กว่าจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหาร หรือเป็นผู้นำในองค์กรที่ใครต่อใครเคารพนับถือนั้นไม่ใช่แค่ทำงานเก่ง หรือมีอำนาจ สักแต่ชี้นิ้วบังคับให้ใครทำอะไรตามใจเท่านั้น แต่ทักษะหนึ่งที่มีความหมายต่อการทำงานบริหาร (และในแทบทุกตำแหน่ง) คือ “การโน้มน้าวใจคน” จะมีประโยชน์อะไรถ้าไอเดียที่คิดมาสุดจะแหลมคม แต่เสนอออกไปก็ไม่มีใครอินหรืออยากทำด้วย โดยเฉพาะเมื่อต้องขายโปรเจกต์นี้ให้ทั้งองค์กรฟัง รวมไปถึงเมื่อต้องขายลูกค้า เพราะอย่างนั้นไอเดียที่หลักแหลม การทำงานที่เก่งกาจ จึงต้องมาพร้อมศาสตร์และศิลป์แห่งการโน้มน้าวใจคน ลองใช้วิธีเหล่านี้โน้มน้าวคน การโน้มน้าวครั้งต่อไปอาจสำเร็จมากขึ้นได้ เพราะโน้มน้าวไม่ใช่บังคับ ต้องว่าด้วย “คุณค่า” ไม่ใช่การกระทำ การเป็นผู้บริหาร แล้วอยากให้คนในทีมทำตามต้องการอาจไม่ยากอย่างที่คิด เพราะการชี้นิ้วสั่ง ๆ ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่การจะทำให้คนในทีมทำตามที่เราวางแผนไว้ด้วยแพสชันเต็มเปี่ยม ด้วยความตั้งใจทะลักล้นก็ย่อมต้องอาศัยการโน้มน้าวใจให้เขาเต็มใจทำให้ได้ การโน้มน้าวขึงไม่ได้ว่าด้วยการชี้นิ้วสิ่งให้ใครไปทำอะไร แต่คือการสื่อสารกับอีกฝั่งด้วย “คุณค่า” ที่บุคคลนั้นยึดถือ นึกภาพง่าย ๆ ว่าถ้าเรากำลังทำโปรเจกต์ด้านการศึกษาขึ้นมาสักงาน แล้วอยากให้ AE ในทีมไปขายโปรเจกต์นี้ให้ได้ การสั่งอาจง่าย ๆ ด้วยการบอกว่า “คุณรีบไปขายงานนี้ให้ได้ภายในอาทิตย์นี้เลยนะ ผมอยากทำยอดให้ทันเวลา” แต่การโน้มน้าวใจให้ AE อยากทำงานนี้ อาจเป็นการเล่าถึงคุณค่าของโปรเจกต์นี้ การศึกษาที่จะได้ส่งต่อออกไปให้เด็กทั่วประเทศที่อยู่ห่างไกล อนาคตทางการเรียนรู้ที่ AE จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อสิ่งดี ๆ ให้ลูกหลานในอนาคต การโน้มน้าวใจละเอียดอ่อนกว่าการสั่งให้ใครทำอะไรเฉย
“อคติ” พูดถึงคำนี้อาจจะดูไกลตัวออกไปหน่อย แต่ถ้าถามว่าคุณเคยรู้สึกลำเอียงบ้างไหม? หมั่นไส้ใครเป็นพิเศษหรือเปล่า? หรือชื่นชมใครออกนอกหน้าเกินไปหรือไม่? ไม่แปลกที่ในองค์กรเราอาจมีใครสักคนที่ถูกชะตานักหนา และเกลียดขี้หน้าแบบไร้สาเหตุ โดยที่ 2 คนนี้แทบไม่ได้ทำอะไรต่างกันเลย แต่เราก็รู้สึกแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว นี่เองที่เรียกว่า “อคติ” หลายคนเข้าใจว่าอคติมีแต่การไม่ชอบแบบไม่มีเหตุผล แต่ที่น่าสนใจคือการที่เราชอบแบบไม่มีเหตุผลก็นับเป็นอคติรูปแบบหนึ่งเช่นกัน ในสถานการณ์ทั่วไปอคติก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร แต่ถ้าพูดถึงพื้นที่ทำงานที่ต้องการความมืออาชีพอย่างสูงอคติคือสิ่งที่ต้องกำจัดให้ไวเพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ “ยอมรับก่อนว่ามีอคติ” หนทางลดอคติขั้นต้น ถ้าคุณเสพติดอะไรสักอย่างที่ไม่ดี น้ำอัดลม กาแฟ บุหรี่ หรือสิ่งใดก็ตามที่เสพปริมาณมาก คุณจะไม่มีวันลด ละ หรือเลิกมันลงได้ ถ้าคุณไม่ยอมรับก่อนว่าคุณเสพติดมัน หรือไม่ยอมรับว่ามันมีข้อเสีย “อคติ”เองก็เช่นกัน หากเราคิดว่าก็ไม่ได้อคติสักหน่อย หรือก็ใช่ ลำเอียงบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะกระทบกับการทำงานเลย เมื่อนั้นเราก็จะไม่มีวันลงมือจัดการอคติของตัวเองที่อาจส่งผลในที่ทำงานสักที โดยปกติมนุษย์เราสามารถมีอคติหลาย ๆ รูปแบบอยู่ในตัวอยู่แล้ว เช่น เราอาจคิดว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้พูดมาก เพราะเธอเป็นผู้หญิง (แต่ข้อเท็จจริงคือไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะพูดมาก) เช่นเดียวกันกับที่ใรที่ทำงานจะมีคนที่เราไม่ชอบขี้หน้าเอามาก ๆ อยู่หนึ่งคน และคนที่ไม่ว่าทำอะไรก็ช่างน่าชื่นชมอีกหนึ่งคน ขั้นแรกให้เราสำรวจตัวเองให้ดีว่าที่เราชอบหรือไม่ชอบบุคคลนี้ เพราะอะไร? ทบทวนดูว่าคำตอบที่เราให้กับตัวเองนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่? หรือถ้ากลัวเราตอบแบบอคติอีก ก็ลองแทนชื่อพวกเขาด้วยชื่อสมมติ แล้วลองถามคนอื่น ๆ ดูว่าคำตอบที่เราให้มันดูสมเหตุสมผลพอที่จะชอบหรือไม่ชอบหรือเปล่า? อีกทางอาจลองแทนค่าคำตอบเหล่านั้นด้วยชื่อคนอื่นดู
ความสุขมีมากมายหลายรูปแบบ กิจกรรมหวามไหวก็เป็นอีกหนึ่งความสุขที่คลายเครียดทั้งกายและใจให้เราได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเซ็กซ์แล้ว การประกอบกิจกรรมย่อมทำได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (ใครจะมากกว่านั้นก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล) ดังนั้นเซ็กซ์ที่สมบูรณ์แบบจึงควรเป็นเซ็กซ์ที่อิ่มเอมกันทุกฝ่าย ไม่ใช่พอใจอยู่ฝ่ายเดียว เรื่องง่าย ๆ ที่ผู้ชายหลายคนไม่รู้จึงเป็นเรื่องของจังหวะอารมณ์ที่ไม่เท่ากัน ผู้ชายอาจจุดติดง่ายไฟลุกโชติช่วง ทันทีที่มีอารมณ์ก็พร้อมจะกระโจนเข้าสมรภูมิได้เลย แต่ผู้หญิงไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคน ผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องการการกระตุ้นเร้าที่เหมาะสม เพื่อจุดไฟรัญจวนให้ติด “การเล้าโลมจึงมีความหมาย” และนี่คือ 5 สิ่งที่เราอยาก UNLOCK วิธีคิดผูายสายจุดติดไวทั้งหลายว่าการมีเซ็กซ์ไม่ใช่แค่สอดใส่ แต่เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน เพราะความหวามไหว เริ่มต้นตั้งแต่นอกห้องนอน เราไม่สามารถเอาความรู้สึกตัวเองไปสวมแทนความรู้สึกคนอื่นได้ เซ็กซ์เองก็เช่นกัน ต่อให้เรารู้สึกทะลักล้นปริ่ม ๆ มาตลอดวันเพียงใด ตกกลางคืนเจอหน้าเธอที่เรารัก แล้วกระโจนเข้าใส่ โดยหวังให้เธอมีอารมณ์ทะลักล้นระดับเดียวกันจึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะแบบนี้การเล้าโลมจึงมีความหมาย และจงจำให้ขึ้นใจว่าการเล้าโลมเริ่มได้ตั้งแต่นอกห้องนอน! ไม่ต้องรอให้ขึ้นเตียงแล้วค่อยเริ่ม แต่เราสามารถส่งขอ้ความหวามไหว ไปกระตุ้นเร้าเธอได้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เจอกัน เช่น “คิดถึงจัง อดใจรอการจะได้เจอคุณคืนนี้ไม่ไหวแล้ว”, “อยากสัมผัสคุณจะแย่แล้ว