‘เจ้าพระยาที่คุ้นเคย นั่งมองแสงจันทรา ไม่เหมือนเคย คืนนี้ไม่มีเธอเคียงอย่างที่เคย โอ้เกิร์ล ทั้งเหงาทั้งเศร้าคนเดียวเยี่ยงเชลย เจ้าพระยาฝั่งพระนคร เคยนั่งซับน้ำตาให้เธอก่อนจากจร เมื่อตอนเธอเศร้าฉันเฝ้าปลอบไม่นอน โอ้เกิร์ล ฉันเห็นเธอคิดถึงเขา สองเราเลยจากพระนคร’ อยู่ ๆ เพลง เจ้าพระยา ของคณะดนตรี Kai-Jo Brothers ก็ดังขึ้นมาในหัวในขณะที่เรากำลังเดินเลียบถนนพระอาทิตย์ ย่านที่เมื่อก่อนเราแวะเวียนมาบ่อย ๆ ถึงแม้ตอนนี้จะห่างหายไปพอสมควร แต่จุดหมายปลายทางวันนี้คือที่ ๆ ที่เราไม่เคยไปเยือนมาก่อน เป็นบาร์เล็ก ๆ ที่หลบซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา Sheepshank Public House เป็นบาร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ด้วยบรรยากาศแบบ Industrial Style โดยดัดแปลงมาจากอู่ต่อเรือเก่า ตกแต่งร้านด้วยเฟอนิเจอร์ไม้และอิฐบล็อก นี่ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ในถนนพระอาทิตย์ เราคงคิดว่าเราหลุดมาในบาร์ย่านเมืองท่าสักแห่ง ตัวร้านแบ่งออกเป็น 2 โซน ทั้งอินดอร์ที่เหมาะกับคนที่อยากนั่งในแอร์เย็น ๆ สังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนในบรรยากาศเฮฮา และเอาต์ดอร์สำหรับคนที่อยากชมวิวแม่น้ำแบบใกล้ชิด นั่งจิบเบียร์เคล้าสายลมแห่งเจ้าพระยา ในส่วนของอาหาร Sheepshank Public House ถือว่ามีค่อนข้างหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางอาหารตะวันตก สไตล์อเมริกันโมเดิร์น ซึ่งในวันนี้ทางร้านจัดมาให้เราทั้งหมด
เหตุการณ์ต่อไปนี้ไม่ได้กำกับโดย หว่องกาไว ไม่ได้อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง In the Mood for Love เราเองก็ไม่ใช่ โจวหมู่หวัน สุภาพสตรีตรงหน้าก็ไม่ใช่ ซูวไหล่เจิน แต่เธอคือ “จีน่า เดอซูซ่า”และเรากำลังอยู่ใน In the Mood for Hip-Hop เชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก จีน่า เดอซูซ่า กันอยู่แล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเธอคือใคร แต่ก็ต้องเคยได้ยินเพลงของเธอผ่านหูมาบ้าง คึกคะนอง คึกคะนอง คึกคะนอง ตีหนึ่งตีสองก็ยังไม่นอนแล้วใครจะทำไม สิ่งที่เรายังไม่รู้คือตัวตนของเธอ ว่าภายใต้ความเปรี้ยวซ่ามีความคิดและทัศนคติอะไรซ่อนอยู่บ้าง วันนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจพร้อม ๆ กัน Gena Desouza, Who is she? “ชื่อจีน่า เดอซูซ่าค่ะ คนจะชอบถามว่า เดอซูซ่า คืออะไร มันคือนามสกุลจริง ๆ ตั้งแต่เกิดค่ะ ไม่ใช่ฉายาหรือ AKA” “เป็นลูกเสี้ยวค่ะ มีหลายสัญชาติมารวมกัน (หัวเราะ)” “เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ ป. 2 ค่ะ เพราะว่าตอนนั้นพี่สาวชอบเรียนร้องเพลง เป็นลูกพี่ลูกน้องที่ต้องกลับบ้านด้วยกันทุกวัน น่าก็ไปเป็นเพื่อนเค้า ทีนี้แม่ก็คิดว่าไหน ๆ ก็ไปแล้ว
