พูดคำว่า “ไม่” กลายเป็นมิติพิศวงที่ชวนให้คนที่พูดมันออกมาต้องงุนงงทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนถูกขอร้อง ถูกขอความช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ทำไม พอต้องปฏิเสธ พอต้องพูดว่าไม่ทีไร เราถึงต้องรู้สึกแย่ รู้สึกผิดทุกครั้งไป การช่วยเหลือคนมันก็ดีนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้ช่วยทุกคน ช่วยทุกเรื่องก็คงมากไป แต่ไอ้ครั้นจะมามัวปฏิเสธไป รู้สึกผิดไปก็ดูจะทำร้ายจิตใจตัวเองมากเกินไปหน่อย UNLOCKMEN จึงเอาวิธีพูดคำว่า “ไม่” ไว้ปฏิเสธใคร ๆ แบบไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไปมาฝากกัน 1.เราไม่ได้ฆ่าคนตาย อย่าจมอยู่กับความรู้สึกผิดขนาดนั้น โอเค เรามาเริ่มกันที่ทำไมเราต้องรู้สึกผิดกับการพูดปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด? ก่อนอื่นเราอยากให้คุณทำความเข้าใจเรื่องนี้เสียใหม่ “ความรู้สึกผิด” สมควรที่เราจะรู้สึกก็ต่อเมื่อเราทำผิดต่อใครสักคน ทำร้ายเขา ทำให้เขาเจ็บปวด ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ แต่เดี๋ยวก่อน! การปฏิเสธความช่วยเหลือ (ที่ขอมาหลายครั้งเกินไป หรือเหนือบ่ากว่าแรงเราจนช่วยไม่ไหว) ไม่ใช่การที่เราทำร้ายเขา แต่เป็นการบอกให้เขาเข้าใจเงื่อนไขของเรา และเขาจะได้หาคนที่เขาสามารถขอความช่วยเหลือที่เหมาะสมคนต่อไป หรือไม่ก็เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเอง ดังนั้นนี่ไม่ใช่การทำร้ายเขา เลิกรู้สึกผิดได้แล้ว! 2.เราไม่ใช่คนเลว เราแค่ไม่สะดวก อีกกรณีที่เรามักรู้สึกผิดเมื่อเราต้องบอกปัดอะไรจากใครสักคน เพราะเรากลัวการดูเป็นคนเลว การดูเป็นคนไม่มีน้ำใจ หรือการดูเป็นคนไม่อยากช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งไม่จริงเสมอไป เราควรถามตัวเองแทนว่าเพราะอะไรเราถึงปฏิเสธเขา? เพราะเขาขอร้องให้ช่วยเรื่องซ้ำ
หลังจากลืมตาตื่น อะไรคือสิ่งที่คุณทำเป็นอย่างแรก? เปิดสมาร์ทโฟนมาเลื่อนดูเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม? เช็คอีเมลงาน? คิดถึงงานที่ค้างจากเมื่อวาน? คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าการเริ่มต้นวันที่คุณกำลังทำอยู่นั้นส่งผลให้คุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ? Jacqueline Whitmore ผู้เขียนหนังสือ Poised for Success: Mastering the Four Qualities That Distinguish Outstanding Professionals จะมาร่วมแชร์วิธีการตื่นนอนอย่างสงบ ผ่อนคลายที่จะช่วยให้คุณจัดการวันของคุณให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวขาลงจากเตียง 1.