แค่นึกถึงเรียวขาคุณก็แทบอดใจไม่ไหว” หรือประโยคอื่น ๆ ที่เป็นตัวเองกว่านี้ เต็มไปด้วยอารมณ์กว่านี้ และเป็นการสื่อสารกับเธออย่างจริงใจว่าคุณรู้สึกอยากกระโจนเข้าใส่เธอแค่ไหน การส่งข้อความนำไปก่อน เป็นทั้งการบอกความรู้สึกของคุณ เป็นการปรับระดับอารมณ์ของเธอให้มาอยู่ในระดับเดียวกัน รวมถึงกระตุ้นให้เธอรู้สึกมากขึ้น จินตนาการมากขึ้น ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
ในวันที่กระแสส่วนใหญ่บนโลกใบนี้เชื่อว่ายิ่ง “หนัก” อาจหมายถึงยิ่งดี คนทำงานหนักกว่าได้รับการยกย่องมากกว่า คนแบกรับภาระมากกว่าหมายถึงรับผิดชอบมากกว่า “ความเบา” กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนหลงลืมกันไป ในวันที่โลกทั้งใบเชื่อในสิ่งหนัก ๆ แต่ใครบางคนอาจเชื่อในความบางเบา คล่องตัว ยืดหยุ่นและพร้อมรับความหลากหลาย แต่ก็ยังมีไลฟ์สไตล์ที่เต็มไปด้วยคุณภาพทุกอณู “ฟ้า-ษริกา สารทศิลป์ศุภา” ยูทูเบอร์สาวก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอเคยลองเป็นนักร้อง รับงานนักแสดง มีธุรกิจเป็นของตัวเอง รวมถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจที่หลากหลายจนเราอดสงสัยไม่ได้ว่า “ทำทั้งหมดได้อย่างไร?” ความเบา ความคล่องตัวอยู่ตรงไหนในชีวิตที่ทั้งประสบความสำเร็จและมีความสุขนี้? เบากว่า ตรงเป้ากว่า: เพราะชีวิตไม่จำเป็นต้องหนัก แค่ต้องปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็น โลกตอนนี้อาจบีบบังคับให้เราต้องทำหลาย ๆ สิ่งพร้อมกัน และต้องทำอย่างหนักเพื่อให้ทุกสิ่งออกมาดีที่สุดด้วย ตอนแรกฟ้าเองก็เชื่อแบบนั้น แต่คำถามก็คือ “ชีวิตคนเราต้องหนักขนาดนั้นไหม?” นั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่ฟ้าเริ่มมองว่า ความเบาอาจเติมเติมเต็มเธอได้มากกว่า จนเธอตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อทำสิ่งที่เธอรัก “ช่วงมัธยมฟ้าเริ่มเป็นศิลปินฝึกหัด เริ่มมีงานถ่ายแบบเป็นงานในวงการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรายังทำได้ในช่วงนั้น แต่พอใกล้เข้ามหาวิทยาลัย มันเริ่มหนักจริง เราอยากทำธุรกิจของตัวเอง อยากทำอะไรใหม่ ๆ และเป็นช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย เลยเหนื่อยและหนักเป็นพิเศษ” “ช่วงที่หนักที่สุดคือตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เราเริ่มเรียนรู้ระบบมหาวิทยาลัยว่ามีสอบ มีส่งงาน ตอนนั้นเราเป็นนักร้องอยู่ด้วย
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสวมวิญญาณของ John Wick หรือรับบทบาทจอมยุทธในหนังจีนกำลังภายในไปเสียทุกคน ดังนั้นเมื่อเราถูกทำร้าย ไม่ว่าจะมาในรูปของการโดนดูถูก โดนเหยียดหยาม หรือแม้แต่โดนแฟนเททิ้งแบบเจ็บแสบ หลายครั้งที่การโดนทำร้ายนั้นไม่ได้ทำให้แค่รู้สึกเศร้า ปวดเจ็บ แต่มันปนมากับความโกรธสุมทรวง อยากเอาคืนให้สาสม! แต่จะให้ลุยดะแบบพระเอกหนังที่ดูก็ใช่ว่าจะจบสวยเสมอไป แถมราคาที่ต้องแลกกับการเอาคืนในรูปแบบระเบิด