เนื้อหาในบทความนี้อ้างอิงจากมังงะเรียกเขาว่าอีกาเล่ม 1-26 และ Worst เล่ม 1-33 เท่านั้น ถ้าถามเด็กผู้ชายยุค 90-2000 เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักผลงานมังงะอันเลื่องชื่อของอาจารย์ ฮิโรชิ ทากาฮาชิ เรื่อง เรียกเขาว่าอีกา ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนี่คือหนึ่งในมังงะสายนักเลงที่ประสบความสำเร็จที่สุด ครั้งหนึ่งเราเคยอยากสูบบุหรี่ยี่ห้อ Seven Stars เคยอยากขี่มอเตอร์ไซค์ เคยอยากใช้กำลังเป็นตัวตัดสินถูกผิด เลียนแบบตัวละครในเรื่อง แต่สุดท้ายเมื่อได้อ่านจนจบ สิ่งที่เราได้จากมังงะเรื่องนี้กลับเป็นมุมมองด้านมิตรภาพที่ไม่สามารถหาได้จากหนังสือเรียนเล่มไหน เมื่อพูดถึง เรียกเขาว่าอีกา ก็ต้องนึกถึง โรงเรียนมัธยมปลายซูซูรัน โรงเรียนของเหล่าตัวเอกในเรื่อง เป็นโรงเรียนที่เปรียบเหมือนฝูงอีกาฝูงใหญ่ ไม่มีใครสามารถรวมให้เป็นหนึ่งได้ ทุกคนต่างยึดมั่นในศักดิ์ศรีไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างใคร อย่างไรก็ตามท่ามกลางฝูงอีกาอันเกรี้ยวกราด ก็มีอีกาบางตัวที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ๆ เราเรียกพวกเขาว่า ผู้ยิ่งใหญ่แห่งซูซูรัน พวกเขาเหล่านี้คือผู้ใกล้เคียงที่จะรวบรวมฝูงอีกาให้เป็นหนึ่งเดียวมากที่สุด และวันนี้เราจะไปทำความรู้จักพวกเขากัน โบยะ ฮารุมิจิ โบยะ ฮารุมิจิ พระเอกของเราคือนักเรียนรุ่นที่ 25 แห่งโรงเรียนมัธยมซูซูรัน เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับในวันเปิดเรียนวันแรกในฐานะนักเรียนมัธยมปลายชั้นปีที่ 2 ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปว่าเจ้าหนุ่มผมทอง ท่าทางกวนอวัยวะเบื้องล่าง เจ้าชู้ชีกอ ดูไม่มีพิษมีภัยนี้เป็นใครมาจากไหน ถึงจะไม่ได้ไประรานใครก่อน แต่ด้วยเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็ต้องหมั่นไส้ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโดนเหล่าอันธพาลในโรงเรียนหาเรื่อง ซึ่งตอนนั้นก็เป็นครั้งแรกที่เราคนอ่านและบรรดานักเรียนของซูซูรันได้รับรู้พร้อมกันว่าภายใต้นิสัยที่ดูไม่เอาไหน แท้จริงแล้วเจ้าผมทองคนนี้มีฝีมือการชกต่อยแสนร้ายกาจ สามารถล้มคู่ต่อสู้นับสิบได้แบบสบาย ๆ ใช้เวลาไม่นาน ชื่อของ โบยะ
ในโลกมีผู้กำกับไม่กี่คนที่เราดูหนังเขาเพียงไม่กี่นาทีก็รู้ทันทีว่านี่คือฝีมือการกำกับของใคร เนื่องจากลายเซ็นและเอกลักษณ์อันชัดเจนที่แทรกอยู่ในทุกไดอะล็อก ทุกซีน หนึ่งในผู้กำกับตามนิยามที่ว่านั้นต้องมีชื่อของ Quentin Tarantino ผู้กำกับหนุ่มใหญ่วัย 56 จาก เทนเนสซี สหรัฐอเมริการวมอยู่ด้วยแน่นอน หนังบ้าอะไรวะเนี่ย แม่งพูดกันทั้งเรื่อง! ลายเซ็นที่ชัดเจนของหนัง Quentin คือการดำเนินเรื่องที่ฉับไว