ลุกจากเตียงอย่างนุ่มนวล เรามักลุกจากเตียงอย่างรีบเร่ง เพราะคิดว่าใช้เวลานอนให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการกดเลื่อนนาฬิกาปลุกออกไปเรื่อย ๆ แล้วจะถือว่าได้ใช้เวลาพักผ่อนนานขึ้น แต่ลองเปลี่ยนวิธีการลุกจากที่นอนดูใหม่ แทนที่จะรีบลุกอย่างเร่งร้อน ให้เราค่อย ๆ ลุกอย่างนุ่มนวล นอนให้เต็มตื่น ปลุกเวลาเผื่อเวลาต้องตื่นจริงสัก 5-10 นาที เลือกใช้เสียงปลุกที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขที่ได้ฟังมากกว่าเสียงที่ทำให้ฟังแล้วรู้สึกเกลียดที่จะตื่นขึ้นมา 2.ยิ้ม วิธีโคตรง่ายอย่างการยิ้มนี่แหละ ที่จะทำให้วันทั้งวันของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะการยิ้มสามารถเปลี่ยนโทนของอารมณ์ได้ โดยการยิ้มช่วยเพิ่มปริมาณสาร endorphin ในร่างกายซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวด ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณคิดว่าเรากำลังให้คุณตื่นขึ้นมาฉีกยิ้มพร่ำเพรื่อก็คงไม่ใช่ แต่เรากำลังแนะนำให้คุณหาอะไรที่ทำให้คุณยิ้มได้มาวางไว้หัวเตียง อาจจะเป็นสาวที่คุณชอบ สถานที่ที่คุณชอบไป ที่เที่ยวที่คุณฝันว่าจะไปมาตลอดชีวิต จะได้ตื่นมาแล้วยิ้มให้กับสิ่งดี ๆ เหล่านั้นก่อนเริ่มต้นวัน
ไม่ว่าจะพยายามหลีกเลี่ยงแค่ไหน ชีวิตเราก็ต้องพบปะกับการเจรจาต่อรองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องง่าย ๆ อย่างการต่อรองกับเพื่อนว่าจะไปกินเหล้าร้านไหนกันดี ต่อรองกับแฟนสาวเพื่อขอออกไปเที่ยว ไปจนถึงเรื่องราวยิ่งใหญ่อย่างการเจรจาต่อรองทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาต่อรองระดับไหน เราก็ล้วนแต่ต้องการจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะไว้ในมือทั้งนั้น UNLOCKMEN จึงเอาเทคนิคการเจรจาต่อรองที่ใช้ความฉลาดทางอารมณ์ล้วน ๆ จากคำบอกเล่าของ Chris Voss อดีต FBI Crisis Negotiation Team ที่ทำงานด้านการเจรจาต่อรองมากว่า 24 ปี ถ้าได้เทคนิคที่ผ่านการสรุปจากการทำงานยาวนานจากเขามาใช้ รับรองว่าเจรจาครั้งต่อไป ไม่มีพลาดแน่นอน 1.พูดทวนคำ หนึ่งในวิธีการสุดสามัญคือการพูดทวน หรือพูดซ้ำคำ โดยพูดซ้ำ 1-3 คำล่าสุดที่คู่เจรจาของคุณเพิ่งพูดออกมา เพราะนี่คือวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างความรู้สึกเป็นมิตรกับคู่เจรจา และทำให้คู่เจรจาของคุณรู้สึกปลอดภัยมากพอที่จะเปิดใจคุยกับคุณ สิ่งที่ขาดไม่ได้นอกจากการทวนและซ้ำคำ ก็คือน้ำเสียง ให้ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลและเป็นมิตรที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ถ้านึกไม่ออก ก็นึกถึงเสียงของดีเจเปิดเพลงในวิทยุช่วงกลางดึก เทคนิคเหล่านี้จะช่วยทำให้บทสนทนาดำเนินไปอย่างช้าลง ช่วยประวิงเวลาให้เราสามารถคิดอะไรก่อนพูดได้มากกว่าเดิม 2.แสดงความเอาใจใส่ แสดงให้คู่เจรจาของคุณเห็นว่า คุณสังเกตเห็นอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เขาแสดงออกมา โดยพยายามสังเกตจากสีหน้า คำพูด โดยเฉพาะความรู้สึกทางลบ และอย่าลืมพูดวลีที่แสดงออกมาว่าคุณรู้ว่าเขารู้สึกอะไร เช่น “ฟังดูเหมือนคุณกำลังกลัวที่จะ…นะ” หรือ “ดูเหมือนว่าคุณกำลังกังวลเรื่อง…นะ” เป็นการแสดงให้รู้ว่าเรามองเขาออก
