เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2018 แบรนด์รองเท้าชื่อดัง Adidas ร่วม Collaboration กับร้านรองเท้าระดับตำนานของญี่ปุ่นอย่าง Atmos ที่เริ่มต้นจากร้านรองเท้าเล็ก ๆ ในย่านฮาราจูกุแต่เต็มไปด้วยรองเท้ารุ่นหายากจากหลากแบรนด์ ทั้งสองร่วมกันออกรองเท้าสีขาว-ดำ จากโมเดล NMD R1 Atmos และปีนี้ก็สานต่อปีที่แล้ว เตรียมออกรุ่นถัดมาให้คอสนีกเกอร์ได้หาซื้อมาครอบครองอีกครั้ง การกลับมาเจอกันของโมเดลรองเท้ารุ่น NMD R1 ของ Adidas x Atmos Tokyo ครั้งนี้มีชื่อสนีกเกอร์เท่ ๆ ว่า Tricolor โดยใช้สนีกเกอร์รุ่นออริจินัล OG ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2016 มาสร้างสรรค์ความสนุกสนานกับแฟชั่นปัจจุบัน อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า NMD R1 เป็นสนีกเกอร์ที่ถักทอด้วยวัสดุชิ้นเดียวแบบ Primeknit ผ้าสีดำคุณสมบัติโดดเด่นเรื่องการระบายอากาศ ยืดหยุ่นกระชับเข้ากับรูปเท้าของผู้สวมใส่ ผสานเข้ากับเทคโนโลยี BOOST บริเวณ midsole ส่วนปลั๊ก EVA มีสีดำด้านเหมือนกับตัวสนีกเกอร์ การเจอกันครั้งนี้ของ Adidas NMD R1 Tricolor
ในที่สุดลมหนาวที่ใครหลายคนเฝ้ารอก็เริ่มพัดพาเข้ามาให้เรารับรู้ว่าเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แบรนด์รองเท้าหลายเจ้าต่างขนคอลเลกชัน Fall/Winter 2019 ออกมาต้อนรับสิ้นปีกันถ้วนหน้า รวมถึงแบรนด์ดังอย่าง Adidas ที่ปล่อยรองเท้าเท่ ๆ กับดีไซน์อันหรูหราออกมาเอาใจคอสนีกเกอร์ที่กำลังมองหารองเท้าวิ่งสักคู่ในช่วงปลายปี Adidas นำสีสันและสไตล์โมเดิร์นทันสมัยมาอยู่บนสนีกเกอร์โมเดล UltraBOOST สำหรับวิ่งที่ดึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลากหลายมาอยู่บนรองเท้าคู่เดียวเพื่อให้การวิ่งทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นส่วน Upper ทำจากผ้าถักช่วยกระชับหยืดหยุ่นไปตามรูปเท้า ราวกับว่าสนีกเกอร์คู่เก่งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย พื้นรองเท้าแบบ dual-density ซัพพอร์ตด้านใน ลดแรงกระแทก รองรับอุ้งเท้า ไปจนถึงยาง Continental ยืดเกาะพื้นถนนได้เป็นอย่างดี สนีกเกอร์ต้อนรับลมหนาวแบบเท่ ๆ ของ Adidas UltraBOOST คู่นี้คงความเคร่งขรึมด้วยสีดำ เพิ่มความโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยโลหะสีทองเงาวับตรงบริเวณสามแถบอันเป็นสัญลักษณ์คู่ใจของ Adidas รวมถึงบริเวณส้นเท้าที่ประกอบโลหะสีทองเข้ากับสนีกเกอร์ นอกจากผ้าตาข่ายสีดำที่เป็นส่วนประกอบหลักของ UltraBOOST ทางแบรนด์ยังเพิ่มผิวรองเท้าสีดำด้านและเพิ่มขอบสีด้วยสีเหลืองทอง ส่วนบริเวณลิ้นรองเท้าประทับชื่อแบรนด์ขนาดเล็กด้วยสีเดียวกันเช่นเดียวกัน ทั้งสีดำสุดคลาสสิกกับสีทองอร่ามทำให้ภาพรวมของสนีกเกอร์ ดูหรูหราและสมบูรณ์แบบ สนีกเกอร์สไตล์โมเดิร์นที่เปี่ยมด้วยความเท่ต้อนรับลมหนาวของ Adidas UltraBOOST มีวางจำหน่ายแล้วในร้านค้าของ atmos บางสาขา ในราคา 202 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยราว 6,100 บาท SOURCE