และบทสนทนาน้ำไหลไฟดับที่บางครั้งก็เลยเถิดไปไกลจนไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง สำหรับบางคนมันคือเสน่ห์ แต่อีกหลายคนก็รู้สึกรำคาญ ดังนั้นความเห็นต่อหนังของ Quentin เสียงจึงแตกเป็น 2 ฝ่าย ไม่รักหัวปักหัวปำ ก็เกลียดไปเลย Esquire ความรักที่แฟนหนังมีต่อ Quentin เห็นได้ชัดจาก Once Upon a Time in Hollywood ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขา หลังจากปล่อยภาพโปสเตอร์ รายชื่อนักแสดง เรื่องย่อ และ Trailer ออกมา ทั่วโลกก็ตกอยู่ในภาวะ Hype เกิดเป็นกระแสวงกว้างในโลกออนไลน์ ก็แน่ล่ะ Leonardo DiCaprio ประชันบทบาทกับ Brad Pitt เพิ่มความสดใสด้วย Margot Robbie กำกับโดย Quentin Tarantino มาในพล็อตจิกกัดวงการฮอลลีวูดยุค 60 ใครบ้างจะไม่อยากดู ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างดีว่าชื่อของ Quentin Tarantino ได้ก้าวสู่ทำเนียบผู้กำกับชั้นนำระดับโลกอย่างเต็มตัวแล้ว
‘Camper’ คือแบรนด์รองเท้าเก่าแก่ระดับโลกจากสเปน ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทุกเพศทุกวัยมาอย่างยาวนาน เพราะทุกคนต่างก็ติดใจความใส่สบาย ดีไซน์เรียบง่ายแต่สวยงาม และคุณภาพที่คุ้มค่าราคา นอกจากนั้น Camper ยังเป็นแบรนด์ที่ผสมผสานระหว่างความ Sport และ Smart ได้อย่างลงตัว จึงตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกไลฟ์สไตล์ ทุกช่วงเวลาของชีวิต Camper ยืนหนึ่งในเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 1975 ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายทศวรรษ แต่ Camper ก็ยังครองใจลูกค้าทุกเพศทุกวัยได้อย่างเหนียวแน่น The Camper House ‘บ้าน’ เป็นคำที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เป็นอะไรที่ใกล้ตัวและให้เราได้พักพิงเสมอยามเหนื่อยล้า แต่อาจจะด้วยความที่มันใกล้ตัวเกินไป จนบางครั้งเราอาจจะลืมสังเกตไปว่าภายในบ้านนั้นก็มีสีสันที่สวยงามซ่อนอยู่เหมือนกัน ด้วยความคิดนี้จึงเกิดเป็น The Camper House คอลเลกชันใหม่ประจำฤดูใบไม้ผลิ 2019 ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรม ความเป็นธรรมชาติ และศิลปะ เข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือความเรียบง่ายแต่สวยงาม สะท้อนอัตลักษณ์ของ Camper ออกมาผ่านรองเท้าทุกคู่ Romain Kremer ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ ดึงความพิเศษจากเฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งในบ้านที่อยู่ใกล้ตัว มาเป็นแรงบันดาลใจ โดยตัดภาพที่คุ้นเคยออกไป เปลี่ยนเป็นความเรียบง่าย และไม่ใช่แค่ 1 แต่คอลเลกชันนี้ของ Camper มีออกมาถึง 5 มู้ด 5