ภูเขา เผากระท่อมก็สูงลิบ แล้วเราพอจะเอาคืนในทางไหนได้บ้าง? เพื่อให้ความเจ็บบรรเทา ความเศร้าจางลง และความโกรธลดระดับลงได้? แม้การบอกให้ลืม ๆ ไปเถอะดูจะง่ายที่สุด แต่การปล่อยวางมักเป็นเรื่องง่ายเสมอเมื่อเราไม่ได้เจอกับตัวเอง จริง ๆ แล้ว “การล้างแค้น” ไม่ใช่แค่เรื่องเอาคืนให้สะใจเท่านั้น ทว่างานวิจัย Combating the sting of rejection with the pleasure of revenge: A new look at how emotion shapes aggression ระบุว่าเมื่อเราถูกทำให้ขุ่นเคือง โกรธขึ้ง หรือเจ็บปวด กระบวนการล้างแค้นเอาคืนมีผลอย่างมากที่เยียวยาเราจากอารมณ์เหล่านั้นเพื่อให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ดังนั้นแทนที่เราจะเอาแต่บอกว่าให้ลืม ๆ มันไปเถอะ
“การสื่อสาร” ถือเป็นทักษะสำคัญโดยเฉพาะในวันที่โลกไร้พรมแดน ใครสื่อสารได้ไวกว่า แถมทรงประสิทธิภาพกว่า โน้มน้าวใจได้มากกว่า หรือทำให้ลูกค้า เจ้านาย คนในทีมเห็นภาพร่วมกันได้มากกว่าก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง จึงไม่แปลกที่ผู้ทรงอิทธิพลและประสบความสำเร็จระดับโลกจะเป็นคนที่มีทักษะการสื่อสารอันทรงพลัง อย่างไรก็ตามคำว่าสื่อสาร เหมือนจะถูกลดลงเหลือแค่เพียง “การส่งสารออกไป” เรามีคอร์สเรียนจำนวนมากที่สอนว่าต้องพูดอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ต้องพรีเซนต์งานแบบไหนถึงจะจับใจคนฟังในครั้งเดียว จนเราหลงลืมไปว่าในการสื่อสารนั้น นอกจากส่งสารออกไปแล้ว เราต้องรู้จัก “รับฟัง” และรับสารอย่างมืออาชีพให้ได้ด้วย ผู้ที่ประสบความสำเร็จหลายต่อหลายคนก็ไม่ใช่เพราะเขาเก่งอยู่คนเดียว หรือพูดดีเพียงอย่างเดียว แต่เขาเหล่านั้นมีศิลปะการรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเช่นกัน การรู้จักฟังผู้อื่นยังมีส่วนช่วยให้เราเป็นผู้บริหารหรือคนทำงานที่มีประสิทธิภาพขึ้นได้ เพราะเราจะได้รับความคิดเห็นจากมุมที่แตกต่างมากขึ้น รวมถึงการสร้างบรรยากาศแห่งการกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น (และไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ) เมื่อเราแสดงให้ทุกคนในทีมเห็นว่าเราพร้อมรับฟัง (โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นผู้บริหาร) นอกจากนั้นการรู้จักฟัง ยังช่วยป้องกันความผิดพลาดได้มากกว่า เมื่อเราคิดคนเดียวแล้วอาจพลาดอะไรไป การฟังหลายรอบ หรือรอบเดียวจากหลายคนช่วยให้เราพิจารณาหลายอย่างได้ถี่ถ้วนขึ้น หรือแม้แต่การแก้ไขปัญหาที่ฟังความคิดเห็นหลายแบบแล้วมากลั่นกรอง ก็ทำให้เราเห็นวิธีแก้ได้เร็วขึ้นและมากขึ้นเช่นกัน สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมา เราเป็นผู้ฟังที่ดีพอหรือยัง? หรือถ้าอยากฝึกทักษะการฟังให้ดีขึ้นกว่านี้ทั้งเพื่อใช้ในที่ทำงาน ทั้งเพื่อจะเจรจาธุรกิจจะทำอย่างไรได้บ้าง นี่คือ ‘5 วิธีฟังอย่างมืออาชีพ’ ที่เราอยากให้คุณลองฝึกดู จดจ่อกับการฟัง คือการใส่ใจและให้เกียรติ โลกอาจฝึกเราให้ทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกันมาอย่างเชี่ยวชาญ แต่ไม่ใช่กับ “การฟัง” แม้เราจะรู้ตัวเองดีว่าเราสามารถฟังใครพูดก็ตามไปพร้อม ๆ กับการเปิดโน้ตบุ๊กเช็กอีเมลได้ เปิดเฟซบุ๊กอัปเดตข่าวล่าสุดได้ หรือเขียนรายงานไปพลาง
ถ้าจะมีสักช่วงวัยที่ทิ้งคราบน้ำตาและความทรงจำปวดเจ็บยากลืมเลือนไว้ในชีวิตเราได้มากพอ ๆ กับที่ฝากเสียงหัวเราะและเรื่องราวชวนอุ่นในใจเอาไว้ วันวัยที่ว่านั้นก็คงเป็น “วัยรุ่น” ช่วงวัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน ณ ขณะที่ชีวิตคาบเกี่ยวระหว่างการเป็นเด็กและการเป็นผู้ใหญ่ ณ ขณะที่เราเชื่อว่ามีแต่ความเป็นไปได้รอเราอยู่ วัยที่เต็มไปด้วยความหวังเจิดจ้า แต่ขณะเดียวกันการเติบโตก็นำบาดแผลใหม่ ๆ มาสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทุกที ๆ แม้บางคนจะผ่านวัยนั้นมาแล้ว แต่เมื่อหวนนึกถึงทีไรก็ชวนให้รู้สึกอะไรบางอย่างในใจทุกที เพราะนั่นคือชั่วขณะสำคัญที่ประกอบร่างสร้างให้เราเป็นผู้ใหญ่อย่างที่เราเป็นในตอนนี้ เพื่อให้ทบทวนตัวเองได้ดื่มด่ำกว่าเดิม เพื่อให้ระลึกถึงทุกเสียงหัวเราะและหยาดน้ำตาของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้ เราเลยอยากเอา ‘5 หนัง COMING OF AGE’ตีแผ่รอยยิ้มและบาดแผลของการเติบโตมาปลอบประโลมความทรงจำ และความเจ็บปวดจากการเติบโต The Perks of being a wallflower วินาทีที่เราตระหนักได้ว่าชีวิตตอนมัธยมก็ไม่เห็นจะหนักหนาอะไรนี่หว่า นั่นอาจเป็นวินาทีที่เราข้ามผ่านช่วงวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ถ้าหมุนเข็มนาฬิกากลับไปช่วงวัยก่อนจะ 20 ปี ความพยายามไขว่คว้าคะแนนดี ๆ มาครอบครอง การวิ่งสุดฝีเท้าเพื่อเป็นที่รักในแก๊งเพื่อน การเอื้อมสุดแขนเพื่อให้สาวสักคนหันมามอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายของเราในวัยรุ่น The Perks of being a wallflower พาเราย้อนกลับไปในช่วงมัธยมปลาย ตอนที่ตัวละครหลักเพิ่งเข้าไฮสคูลเป็นครั้งแรก ที่ที่เราต้องปรับตัว
ชีวิตเรายากกันไปคนละแบบ มีเรื่องท้าทายกันไปคนละอย่าง โดยเฉพาะในสถานการณ์ตอนนี้ที่เหมือน COVID-19 พาชีวิตเราขึ้นประจำที่นั่งบนรถไฟเหาะตีลังกาที่ไม่มีจุดหมาย บางช่วงพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด แต่บางทีก็ตีลังกาพลิกกลับหลัง หรือดำดิ่งจนหัวใจแทบวาย การคิด การวางแผน หรือการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อมุ่งมั่นทำให้ชีวิตให้ดีขึ้นนั้นไม่ผิดอะไร แต่การวางแผนหรือการแก้ปัญหาก็ต่างกับ “การคิดมาก” พอสมควร หลายคนคิดมากแล้วสามารถพาตัวเองออกจากความคิดเหล่านั้นได้ ในขณะที่บางคนจมอยู่กับ “การคิดมาก” จนบั่นทอนตัวเองและคนใกล้ตัว “กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ดึงดันกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว” สำรวจตัวเองหน่อยว่าคุณคิดมากไปหรือเปล่า? การเป็นคนคิดมาก กับการเป็นคนช่างคิดและวางแผนรอบคอบนั้นมีเส้นแบ่งบาง