นอกจากมังงะเรื่องดัง แฟชั่นหลุดโลก และดนตรี J-Rock ที่ทำให้วัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก อีกหนึ่งสิ่งที่สร้างชื่อให้กับประเทศนี้คงต้องนับรวมภาพยนตร์สัตว์ประหลาดปี 1954 อย่างเรื่อง Godzilla ด้วย ไม่น่าเชื่อว่าจากปีที่ฉายภาพยนตร์ครั้งแรกก็เนิ่นนานมาถึง 65 ปีแล้ว จึงทำให้แบรนด์นาฬิกาสัญชาติเดียวกันอย่าง Grand Seiko ไม่พลาดออกนาฬิกาเรือนพิเศษเพื่อร่วมฉลองความสำเร็จของราชามอนสเตอร์ครั้งนี้ Grand Seiko ร่วมฉลองความสำเร็จยาวนานกว่า 65 ปี ของมอนสเตอร์สุดยิ่งใหญ่ของโลกอย่าง Godzilla ด้วยการนำเอกลักษณ์และดีไซน์ของสัตว์ประหลาดมาอยู่บนนาฬิกา SBGA405 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเดียวกับรุ่น SBGA403 ตัวเรือนขนาด 44.5 มิลลิเมตร หนา 14.3 มิลลิเมตร ทำจากไทเทเนียมความเข้มสูง สร้างสรรค์ด้วยดีไซน์โมเดิร์นทันสมัยอย่างการแต่งเหลี่ยมมุมของหน้าปัดนาฬิกาที่เป็นงานทำมือจากช่างฝีมือของ Grand Seiko สายนาฬิกาสีดำทำจากหนังฉลามถูกแต่งแต้มสีสันตามรอยแตกของแผ่นหนังด้วยสีแดง เข้ากับเรือนหน้าปัดขนาดกำลังดีประกอบเข้ากับกระจกแซฟไฟร์แบบดูอัลเคิร์ฟตัดแสงสะท้อนอย่างดีเยี่ยม ส่วนสีที่ถูกเลือกให้เป็นสีพื้นของเรือนเวลารุ่นพิเศษคือสีแดงเบอร์กันดี มีต้นแบบมาจากลำแสงความร้อนสูงที่พ่นออกมาจากปากของ Godzilla จากนั้นใช้สีเงินตรงบริเวณแต้มเวลา เข็มบอกเวลาเคลือบด้วยสารเรืองแสงลูมิไบร์ท เพื่อทำให้การบอกเวลาชัดเจนง่ายต่อการดู โดยไม่ลืมรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างการแต้มสีแดงและสารเรืองแสงตรงเข็มวินาทีอันจิ๋ว ช่องบอกวันที่บริเวณ 3 นาฬิกา ใช้พื้นเป็นสีดำตัดกับตัวเลขบอกเวลาที่เป็นสีขาวเพื่อให้มองเห็นชัด ส่วนเข็มบอกพลังงานสำรองของนาฬิกาจะอยู่ตรงนำแหน่ง 7
เรื่องเล่าลี้ลับที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ถึงตัวตนและพลังอำนาจของปีศาจ สัตว์ประหลาด หรือผีเป็นสิ่งที่มีอยู่ทุกเมืองทั่วโลก แต่ละชุมชนต่างก็มีเรื่องราวภูตผีประจำถิ่นเป็นของตัวเอง อย่างฝั่งยุโรปมีตำนานแดรกคูลา ทางอเมริกาเหนือมีตำนานเยติ หรือประเทศไทยมีกระหัง กระสือ ผีปอบที่ถูกทำเป็นหนังหลายต่อหลายภาค ส่วนเมืองเกาะมีผู้คนอาศัยมานานอย่างญี่ปุ่นก็มีเรื่องเล่าตำนานปีศาจน่ากลัวเช่นเดียวกัน ในวันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ เฮียกคิยาโก (Hyakki Yakou) หรือชื่อภาษาไทยทรงพลังว่า ‘ขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาล’ เพราะการเจอภูตผีปีศาจเพียงแค่ไม่กี่ตนอาจสร้างความสะพรึงกลัวให้กับผู้คนสมัยก่อนไม่มากพอเท่ากับกองทัพปีศาจ เรื่องเล่าสุดคลาสสิกของขบวนร้อยอสูร ถ้าเป็นกลุ่มคนไม่เชื่อเรื่องผีพอได้ยินคำว่าขบวนร้อยอสูรก็คงจะสงสัยหลายอย่าง เช่น ทำไมถึงต้องมี 100 ตน แล้วพวกเขากำลังเดินทางไปไหน ขณะที่ลูกเด็กเล็กแดงในญี่ปุ่นพอได้ยินชื่อของเฮียกคิยาโกก็ร้องไห้เพราะความกลัวไปแล้ว เรื่องราวของเฮียกคิยาโกะเริ่มต้นขึ้นจากบุคคลนิรนามที่ชื่นชอบเรื่องผี ตำนานปีศาจ เขาจึงออกเดินทางไปทั่วเกาะญี่ปุ่นเพื่อค้นหาคำตอบของตำนานผี แต่ละพื้นที่ก็มีประเภทของปีศาจแตกต่างกันไป เมื่อเขาเดินทางพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนพอใจจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาเขียนและวาดภาพรวมผีคล้ายกับกำลังเดินขบวนกันอยู่ บันทึกของบุคคลนิรนามที่เดินทางไปทั่วญี่ปุ่นทำให้ผู้คนรู้จักปีศาจประเภทต่าง ๆ มากขึ้น แถมนอกภาพวาดและบันทึก ยังมีคำบอกเล่าของเหล่าชาวบ้านสมัยยุคเฮอัน ว่าระหว่างกำลังเดินทางข้ามเมืองช่วงฤดูร้อนเห็นขบวนปีศาจจำนวนมากเดินไปทั่วชานเมือง ในขบวนมีปีศาจกว่าร้อยชนิด บ้างก็ว่าเห็นปีศาจหลายตัวลอยอยู่เหนือบ้านคน ซึ่งเมืองที่ถูกพูดว่าพบเห็นปีศาจเยอะสุดก็หนีไม่พ้นเมืองหลวงเก่าแก่อันรุ่งโรจน์อย่างเกียวโต ถ้าเป็นแค่ขบวนที่มีแต่คนแปลก ๆ อาจสร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับเด็ก ๆ และชาวบ้านไม่มากพอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มมีข่าวลือว่าหากใครเห็นเฮียกคิยาโกหรือขบวนร้อยอสูรแล้วจะต้องตายเพราะถูกสาป แต่น่าแปลกที่คนเห็นกลุ่ม แรก ๆ กลับรอดมาเล่าให้ฟังได้ ตำนานที่ถูกเล่าสืบต่อกันมาเรื่อย
เหล่าสุภาพบุรุษที่ชื่นชอบการอ่านมังงะและดูแอนิเมะแถมยังชอบอัปเดตแฟชั่นคงต้องยิ้มกันอีกครั้ง โดยเฉพาะกับแฟนมังงะเรื่อง One Punch Man ผลงานจากปลายปากกาของนักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า ‘ONE’ เพราะในปีนี้มังงะเรื่องดังที่ตัวเอกเก่งจนผิดวิสัยการ์ตูนญี่ปุ่นได้ก้าวเข้าสู่โลกของแฟชั่นอีกครั้งจากการมีคอลเลกชันพิเศษเป็นของตัวเอง เรื่องราวของเหล่าฮีโร่รวมถึงตัวร้ายจากเรื่อง One Punch Man โลกเต็มไปด้วยสงครามจากการโจมตีของเหล่ามอนสเตอร์จะออกจากหน้าหนังสือการ์ตูนและจอภาพยนตร์มาอยู่บนเสื้อผ้าของ BAIT ที่หนุ่ม ๆ หลายคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี ไซตามะ (Saitama) หนุ่มชีวิตตกอับเพราะตกงานและเคยมีความฝันวัยเด็กว่าอยากเป็นฮีโร่ เขาบ้าคลั่งการฝึกฝนเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นฮีโร่ที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นการซิตอัพร้อยครั้ง