อยู่ ๆ จะให้มาบอกว่าตัวเองเป็นคนฉลาด ก็อาจทำให้ดูเป็นคนหลงตัวเองแปลก ๆ ได้ แต่จะรอให้ใครมาชมว่าฉลาดก็ไม่รู้เชื่อได้หรือเปล่า ยิ่งอยากรู้ว่าเราฉลาดมากน้อยแค่ไหน ฉลาดมากกว่าคนอื่นหรือเปล่ายิ่งเป็นคำตอบชวนงงเหลือเกิน แต่ถ้าอยากรู้วันนี้ UNLOCKMEN ก็ชวนมาดูสัญญาณ 5 ข้อที่อาจบ่งบอกว่าคุณฉลาดกว่าคนอื่น 1.คุณขี้กังวล กระวนกระวาย จริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกว่าการเป็นคนขี้กังวล ขี้กระวนกระวายเป็นเรื่องที่ดี แต่จากหลักฐานงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นบอกว่าการเป็นคนขี้กังวลอาจไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิด Jeremy Coplan นักจิตยาเปิดเผยว่าเขาศึกษาคนที่เป็นโรควิตกกังวล (anxiety disorders) พบว่าคนที่มีอาการวิตกกังวลสูงมี IQ สูงมากกว่าคนที่มีอาการไม่มาก รวมถึงงานวิจัยอื่นที่ทำการทดลองโดยให้กลุ่มตัวอย่างมาทำแบบทดสอบในคอมพิวเตอร์ แล้วแกล้งปล่อยไวรัสเข้าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น ๆ โดยคนที่แสดงอาการกระวนกระวาย วิตกกังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้ามากกว่าสามารถช่วยแก้ปัญหาตรงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพได้มากกว่าเช่นกัน 2.คุณเริ่มอ่านเร็วกว่าคนอื่น มีงานวิจัยที่ทำการสำรวจฝาแฝด 2,000 คน แม้พวกเขาจะมียีนเหมือนกัน แต่คนที่เริ่มอ่านหนังสือเร็วกว่ามี IQ สูงกว่าคนที่เริ่มอ่านช้ากว่า เราอาจคิดว่า อ้าว ก็ถูกแล้วไงเพราะฉลาดใช่ไหม เลยอ่านหนังสือเร็วกว่าชาวบ้านชาวช่องเขา แต่นักวิจัยพบว่าไม่ใช่เพราะเราฉลาด เราถึงเริ่มอ่านไวกว่าคนอื่น แต่เพราะการที่เราอ่านหนังสือก่อนคนอื่น ๆ นี่แหละ ที่ทำให้เราฉลาดกว่าคนอื่นเขา 3.คุณเป็นคนถนัดซ้าย
เราต่างอยู่ในยุคที่ถูกกรอกหูอยู่ทุกวันว่าให้คิดบวกสิ คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้สิ ไม่มีอะไรในโลกที่เราทำไม่ได้หรอก ขอแค่เรามั่นใจในตัวเอง แล้วบอกว่ามันเป็นไปได้ก็พอ เราเชื่อตาม ๆ กันมา ตื่นนอนมาพร้อม ๆ กับการยืนหน้ากระจกฉีกยิ้มให้กับตัวเอง แล้วบอกว่าทำได้! กูทำได้ทุกอย่างในโลกเลย! แต่การคิดบวก ให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลาอย่างนี้เป็นผลดีจริงหรือเปล่า? มันมีส่วนกับความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน? แล้วถ้าไม่คิดบวกตามแบบใคร ๆ เรามีโอกาสประสบความสำเร็จหรือเปล่า? ก่อนอื่น UNLOCKMEN ขอพาคุณย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปี 2015 ขณะนั้นที่ New York มีการแข่งขันเทนนิส U.S. Open รอบ semi-finals โดยเป็นการแข่งขันกันระหว่าง Roberta Vinci กับนักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งในขณะนั้นอย่าง Serena Williams เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า Serena Williams ชนะ 3 รายการหลักของการแข่งขันเทนนิสไปแล้วในปีนั้น แถมได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในขณะที่ Roberta Vinci ไม่เคยผ่านเข้ามาถึงรอบ semi-finals ของการแข่งขันเทนนิสรายการใหญ่ ๆ เลย นี่เป็นครั้งแรกของชีวิตการเป็นนักกีฬาเทนนิสของเธอ โอกาสชนะครั้งนี้คือ 300