ถ้าจะพูดถึงคนที่เริ่มจากศูนย์ แต่สามารถก้าวสู่การประสบความสำเร็จได้อย่างสวยงาม หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘Jack Ma’ เจ้าพ่อแห่งอาณาจักร Alibaba มหาเศรษฐีอันดับอันดับ 1 ของ Asia ถ้าใครเคยอ่านชีวประวัติของผู้ชายคนนี้คงพอจะรู้ว่าเขาเกิดมาในครอบครัวยากจน เรียนไม่เก่ง ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เรียกว่าต้นทุนชีวิตติดลบสุดขั้ว แต่วันนี้เขาคือผู้ชายที่ทั่วโลกจับตามองทุกการเคลื่อนไหว การจะมาถึงจุดนี้ได้ วิธีคิดหรือทัศนคติของเขาต้องไม่ธรรมดา ซึ่งในงานสัมนาที่ Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ Jack Ma พูดถึงเรื่องนี้ และมีหลายประโยคที่น่าสนใจ เราจึงอยากนำมาแบ่งปันเพื่อปลุกไฟในชีวิตให้กับทุกคน “ตอนที่ผมเริ่มก่อตั้ง Alibaba แน่นอนว่าผมกลัว และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อมั่น แต่สิ่งที่ผมเชื่อคือ ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอนาคตหรอก ทุกคนต่างก็ต้องเรียนรู้ ลองผิดลองถูกด้วยกันทั้งนั้น” “ในโลกธุรกิจ อย่ากังวลเรื่องคู่แข่ง อย่ากลัวที่จะเผชิญความกดดัน ถ้าคุณกลัว ก็จงอย่าเป็นนักธุรกิจ… ถ้าคุณสร้างมูลค่าให้กับสิ่งใดได้ นั่นคือโอกาส ปัจจุบันนี้ทั่วโลกกำลังกังวล หมายความว่านี่คือโอกาสที่ดีมาก ๆ ของคุณ” “งานแรกคือสิ่งสำคัญที่สุด คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่มีชื่อเสียง แต่คุณควรจะเริ่มทำงานกับหัวหน้าที่สามารถสอนคุณได้ ทั้งแง่การเป็นมนุษย์ที่ดี คนทำงานที่ดี ดำเนินชีวิตด้วยความเหมาะสม ถ้าคุณเจอหัวหน้างานแบบนั้น ผมแนะนำให้คุณทำงานที่นั่นอย่างน้อย 3 ปี” เราจะสอนเด็ก ๆ
บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของการ์ตูนเรื่อง Bakuman ‘วงการการ์ตูน’ คือหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศญี่ปุ่น ในแต่ละปีสร้างรายได้ให้กับประเทศนับล้าน ๆ เยน นับเป็นสิ่งหอมหวานที่ใคร ๆ ก็อยากเข้าหา แต่ภายใต้ฉากหน้าที่สวยหรู แท้จริงแล้ววงการนี้ก็มีความโหดร้ายที่คร่าชีวิต ทำลายความฝันของผู้คนมาแล้วมากมาย เพียงแต่ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาให้ภายนอกรับรู้ แต่ในปี 2008 ‘Bakuman วัยซนคนการ์ตูน’ มังงะผลงานของอาจารย์ สึงูมิ โอบะ และ ทาเกชิ โอบาตะ ที่เคยฝากฝีมือไว้ในมังงะชื่อดังอย่าง Death Note ก็ตีพิมพ์ออกมา นี่คือมังงะที่กล้าจะนำเสนอเรื่องราวของอุตสาหกรรมการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างเจาะลึก ทั้งด้านดีและร้าย ตีแผ่ทุกแง่มุม เนื่องจากมังงะเรื่องนี้เปรียบเสมือนบันทึกชีวิตของอาจารย์ผู้เขียนทั้ง 2 ทุกอย่างในเรื่องจึงออกมา ‘จริง’ และ ‘เชื่อถือได้’ นอกจากนั้นยังมีการผสมผสานธีมการวิ่งตามความฝันของเด็กหนุ่มเข้าไปได้อย่างลงตัว Bakuman จึงออกมาเป็นมังงะที่กลมกล่อม สุข เศร้า เหงา ซึ้ง มีครบทุกรสชาติของชีวิต ทำลายกำแพงความกลัวด้วยความกล้า