ลุกนั่งร้อยครั้ง วิดพื้นร้อยครั้ง วิ่ง 10 กิโลเมตรทุกวัน แถมกินข้าวแค่วันละมื้อเท่านั้น ซึ่งการฝึกบ้าบิ่นทำให้ไซตามะกลายเป็นยอดฮีโร่ที่ล้มคู่ต่อสู้ในหมัดเดียว แต่ต้องแลกกับเส้นผมร่วงหมดหัวกลายเป็นตัวละครหัวใสทำให้ใคร ๆ ต่างก็จดจำเขาได้ เสื้อของไซตามะในคอลเลกชันนี้ออกแบบมาจำนวนมากที่สุดตามสูตรสำเร็จเพราะเขาเป็นพระเอกของเรื่อง โดยไซตามะปรากฏตัวอยู่บนเสื้อยืดสีฟ้า ด้านหลังของเสื้อจะเห็นไซตามะก่อนหัวล้านอีกด้วย ไปจนถึงเสื้ดยืดสีขาว เสื้อฮู้ดสีเทาที่มีเขาประดับอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเสื้อผ้า ตัวละครต่อมาที่ BAIT เลือกมาอยู่บนเสื้อคงเป็นคนที่ใครหลายคนเดาถูก เพราะจีนอส (Genos) ไซบอร์กที่มีชีวิตวัยเด็กสุดรันทดผู้เป็นศิษย์เอกของไซตามะจะต้องตามอาจารย์ของเขามาอยู่บนคอลเลกชันนี้ด้วยอย่างแน่นอน ชายจริงจังที่อยากแข็งแกร่งและสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือไปไกลากรีนอยู่บนเสื้อยืดสีเหลือง ทัตสึมากิ (Tatsumaki) ซูเปอร์ฮีโร่พลังระดับ S ผู้มีฉายาน่าเกรงขามว่า ‘พายุทอร์นาโดแห่งความหวาดกลัว’ เป็นอีกตัวละครที่เข้าไปครองใจใครหลาย ๆ คน หญิงสาวหน้าตาดีที่มีผมสีเขียวนีออน แถมยังมีพลังจิตแข็งแกร่งสามารถยกสิ่งของน้ำหนักมหาศาลกว่าตัวเอง
‘ยากูซ่า’ เป็นกลุ่มคนที่อยู่ในสังคมญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน เป็นทั้งคนชายขอบที่คนอื่น ๆ ในสังคมไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว และในเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่าโกเบของจังหวัดเฮียวโงะก็มีคนกลุ่มหนึ่งเขียนประวัติศาสตร์ในแบบฉบับของตัวเองขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า ยามากุจิ-กูมิ (Yamagushi-Gumi) แรกเริ่มเดิมทีไม่มีใครสนใจพวกเขา มองว่าเป็นแค่อันธพาลข้างถนนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไร้อำนาจ แต่ใครจะรู้ว่าช่วงเวลากว่า 100 ปี นับตั้งแต่ตั้งกลุ่ม พวกเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นแก๊งยากูซ่าที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก จุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ ในปี 1915 หลายปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มต้นขึ้น มีแก๊งอันธพาลขนาดเล็กชื่อว่า ยามากุจิ-กูมิ (Yamagushi-Gumi) ในเมืองโกเบ ก่อตั้งโดยชายนามว่ายามากูจิ ฮารุกิจิ (Yamagushi Harukishi) หลาย ๆ คนเชื่อว่าฮารุกิจิผู้ตั้งแก๊งของตัวเองขึ้นในวันนั้นคงไม่คาดคิดว่ากลุ่มของเขาจะเติบโตและขยายจนกลายเป็นองค์กรมืดที่มีอิทธิพลมากสุดของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงแรกแก๊งยามากุจิ-กูมิ อาจยังไม่มีบทบาทอะไรโดดเด่นนักจนกระทั่งทาคาโอะ คาซุโอะ (Takao Kasuo) ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแก๊งรุ่นที่ 3 เขาจัดการเปลี่ยนแปลงระบบแก๊งใหม่ทั้งหมด เพราะคาซุโอะเป็นชายผู้มีมันสมองไม่น้อยกว่าความสามารถเรื่องการต่อสู้ เขาเริ่มเรียกร้องให้สมาชิกที่มีอยู่แค่หยิบมือทำอะไรมากกว่าใช้ชีวิตไปวัน ๆ กระตุ้นให้ทุกคนเริ่มทำธุรกิจสีเทาเพื่อขยายให้ยามากุจิ-กูมิ เติบโตและทรงอิทธิพลกว่าเดิม เมื่อกลุ่มเริ่มขยายจากการสร้างธุรกิจเล็ก ๆ และมีสมาชิกเพิ่มขึ้น หัวหน้ารุ่นที่ 3
ถ้าพูดถึงแบรนด์นาฬิกาที่ชอบ Collaboration ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงนาฬิกาจากเกาะญี่ปุ่นอย่าง Casio และ Seiko ที่ชื่นชอบการปล่อยคอลเลกชันพิเศษจากมังงะและภาพยนตร์จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อดึงดูดแฟน ๆ จากกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่ชอบนาฬิกา แต่หากมองไปยังแบรนด์นาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ที่ชื่นชอบการ Collaboration เป็นชีวิตจิตใจก็คงหนีไม่พ้นแบรนด์ที่ชื่อว่า Romain Jerome มาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนคงร้องอ๋อกันแล้วเพราะ Romain Jerome หรือที่กลุ่มนักสะสมนาฬิกาเรียกสั้น ๆ ว่า RJ เป็นแบรนด์นาฬิกาที่ชอบ Collaboration กับทุกอย่างบนโลกใบนี้จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกมสุดวินเทจอย่าง PAC-MAN, Super Mario หรือเกมตัวต่อขวัญใจรุ่นใหญ่ Tetris ไปจนถึงภาพยนตร์ในตำนานเรื่อง Titanic หรือจะเป็นฮีโร่แห่งรัตติกาลประจำเมืองกอตแทม Batman และตัวร้ายจากเมืองเดียวกันอย่างเรื่อง Joker ทาง RJ ก็เคยร่วมออกคอลเลกชันแล้วทั้งสิ้น และที่ UNLOCKMEN ยกตัวอย่างมาก็เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของการ Collaboration ของแบรนด์ Romain Jerome การเลือก Collaboration ครั้งนี้ของ Romain Jerome คือค่ายผู้สร้างภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่รับความนิยมมากที่สุดในโลกตอนนี้อย่าง Marvel
ตั้งแต่ที่โลกของเรามีสิ่งที่เรียกว่า ‘กล้องถ่ายรูป’ เรื่องราวที่เราไม่เคยเห็น ผู้คนที่อยู่กันคนละมุมโลกหรือมนุษย์จากต่างยุคสมัยก็สามารถพบเห็นกันได้ผ่านรูปถ่าย เทคโนโลยีสามารถทำให้เราท่องไปได้ทุกมุมโลกโดยไม่ต้องก้าวออกจากบ้าน เพียงแค่เปิดดูรูปถ่ายเราก็สามารถมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์และความทรงจำต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย นอกจากพื้นที่แสนไกลคนละขอบโลก ยังมีโลกใบเล็กที่เราจะไม่สามารถเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน แต่ปัจจุบันเราสามารถมองผ่านเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างกล้องจุลทรรศน์ได้แล้ว