ๆ กั้นอยู่ หลายคนปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิด ความกังวล หรือสิ่งที่แก้อะไรไม่ได้แล้ว แต่อ้างกับคนอื่นว่า ผมแค่เป็นคนรอบคอบ ฉันแค่เป็นคนช่างคิดช่างวางแผน ลองสำรวจตัวเองอีกครั้งว่าเรากำลังครุ่นคิด หมกตัวอยู่กับสิ่งที่เราจัดการได้แน่ ๆ จริงไหม? หรือบางเรื่องมันพลาดไปแล้ว ให้ตายอย่างไรก็แก้ไม่ได้ (ซึ่งคนละเรื่องกับการคิดถึงทางแก้ในอนาคต) ในขณะที่บางสิ่งที่เรากังวลก็คือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และบางทีมันอาจไม่ได้มาถึงในรูปแบบที่เราเอาแต่คิดถึงมันก็ได้ (ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับการวางแผนรับมือกับปัญหาที่เราเจอ) ดึงดันกับอดีต คิดมากในสิ่งที่แก้ไม่ได้และคิดไปก็ไม่ได้อะไร “เมื่อเช้าไม่น่าพูดแบบนั้นในที่ประชุมเลย หัวหน้าจะมองเรายังไงนะ? คนในทีมต้องมองว่าเราโง่แน่ ๆ” “ไม่น่าตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานเก่าเลยว่ะ ถ้ายังอยู่ที่นั่น ป่านนี้คงมีความสุขไปแล้ว จะตัดสินใจลาออกทำไมวะ?” “ถ้าเลือกแผนการตลาดอีกแผนคงดีกว่านี้ เลือกแผนนี้แล้วห่วยจัง ทำไมทีมเลือกแผนห่วยแบบนี้?” กังวลกับอนาคต
ภายในปี 2563 จำนวนผู้เป็นโรคซึมเศร้าจะมำจำนวนมากเป็นลำดับ 2 รองจากโรคหัวใจ ผู้ชายหว่อง ๆ อย่างคุณเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า…
ผู้ชายสายลุยอาจต้องอดลุยกันมาพักใหญ่ ๆ เนื่องจาก COVID-19 แม้ตอนนี้หลายสถานที่ในประเทศจะเริ่มกลับมาเปิดตามปกติ และการคลายมาตรการบางส่วนทำให้เราออกเดินทางไปต่างจังหวัดได้บ้างแล้ว แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าไม่รู้เมื่อไรเราถึงจะกลับมาผจญภัย ออกเดินทาง หรือมีทริปแบบปกติ ๆ เหมือนก่อน COVID-19 มาเยือนได้อีก UNLOCKMEN เข้าใจหัวอกสายลุยดียิ่งกว่าดี จึงไม่มีอะไรเยียวยาได้ตรงจุดไปกว่า SPACE by Ecocapsule® เพราะนี่คือบ้านแคปซูลขนาดกะทัดรัด ดีไซน์ล้ำ ฟังก์ชันคูลที่ให้ความรู้สึกเหมือนการไปตั้งแคมป์ (แถมจะไปตั้งที่ไหนก็ได้เพราะไม่ง้อไฟฟ้า) ไม่ต้องคอยระวังอะไรเหมือนไปพักตามรีสอร์ทอีกต่างหากว่าเราเผลอละเมิดกฎ New Normal อะไรไปบ้างหรือเปล่า ส่วนใครเบื่อ ๆ บรรยากาศในบ้าน จะเอามาตั้งในสวนแยกตัวมามีเวลาส่วนตัวแบบคูล ๆ ก็ไม่ผิดกติกา เรียกว่าดีต่อใจสายลุยในวันที่ไม่ได้ออกไปลุยมานานได้กริบทุกมิติจริง ๆ วัสดุภายนอก SPACE by Ecocapsule® ทำจากเปลือกไฟเบอร์กลาสหุ้มฉนวนโครงเหล็ก มาพร้อมระบบการผลิตพลังงานที่สายรักษ์โลกก็ต้องรัก ส่วนสายลุยก็ยิ่งชอบเพราะไม่ต้องกังวลว่าจะไปตั้งที่ไหน มีไฟฟ้าไหม? เดินไฟให้วุ่นวายหรือเปล่า? SPACE by Ecocapsule® ใช้ระบบการผลิตพลังงานจากแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงติดตั้งบนเสาแบบยืดหดได้ ให้กำลังไฟ 200W ส่วนระบบความร้อนและการระบายอากาศนั้น SPACE by Ecocapsule® ดีไซน์หน้าต่างที่สามารถเปิดเป็นช่องรับลมไม่ว่าจะตั้งอยู่ที่ไหน