การมีเพื่อนที่ดีถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของชีวิต แต่ใครจะไปคิดว่าเพื่อน มิตรภาพ ความสัมพันธ์มันเชื่อมโยงสัมพันธ์ไปจนถึงสุขภาพกาย สุขภาพใจ ไปยันวิถีชีวิตของเราตอนแก่ตัวไปอีกด้วย ที่สำคัญมิตรภาพที่ว่านี้อาจจะมีอิทธิพลต่อสุขภาพและความสุขในชีวิตของเราตอนแก่ยิ่งกว่าครอบครัวเสียอีก ก่อนจะเชื่อ ไม่เชื่อ หรือร่วมถกเถียงว่าเรื่องนี้จริงหรือไม่จริงอย่างไร เราลองมาอ่านไปพร้อม ๆ กันว่าที่เขาว่ามิตรภาพสำคัญนั้นมันสำคัญแค่ไหนกัน William Chopik คือนักจิตวิทยาจาก Michigan State University เจ้าของงานวิจัยที่ชื่อว่า Associations among relational values, support, health, and well-being across the adult lifespan ซึ่งศึกษาเรื่องมิตรภาพความสัมพันธ์ มันส่งผลต่อชีวิตของเราอย่างไร William Chopik เปิดเผยว่าการมีเพื่อนดี ๆ อยู่รอบ ๆ ตัวมันสามารถทำให้ชีวิตและสุขภาพเราดีงามตามไปได้จริง ๆ โดยการมีมิตรภาพที่ดีอาจจะสำคัญกว่าคนในครอบครัว (เมื่อเราแก่ตัวลง) อีกด้วย เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? เนื่องจากเพื่อนคือความสัมพันธ์ที่เราสามารถเลือกได้ ยิ่งเราโตขึ้น แก่ขึ้นอยู่บนโลกมานานมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีแนวโน้มจะเลือกคบเพื่อนที่เข้ากันได้กับชีวิตของเรามากขึ้นเท่านั้น ความชอบที่ใกล้เคียงกัน เรื่องราวที่สนใจเหมือนกัน ๆ กัน กิจกรรมที่ทำร่วมกัน
ถึงเราจะรู้ว่าหนึ่งวันมี 24 ชั่วโมงเท่ากันแค่ไหน แต่ยังไง้ ยังไง ช่วงเวลาของวันหยุดก็ดูเหมือนว่าจะผ่านไปเร็วไวกว่าวันธรรมดาไปเสียทุกที ไม่ว่าเราจะพยายามแพลนวันหยุดให้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน แต่พอเย็นวันสุดท้ายก่อนที่จะถึงวันทำงาน เรากลับต้องรู้สึกหดหู่ทดท้อว่าเวลาแห่งการพักผ่านไปไวจนรู้สึกเหมือนไม่ได้หยุดพักเลย! ปัญหาจึงไม่ได้อยู่แค่การจัดการเวลาของเราในช่วงวันหยุด แต่อยู่ที่เซนส์การรับรู้เรื่องเวลาของสมองเราด้วย จะดีสำหรับผู้ชายอย่างเราแค่ไหน ถ้าสามารถปรับการรับรู้เรื่องเวลาของตัวเองให้รู้สึกเหมือนว่ามีเวลาช่วงวันหยุดยาวนานกว่าที่เคย ศาสตราจารย์ David Eagleman นักประสาทวิทยาจาก Stanford University ผู้เขียนหนังสือ The Brain: The Story of You อธิบายเรื่องวิธีการรับรู้เรื่องเวลาของคนเราไว้ง่าย ๆ ว่าเรามักจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ เมื่อเราสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ สิ่งใหม่ เนื่องจากสมองเราจะจดจำรายละเอียด จัดระบบ เรียนรู้ประมวลผลกับประสบการณ์ใหม่ทั้งหมด ถ้านึกไม่ออกให้ลองนึกถึงปิดเทอมฤดูร้อนของช่วงวัยเด็กดู แม้จะปิดเทอมแค่สามเดือน แต่ดูเหมือนยาวนานไม่จบสิ้น เริ่มตั้งแต่ฟังผลสอบ เล่นว่าวตอนหน้าร้อน รอคอยการมาถึงของเทศกาลสงกรานต์ ไปจนถึงเริ่มซื้อชุดนักเรียนสำหรับเทอมใหม่ จนกระทั่งเริ่มเปิดเรียน หรือถ้าให้สั้นไปกว่านั้น การเดินทางขาไปมักสร้างความรู้สึกยาวนานกว่าการเดินทางขากลับ (โดยเฉพาะการเดินทางด้วยรถยนต์ รถไฟที่จะได้สัมผัสบรรยากาศใหม่ ๆ สองข้างทาง) เนื่องจากการเห็นสิ่งใหม่ส่งผลให้สมองประมวลผลให้เรารับรู้อะไรที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่แปลกอะไรถ้าช่วงวันหยุดที่เราไปเที่ยวในที่ใหม่ ๆ หรือเจอคนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน เมื่อเราจะมองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่าเวลายาวนานคุ้มค่ากว่าที่เคย หรือถ้าไม่ได้ไปที่ใหม่
หลายครั้งที่โอกาสเดินเข้ามาชนเราอย่างจังแบบไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ใครจะรู้ว่าโอกาสมันเข้ามาได้หลายรูปแบบขนาดนี้ เพราะนี่คือเรื่องราวพลิกชีวิตชั่วข้ามคืนของ Jeremy Meeks อดีตอาชญากรที่กลายเป็นผู้ต้องขังแล้วโด่งดังกลายเป็นนายแบบจากรูปถ่ายตอนจับกุม! ความพลิกผันชวนตะลึงและโอกาสการกลับคืนสู่สังคมของคนที่เคยทำผิดครั้งนี้อาจสร้างแรงบันดาลใจดี ๆ ให้กับคุณก็ได้ เรื่องราวของ Jeremy Meeks เริ่มต้นเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2014 ย้อนกลับไปเมื่อช่วงนี้ของเมื่อสามปีที่แล้ว เขาคือชายหนุ่มวัย 30 ปีที่ถูกจับกุมด้วยข้อหาพกพาอาวุธและต่อต้านการจับกุมของเจ้าหน้าที่ เรื่องราวก็คงจบลงด้วยการถ่ายรูปการจับกุม ขึ้นโรง ขึ้นศาล ต้องโทษ รับความผิดที่ก่อไว้ตามปกติ แต่มันดันไม่ใช่แบบนั้น เพราะ เฟซบุ๊กแฟนเพจของ Stockton Police Department เขาดันนำรูปถ่ายผู้ถูกจับกุมอย่าง Jeremy Meeks พร้อมผู้ต้องโทษคนอื่น ๆ โพสต์ลงเฟซบุ๊ก เจตนาก็เพื่อแจ้งให้คนในพื้นที่ทราบว่าไม่ต้องห่วงนะ เจ้าหน้าที่อย่างเราทำงานอย่างขยันขันแข็ง รอบนี้เราจับกุมได้กี่ราย จากคดีอะไรบ้าง แต่ที่ชวนตกตะลึงก็คือ เมื่อโพสต์ภาพผู้ถูกจับกุมที่ถ่ายบนพื้นหลังเทา ๆ เสื้อยืดสีขาวสุดธรรมดาของ Jeremy Meeks ลงไปเท่านั้น คนดันแห่มากดไลก์ คอมเมนท์ แชร์ จนยอดล่าสุดมีคนกดไลก์ไปเป็นแสนไลก์ แชร์ไปหมื่นกว่าแชร์ และคอมเมนท์ไปสองหมื่นหกพันคอมเมนท์ หลังจากผ่านการรับโทษและก้าวสู่อิสระเมื่อเดือนมีนาคมปี 2016 เขาได้รับการทาบทามจากโมเดลลิ่ง