มุมมองใหม่ที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านี้เองคือเสน่ห์ที่ทำให้แบรนด์กล้องถ่ายรูปอย่าง Nikon จัดนิทรรศการประกวดภาพถ่ายมาโครมาตลอด 45 ปี งานประกวดภาพถ่ายโลกใบเล็กที่มนุษย์มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามีชื่อว่า Nikon Small World Photomicrography ที่ยินดีรับภาพถ่ายโมโครจากนักถ่ายภาพทั่วโลกไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นช่างภาพมืออาชีพหรือมือสมัครเล่น และงานประกวดภาพถ่ายมาโครก็ยังได้รับความสนใจจากผู้คนหลากหลายวงการไม่เพียงช่างภาพเท่านั้น เพราะกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาไปจนถึงแพทย์จำนวนไม่น้อยก็ส่งภาพถ่ายของตัวเองเข้าประกวดด้วยเช่นกัน การแข่งขันในปี 2019 ถือว่าร้อนแรงไม่แแพ้ปีไหน ๆ คณะกรรมการที่เชี่ยวชาญเรื่องของกล้องจุลทรรศน์พิจารณาภาพถ่ายกว่า 2,000 ใบที่ส่งเข้าประกวด โดยภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศเป็นผลงานของ Teresa Zgoda และ Teresa Kugler ที่กดชัตเตอร์ส่งรูปตัวอ่อนของเต่าที่กำลังเติบโต และยังมีผลงานที่น่าสนใจอีกหลายชิ้นเผยโลกในมุมที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน ผลงานทั้งหมดที่เรานำมาให้ดูเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของโลกใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตหรือมวลวัตถุขนาดจิ๋ว
อาชีพตัวตลกคืองานสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับผู้ฟัง เด็ก ๆ ส่วนใหญ่หลงรักตัวตลกเพราะพวกเขาใจดี บางคนชื่นชอบการดูโชว์ตลกเพราะอยากเจอเรื่องสนุกที่ช่วยทำให้หัวเราะได้แม้วันที่แย่ที่สุด หรือแค่ต้องการหัวเราะเยาะใครสักคนโดยไม่โดนโกรธ รอยยิ้มสีแดงจากลิปสติกที่ซ่อนริมฝีปากกับใบหน้าที่แท้จริงไว้ กิริยาร่าเริง สดใส ละลายความหม่นหมองชั่วขณะชวนให้ผู้คนอยากทำความรู้จัก ทำให้ไม่เห็นจุดประสงค์แท้จริงที่บางครั้งอาจสวนทางกับการแสดงออกภายนอก เช่นเดียวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใช้หนทางการเป็นตัวตลกทำให้คนตายใจ ไม่ทันระวังตัวว่าภัยร้ายภายใต้เสียงหัวเราะกำลังพรากชีวิตไปตลอดกาล ภูมิหลังน่าเศร้าของฆาตกรตัวตลก เรื่องราวสะพรึงกลัวภายใต้ภาพลักษณ์ขบขันเป็นกันเองเริ่มต้นขึ้นราวช่วงปี 1970 มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ John Wayne Gacy ทำอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอยู่ในเมืองชิคาโก เขาเป็นที่รู้จักของคนในชุมชนด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร ชื่นชอบการช่วยเหลือสังคม เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงาน พ่อพระอย่าง John Gacy