โดนบอกเลิกนั้น แทบจะนั่ง ๆ นอน ๆ คิดทั้งวันเพื่อหาคำตอบที่อาจไม่มีวันรู้ บางทีเราเองก็ไม่ได้ตั้งใจพูดอะไรแย่ ๆ ออกไปจนทำให้เธอเข้าใจผิด และคิดดัง ๆ ออกมาว่า “เราเลิกกันเถอะ !” เรื่องเศร้า ๆ แบบนี้เป็นใครใครก็เซ็ง การเสียคนที่รักไปจากความไม่เข้าใจกันมันช่างน่าเจ็บใจ และมันคงจะเป็นไปได้ยากที่เธอจะกลับมาคบกันอีกครั้ง แต่ถ้าทบทวนตัวเองแล้วพบว่าการเสียเธอคือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แทบใจสลาย ก็อาจจะต้องหาวิธีง้อเธอ ถ้าอยากได้เธอคืนกลับมาคบกันอีกครั้ง ถ้าหากทบทวนดูแล้วว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่ใช่ แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยาก แต่ก็คงต้องตั้งหลักเพื่อทำภารกิจกู้ความรู้สึกกันหน่อย เริ่มต้นจากความตั้งใจที่ปรับแก้ในสิ่งที่ตัวเองเคยพลาดพลั้งก่อน เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเอง และทำให้เธอเห็นว่าคุณจริงจังกับการปรับตัวเพื่อสานสัมพันธ์อีกครั้งแค่ไหน ก่อนจะเริ่มต้นภารกิจขอคืนดี ที่ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีมาฝากกัน ทำชีวิตให้เข้ารูปเข้ารอย เซ็ตอัพตัวเองใหม่ เมื่อเกิดการเลิกกัน ความเศร้า และความเหงาก็จะมีบทบาททันที ยิ่งคบมานาน ๆ หลาย ๆ ปี แล้วมาโดนผู้หญิงบอกเลิก ยิ่งทำให้เราดำดิ่งสู่ความเคว้งคว้าง สิ่งที่ควรทำก่อนในตอนนี้ก็คือการโฟกัสที่การพัฒนาตัวเองเยอะ ๆ ก่อนจะหาทางกลับสู่เธอ จากการสอบถามสุภาพสตรีหลายคน (รวมถึงแฟนเก่าของทีมงาน) พบว่า ผู้หญิงต้องการเห็นการพัฒนาตัวเองของผู้ชาย บางทีแฟนเก่าของคุณอาจจะสุดเซ็งกับพฤติกรรมบางอย่างที่คุณทำมานานตั้งแต่ตอนเริ่มคบกันยันโดนบอกเลิกก็ได้ แต่ต้องอย่าลืมว่าคีย์หลักของแผนนี้คือการทำตัวเองให้ดีขึ้นโดยไม่เสียตัวตน
ถ้าวันหนึ่งคุณตื่นมาแล้วรู้สึกไม่พอใจในรูปร่างของตัวเอง เสื้อผ้าที่เคยใส่ได้ก็คับรัดติ้วไปหมด แถมมีหลายคนทักว่าอ้วนขึ้นเยอะนะ จนรู้สึกขาดความมั่นใจ คงต้องถามตัวเองแล้วว่า “จะปล่อยตัวแบบนี้ต่อไปจริง ๆ เหรอ ? “ อันที่จริง เรื่องรูปร่าง สไตล์ และความความชอบมันเป็นเรื่องปัจเจก ความเจ้าเนื้อก็ไม่ได้หมายความว่าแย่ แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน แต่ถ้าทนตัวเองไม่ได้แล้ว ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปร่างให้เฟิร์มขึ้น แข็งแรงมากขึ้นก็ขอเชิญทางนี้เลย ทีมงาน UNLOCKMEN มีโปรแกรม workout ที่มุ่งเป้าเพื่อการลดน้ำหนักมาฝากกัน โดยสูตรฟิตร่างเพื่อความเฟิร์มนี้ได้มาจาก Kira Mahal เทรนเนอร์แห่ง MotivatePT ก่อนอื่นต้องบอกว่าการออกกำลังกายคือการหวังผลในระยะยาว น้ำหนักอาจไม่ได้ลงเร็วเท่าใจที่ร้อนรน แต่สิ่งที่คุณจะได้ควบคู่ไปด้วยก็คือน้ำหนักที่เหมาะสม ความแข็งแรงของร่างกาย และมวลกล้ามเนื้อที่มากขึ้น แม้ว่าสุดท้ายน้ำหนักอาจไม่ลงเลย แต่รับรองว่าคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวคุณ ปลดล็อกความมั่นใจภายใต้ความแกร่งของร่างกายออกมาได้เต็มเปี่ยม โดยโปรแกรม workout นี้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ และใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง เอ้า เริ่มได้! WARM-UP ก่อนจะเข้าโปรแกรมหนัก ก็ต้อง warm-up กันก่อน และมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด รับรองว่าเครื่องติดแน่ ๆ High knee