เกิดเป็นคนหน้าตาดี โอกาสหลาย ๆ อย่างก็วิ่งเข้ามาหา ไหนจะดึงดูดงาน ดึงดูดสาว ดึงดูดอะไรต่อมิอะไรดี ๆ จนชวนให้คนรอบข้างหมั่นไส้ไปหมด แต่ใครจะรู้ว่าหน้าตาดีก็มีกรรม เพราะกับเรื่องความสัมพันธ์แม้ว่าพวกเขาหรือเธอจะได้ควงคนไม่ซ้ำหน้า แต่มันมีแนวโน้มว่าจะคบกับใครไม่ได้นาน! UNLOCKMEN ไม่ได้คิดเองลอย ๆ แต่มีงานวิจัยมายืนยันให้เราอ่านกันชัด ๆ งานวิจัยชิ้นที่ว่านี้มีชื่อว่า Attractiveness and relationship longevity: Beauty is not what it is cracked up to be ซึ่งนำทีมโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. Christine Ma-Kellams นักจิตวิทยาสังคม ซึ่งต้องการทำความเข้าใจว่าการมีหน้าตาดีของคนเรามันสัมพันธ์กับอัตราการหย่าร้าง หรือการมีความสัมพันธ์ที่สั้นกว่าคนอื่น ๆ จริงหรือ การทดลองแรกเริ่มต้นจากการให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเปิดดูหนังสือรุ่นของนักเรียนมัธยมปลายช่วงยุค 70 และ 80 แล้วให้คะแนนว่าใครมีหน้าตาดึงดูดความสนใจ จากนั้นก็ตรวจสอบดูว่าเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในรูปเหล่านั้นตอนนี้เติบโตไปแล้วมีสถานะอย่างไรกันบ้าง ผลก็คือคนที่ถูกให้คะแนนว่าท็อปฟอร์ม หน้าตาดี ดึงดูดใจเสียเหลือเกินมีค่าเฉลี่ยในการแต่งงานแล้วหย่าร้างมากกว่าคนที่ถูกมองว่าหน้าตาธรรมดา ๆ ไม่ได้ดึงดูดอะไร ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ผู้ช่วยศาสตราจารย์
เมื่อเราเกิดมาเป็นผู้ชายทั้งแท่งทั้งที มันก็ไม่แปลกอะไรที่เรื่องราวของเรือนร่างผู้หญิงจะเป็นความลึกลับดำมืดที่เราชอบคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ แม้ในยุคนี้เราจะยังพอหาอ่าน หาดูจากหนังสือวับ ๆ แวม ๆ บ้าง คลิปวีดีโอวาบหวิวบ้าง แต่ลองจินตนาการถึงโลกเมื่อหลายร้อยปีก่อน ไปจนถึงหลายพันปีก่อน ร่างกายผู้หญิงเป็นสิ่งที่ผู้ชายรู้สึกว่าเป็นพื้นที่ที่พวกเขาเข้าไม่ถึง จึงอดไม่ได้ที่สร้างเรื่องราวต่าง ๆ ตามจินตนาการของตัวเองว่าอวัยวะเพศหญิงนั้นช่างน่ากลัว จินตนาการที่ถูกเติมแต่งตรงกันที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น”vagina dentata” หรือการบอกว่าอวัยวะเพศของผู้หญิงมีฟันแหลมคมที่พร้อมกลืนกินทุกอย่าง! ความเชื่อแบบนี้จะมาจากที่ไหนกันบ้าง เรามาสำรวจไปพร้อม ๆ กัน Austria เราอาจเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้างกับหนังสยองขวัญที่น้องหนูของสาว ๆ นั้นพร้อมจะเขมือบน้องชายของเราเข้าไป หลังจากที่เธอยั่วยวนเราให้หลงใหลได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่า”vagina dentata” หรือภาพลักษณ์ที่มองอวัยวะเพศหญิงเป็นปากที่มีฟันพร้อมเขมือบทุกสิ่งนั้นมีมานานแล้ว โดยในศตวรรษที่ 19 นักจิตวิเคราะห์แรงขับทางเพศชื่อดังอย่าง Sigmund Freud ก็เป็นคนพูดถึงเรื่องนี้ไว้ แต่สุดท้ายทฤษฎีนี้ก็ถูกเหล่าสตรีนิยมบอกว่ามันเป็นเพราะความกลัวผู้หญิง ที่สุดท้ายก็กลายมาเป็นรากฐานวัฒนธรรมที่กดขี่ผู้หญิงนั่นเอง India ถ้าเรารู้สึกว่าที่ Austria หนักแล้ว เราพาคุณมาทัวร์ India กันบ้าง เรื่องเล่าที่เป็นตำนานที่ถูกเล่าต่อ ๆ กันมามากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งมาจากรัฐ Madhya Pradesh