ก็ไม่รอช้าใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการแต่งตัวเป็นตัวตลกสร้างเสียงหัวเราะให้กับเด็ก ๆ ตามโรงพยาบาล ร่วมเดินขบวนพาเหรด ทำให้เขาถูกเรียกว่า “ตัวตลก Pogo” ทั้งหมดที่กล่าวมาคือภาพจำของคนทั่วไปเกี่ยวกับ John Gacy สุภาพบุรุษใจบุญผู้ไม่มีพิษมีภัย แต่เบื้องหลังชีวิตที่เขาไม่ได้นำเสนอกลับเต็มไปด้วยความดำมืด John เติบโตมาในครอบครัวขนาดกลาง เป็นลูกชายคนที่สองจากทั้งหมดสามคน โดยมีพ่อผู้เคยรับหน้าที่ทหารช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งต่อมาหลังปลดประจำการได้เปิดร้านซ่อมรถยนต์เลี้ยงชีพ พ่อของ John มักใช้ความรุนแรงกับเขา กิจกรรมยามว่างคือการฟาดลูกชายด้วยเข็มขัดหนังเต็มแรง หรือฟาดเขาด้วยด้ามไม้กวาดที่ศีรษะจนหมดสติ เพราะเขามองว่าเด็กผู้ชายที่แท้จริงจะต้องมาดแมนสมชายชาตรี แต่ลูกชายคนที่สองอย่าง John กลับผอมแห้งบอบบางและมีท่าทางตุ้งติ้งคลายเด็กผู้หญิง
วันหยุดสุดสัปดาห์คือเวลาพักผ่อนหย่อนใจของคนทำงาน หนุ่ม ๆ จำนวนไม่น้อยเลือกใช้เวลาอยู่กับบ้านนั่งดูซีรีส์เรื่องโปรด บางคนชื่นชอบการออกไปเดินเล่นนอกบ้านพร้อมกับพาคนข้างกายหรือครอบครัวไปทานอาหารร่วมกัน และหนุ่มคนเมืองอีกจำนวนหนึ่งก็ยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานในช่วงวันหยุด UNLOCKMEN ได้ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ทำสิ่งต่าง ๆ ในคาเฟ่เรือนกระจกย่านพระรามเก้าที่รอต้อนรับผู้มาเยือนทุกวัน ไม่ว่าใครจะอยากได้ที่นั่งทำงานบรรยากาศดี หรือต้องการรับประทานอาหารอร่อย ๆ ในสวนสไตล์ทรอปิคอล เราขอแนะนำให้มาที่ The Hub Cafe and Eatery คาเฟ่และร้านอาหารบรรยากาศดีอย่าง The Hub Cafe and Eatery ซ่อนตัวอยู่ในซอยพระรามเก้า 41 เลี้ยวเข้ามาจากถนนเสรี 9 ถึงแม้จะซ่อนตัวอยู่ในซอยแต่ก็ยังโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมโมเดิร์นชั้นเดียว หลังคาทรงจั่วประกอบแผ่นไม้สีเข้มเข้ากับกระจกบานใหญ่ ตกแต่งสวนรอบคาเฟ่ด้วยพืชพรรณดิบชิ้นสไตล์ทรอปิคอลและต้นจามจุรีอายุกว่า 50 ปี ที่อยู่มาก่อนจะเกิดคาเฟ่จะทำให้บรรยากาศร่มรื่นเหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ใช่แค่เรือนกระจกกับสถาปัตยกรรมโดดเด่นสะดุดตาตั้งแต่ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าร้านเท่านั้น แต่ภายในของ The Hub Cafe and Eatery ที่ดีไซน์ให้เพดานอาคารให้สูงกว่าปกติส่งให้บรรยากาศภายในโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด เรือนกระจกรับแสงแดดสามารถทำให้เราเห็นทัศนียภาพของสวนสไตล์ทรอปิคอลได้อย่างชัดเจน เพราะ Owner ของที่นี่บอกกับเราว่า เขาต้องการสร้างคาเฟ่ให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน The Hub Cafe and Eatery