เพราะชีวิตของเรามีหลายด้าน การเลือกบ้านและที่อยู่อาศัยจึงต้องใส่ใจกันมากหน่อย ว่าทำเลที่ตั้งนั้นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราในทุกแง่มุมหรือไม่ ทั้งการทำงาน การเดินทาง ความสะดวกสบาย และสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยเติมเต็มวันพักผ่อนให้มีความหมาย สนองแนวคิดแบบ Work-Life-Balance ได้ดี องค์ประกอบเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่ผู้ชายคนเมืองอย่างเรามองหา เวลาเลือกทำเลที่อยู่อาศัยให้กับตัวเอง และสำหรับสร้างครอบครัว ด้วยความที่ ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 และเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เพื่อการดำรงชีวิต ทำให้ปัจจัยในการเลือกถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วจะพิจารณาถึงความสะดวกในการเข้าถึง, คุณภาพของสิ่งแวดล้อม, ลักษณะที่ดินที่ใช้ในการปลูกบ้านและทำเลที่ตั้ง รวมถึงราคา โดยที่อยู่อาศัยนั้นสามารถตอบสนองมนุษย์ได้ทั้งความต้องการทางร่างกาย, ความต้องการทางสังคม และความต้องการทางจิตใจ มีหลายย่านที่น่าสนใจในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองที่ล้วนกลายเป็นทำเลทองเกือบทุกพื้นที่ ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ จึงขยายตัวไปรอบ ๆ มากขึ้น และเป็นพื้นที่ศักยภาพที่สามารถจับจองการใช้ชีวิตแนวราบในบ้านได้อย่างไม่เหนื่อย หนึ่งในย่านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ดีก็คือ “ย่านราชพฤกษ์” ทำเลที่นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์มองว่าเป็นทำเลแห่งคุณภาพ หน้าด่านแรกที่รองรับการขยายตัวของเมืองหลวงในอนาคตก่อนใคร ประชากรในพื้นที่ไม่แออัดเนื่องจากการวางแผนรองรับการเติบโตที่รัดกุมกว่า โดยถนนราชพฤกษ์นั้นเชื่อมต่อระหว่างถนนรัตนาธิเบศร์กับเพชรเกษม เชื่อมพื้นที่กรุงเทพฯตะวันตกกับใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ไม่ว่าจะเป็นจากแหล่งออฟฟิศใจกลางเมืองอย่างสาทร สีลม หรือบางรัก หรือสำหรับใครที่ทำงานอยู่ย่านจตุจักรก็ไปกลับไม่ยาก สามารถเชื่อมต่อกับทางด่วนศรีรัชได้ใน 10 นาที ไม่ไกลอย่างที่เคยคิด และกลายเป็นทำเลยอดฮิตแห่งใหม่เพื่อการอยู่อาศัยไปแล้ว ไม่ใช่แค่คุณภาพของทำเลเท่านั้น การใช้ชีวิตในย่านนี้ก็สะดวกสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งบนพื้นที่ที่ห่างไกลความวุ่นวาย รายล้อมไปด้วยสถานที่แฮงเอาท์ อยากจะเดินเล่น หาของกิน มองหาของแต่งบ้าน ใช้เวลากับครอบครัว นัดสาวนัดเพื่อน
“คนคือเมือง เมืองคือคน” ใครบางคนว่าไว้ แทบจะแยกกันไม่ขาดระหว่าง “การใช้ชีวิต” และ “การทำงาน” สำหรับผู้ชายอย่างเรา ๆ ที่ไม่มีเวลาว่างให้เหงาระหว่างวัน มีแต่ความเมามันส์กับการทำงานเพื่อความสำเร็จตามที่ต้องการ พอเลิกงานก็ไม่หายใจทิ้ง ไม่มีหรอกที่จะอยู่นิ่ง ๆ เผาเวลาทิ้งให้สูญเปล่า เรียกได้ว่าทั้ง 24 ชั่วโมงที่มีอยู่ใช้คุ้มสุด ๆ ทั้งงาน ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ทั้งคนรัก ทั้งสังคม ทั้งกิจกรรม ทั้งทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาตัวเอง ที่เหลือก็ปาร์ตี้ แฮงเอาท์ตามสไตล์ work hard-play hard guy ที่ไม่ชอบอยู่สบายไปวัน ๆ ด้วยความที่ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายอย่างเรามันเป็นแบบนี้ สิ่งที่เราต้องการก็คือ เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลที่ทำให้เราตามโลกได้ทัน ความสะดวกในการเดินทางระหว่างที่ทำงานและที่อยู่อาศัย มีความปลอดภัย ไม่ไกลจากใจกลางเมือง ย่านที่มีสิ่งแวดล้อมที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ และที่ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขในทุก ๆ วัน เหมือนกำลังจะเดินทางไปเที่ยวทุกครั้งที่กลับบ้าน องค์ประกอบเหล่านี้นอกจากจะตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานได้แล้ว ยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาตัวเองได้อีกด้วย ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัยกันบ้าง ต้องลองถามตัวเองว่าที่พักของเรามีความเป็น “ที่พัก” มากแค่ไหน ? Urban