มาชิโระ โมริทากะ เป็นเด็กหนุ่มวัยมัธยมต้นปีสุดท้าย เขาเป็นคนจืดชืด ใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ไร้ความฝัน มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่เขาชัดเจนคือความรักที่มีต่อ อาซึกิ มิโฮะ เด็กสาวเพื่อนร่วมห้องที่เขาแอบชอบมานาน แต่ก็ไม่กล้าบอกเธอเนื่องจากอาซึกิเปรียบเหมือนดาวประจำโรงเรียน มีแต่หนุ่ม ๆ รุมล้อม ส่วนเขาเป็นเพียงคนไร้ตัวตน อย่างไรก็ตามหนึ่งสิ่งที่คนธรรมดาอย่างเขาทำได้ดีคือ
หนึ่งในรูปแบบการทำนายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกคือการทำนายตามลัคนาราศีเกิดโดยแบ่งออกเป็น 12 ลัคนาราศี โดยเรื่องราวการทำนายส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องงาน, เงิน, ความรัก, ครอบครัว และสุขภาพ จะดีหรือร้ายก็ว่ากันไปตามแต่ละราศี แต่ในวันนี้การทำนายลักษณะนิสัยตามชะตาราศีจะ UNLOCK ไปอีกขั้น เมื่อ Annabel Gat, Lisa Stardust, Caitlin McGarry, และ Randon Rosenbohm นักโหราศาสตร์จาก Broadly Vice จะนำดวงชะตาของแต่ละราศีมาผูกติดกับกัญชา แล้วสับแหลกออกมาโดยละเอียดว่าแต่ละราศี High แบบไหนถึงจะเหมาะสมที่สุด เป็นมิติใหม่แห่งการทำนายทายทักที่ดูน่าสนใจ เพลิดเพลินและน่าจะถูกใจหนุ่ม ๆ สายเขียวแน่นอน Aries ราศีเมษ ราศีเมษเป็นประเภทมีพลังและความมั่นใจในตัวเองสูง พวกเขาชื่นชอบกัญชาคุณภาพดีเพราะนั่นคือสิ่งที่คิดว่าตัวเองสมควรจะได้รับ “ราศีเมษต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ” Lisa Stardust กล่าว พวกเขาไม่สนใจว่ากัญชาคุณภาพดีจะมีราคาแพงแค่ไหน พวกเขาพร้อมจ่ายเสมอ ถึงแม้จะถังแตกอยู่ พวกเขาก็ไม่ง้อกัญชาห่วย ๆ อยู่ดี สิ่งที่พวกเขาทำคือการปลูกกัญชาคุณภาพดีไว้สูบเองเสียเลย ถึงจะดูเจ้าระเบียบในการเลือกสายพันธุ์กัญชา แต่แท้จริงแล้วชาวราศีเมษเป็นคนสนุกสนาน พวกเขาจะชวนคุยหรือเล่าเรื่องสนุก ๆ ให้ทุกคนหัวเราะอยู่เสมอ เป็นคนที่วงกัญชาจะขาดไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามในทางตรงข้าม Stoner ราศีเมษบางคนเมื่อ High ก็อาจจะจมดิ่งสู่ห้วงความเศร้าได้ ทางเลือกคืออาจจะต้องเปลี่ยนจากใช้กัญชาปกติไปใช้ประเภท
บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของคนชอบดูหนังคนหนึ่งเท่านั้นและมีการสปอยตอนจบของภาพยนตร์หลายเรื่อง ครั้งก่อนเราเขียนถึงเพลงตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ (ย้อนอ่านได้ที่ 7 เพลงตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ) แต่ยังไม่หมดแค่นั้น ตอนจบภาพยนตร์คือสิ่งที่เราหลงใหล วันนี้เราจะพูดถึงตอนจบภาพยนตร์เพียว ๆ แบบไม่มีเพลงมาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ประทับใจไม่รู้ลืม ตกผลึกอยู่ในความทรงจำไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน Gone with the Wind (1939) Director: Victor Fleming, George Cukor ‘Frankly, my dear, I don’t give a damn’ นี่คือประโยคสุดท้ายจากภาพยนตร์เรื่อง Gone with the Wind และเป็นประโยคอันดับ 1 ตลอดกาลจากการจัดอันดับของ American Film Institute ถ้าใครไม่เคยดู Gone with the Wind คงสงสัยว่าประโยคนี้มีอะไรพิเศษ ก็ดูเป็นประโยคตัดความสัมพันธ์ธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษคือเรื่องราวภายใต้ประโยคนี้ ถ้าจะอธิบาย Gone with the Wind ให้เข้าใจโดยง่าย มันคือละครน้ำเน่าที่มาในรูปแบบภาพยนตร์ โศกนาฏกรรมความรักท่ามกลางบรรยากาศสงคราม ผู้พูดประโยคนี้คือตัวละคร Rhett Butler
เมื่อพูดถึง ‘บ้าน’ แต่ละคนคงมีภาพในหัวของตัวเองเป็นบ้านที่แตกต่างกันไปตามประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนน่าจะรู้สึกเหมือนกันเมื่อนึกถึงบ้านคือ ความอบอุ่น ความสบายใจ และการเป็นที่พักพิง ดังนั้นถ้ามีคาเฟ่สักแห่งที่บรรยากาศเหมือนบ้าน คาเฟ่นั้นก็คงมอบความอบอุ่นแก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี เรากำลังพูดถึง LAFF คาเฟ่ในซอยสุขุมวิท 50 ที่มาพร้อมกับบรรยากาศสบาย ๆ เหมาะกับการมานั่งชิลล์ในวันหยุด และที่เราบอกว่า LAFF ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านก็เป็นความตั้งใจของเจ้าของร้านโดยถือเป็นคอนเซ็ปต์ตั้งแต่วันที่เปิดให้บริการวันแรกเพราะอยากให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย สบาย ๆ เมื่อมานั่งที่นี่ ‘เมื่อเป็นบ้านก็ไม่อยากให้มันดูเป็นแพตเทิร์น’ ด้วยเหตุนี้โต๊ะแต่ละตัวของที่นี่จึงไม่เหมือนกันเลย นอกจากนั้นการจัดวางโต๊ะตามมุมต่าง ๆ ก็เป็นการจัดแบบตามใจฉัน ลูกค้าจึงรู้สึกผ่อนคลาย สบาย ๆ ราวกับที่นี่เป็นบ้านจริง ๆ ชื่อร้าน LAFF นั้นเล่นคำมาจากคำว่า Laugh ที่แปลว่าหัวเราะ เป็นเหมือนปณิธานของทางร้านที่อยากให้ลูกค้าทุกคนได้รับความสุขและเสียงหัวเราะทุกครั้งที่มาเยือน LAFF เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่โดดเด่นเรื่องการตกแต่ง โดยทั้งร้านจะเหมือนเป็นโดมสีเขียวขนาดย่อม มีโถงโล่งกว้างอยู่ด้านใน รับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่จากกระจกบานใหญ่ เพิ่มความร่มรื่นด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ภายในตัวร้าน เป็นบรรยากาศที่ถ้าได้ลองนั่งแล้วรับรองว่าไม่อยากลุกไปไหนตลอดทั้งวัน LAFF ใช้วัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมในทุกเมนู เหมือนกับทำกินเองที่บ้าน และต้องสดใหม่ทุกวัน จานแรกที่ทางร้านนำมาให้ลองชิมคือ LAFF Me Tender ชีสเค้กสูตรเฉพาะของทางร้าน สดใหม่ทุกวันโดยฝีมือคุณแม่เจ้าของร้าน เนื้อเค้กนุ่มละลายในปาก ท็อปปิ้งด้วยสตรอเบอร์รี่แกะสลักสวยงาม