เนื้อเรื่องของดาบพิฆาตอสูรภาคต่อใน Anime ที่เน้นการผจญภัยใน ‘โยชิวาระ’ ย่านอโคจรที่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับเข้มงวดเหมือนด่านตรวจคนเข้าเมืองตามสนามบินในยุคปัจจุบัน อยู่ ๆ ดินแดนแห่งความรื่นเริงใจของบุรุษกลับเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด เหมือนกับว่ามีปีศาจร้ายออกอาละวาด หน่วยพิฆาตอสูรแห่งยุคไทโช จึงต้องตามหาต้นตอของปัญหา จัดการเหล่าร้ายร่วมกับ ‘อุซุย’ เสาหลักเสียง …และนี่คือเรื่องราวคร่าว ๆ ของ ดาบพิฆาตอสูรแอนิเมชันซีซัน 2: ย่านเริงรมย์ ต้องเกริ่นกันไว้ก่อนว่า NIHON STORIES ตอนนี้จะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการดื่มด่ำกับบรรยากาศของโยชิวาระในยุคไทโชที่ประชาธิปไตยเบ่งบาน อาจจะมีเนื้อหาที่ผู้รอชมแอนิเมชันอย่างใจจดใจจ่อแต่ไม่เคยอ่านมังงะไม่ควรได้รู้ตอนนี้ (เพราะจะเป็นการสปอยล์ให้เสียอารมณ์) ส่วนที่สองคือพาร์ทที่สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเปิดเผยเนื้อเรื่อง เนื่องจาก UNLOCKMEN เตรียมแผนไว้ในอนาคตข้างหน้า กับโยชิวาระในยุคปัจจุบัน หากโควิด-19 จบลงเมื่อไหร่ สถานที่ในมังงะก็กำลังรอให้ทุกคนได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อย้อนรอยความยิ่งใหญ่ของย่านบันเทิงที่มีปีศาจสิงสู่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น *เนื้อเรื่องส่วนนี้มีการสปอยล์ต่อคนที่ยังไม่ได้อ่านมังงะ เนื้อเรื่องของดาบพิฆาตอสูรเล่ม 9 เริ่มต้นกับบท ‘แผนแทรกซึมเข้าย่านเริงรมย์’ หากใครเคยอ่านบทความของ NIHON STORIES ก่อนหน้านี้ที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของดินแดนต้องห้ามโยชิวาระ จะรู้กันดีว่าบุรุษที่ต้องการเข้าเมืองนั้นไม่สามารถพกอาวุธ หรือเดินดุ่ม ๆ ไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าย่านนี้ได้ หากจะทำอะไรบางอย่างนอกเหนือเพลิดเพลินกับสาวงามในโยชิวาระ ทุกอย่างต้องวางแผนไว้อย่างรอบคอบก่อนเสมอ กฎข้อบังคับที่เข้มงวดตั้งแต่หน้าประตู ทำให้อุซุยที่พยายามเข้าโยชิวาระในฐานะลูกค้าเพื่อสืบข้อมูล แต่เขากลับไม่ได้อะไรมากมายกลับมา
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าช่วงนี้กระแสของเหล่าแก๊งมาเฟียกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นข่าวรองหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเพิ่งออกจากคุกมาหมาด ๆ หรือภาพยนตร์มาเฟียเรื่อง The Irishman ของผู้กำกับดังออกฉายพร้อมกวาดรางวัลจากเวทีไปแล้วนับไม่ถ้วน ไปจนถึงเรื่องราวของแก๊งนักเลงปลายแถวจากย่านเบอร์มิงแฮมของเกาะอังกฤษที่นำมาสร้างเป็นซีรีส์เรื่อง Peaky Blinders ทั้งหมดสามารถโหมกระแสโลกผู้ชายให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง ในวันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้มาเล่าถึงเรื่องราวในซีรีส์ของ Peaky Blinders แต่เน้นการเจาะลึกด้านแฟชั่นอันโดดเด่นของ Thomas Shelby กับชาวแก๊งของเขาว่าเพราะอะไรที่ทำให้ผมสั้นเกรียนเกือบทั้งหัว เสื้อโค้ตยาว หมวกรุ่นคุณปู่แสนเชย และมวนบุหรี่ถึงเท่มากเมื่ออยู่ในหนังเรื่องนี้ WHAT IS ‘PEAKY BLINDERS’ ? ย้อนกลับไปในเกาะอังกฤษคริสต์ศตวรรษที่ 19 ช่วงเวลาแห่งรอยต่อระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2 ใครหลายคนไม่คาดคิดว่าโลกจะกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง อังกฤษกำลังเจริญทางด้านอุตสาหกรรมแบบสุด ๆ แต่กลับไม่ใช่ทุกคนจะร่ำรวย ยังมีคนตกงานจำนวนมาก ชนชั้นแรงงานทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินจำนวนน้อยนิด เกิดอาชญากรรมบ่อยครั้งในย่านที่ไม่ค่อยได้รับการใส่ใจ Peaky Blinders เป็นเรื่องราวที่ดัดแปลงมาจากบุคคลที่มีตัวตนจริงในอังกฤษช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ในชีวิตจริงพวกเขาเป็นแก๊งอันธพาลเล็ก ๆ ในเมืองเบอร์มิงแฮม สมาชิกของกลุ่มส่วนใหญ่เป็นเยาวชนแต่งตัวจัดจ้าน จากคำบอกเล่าของผู้คนบอกว่า ชาวแก๊งบางคนมีแต่กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง เดินเตร่ไปมาบนถนน ไม่ได้มีอำนาจล้นมือมากขนาดนั้น
ย้อนกลับไปยังวันที่ 27 มกราคม 2012 สำนักข่าว CNN รายงานข่าวภัยพิบัติใหญ่ที่เกาะญี่ปุ่น เมื่อเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิโถมเข้าใส่จังหวัดฟูกูชิมะ ส่งผลให้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดความเสียหาย กัมมันตภาพรังสีจากโรงงานรั่วไหลออกมาโดยรอบ รัฐบาลต้องสั่งอพยพประชาชนในพื้นที่กว่า 1.6 แสนคนโดยด่วน ชาวบ้านที่ตื่นตระหนกจำต้องทิ้งบ้าน ทรัพย์สิน รวมถึงสัตว์เลี้ยงไว้ข้างหลัง เพื่อรักษาชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัยก่อน การรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีจากโรงงานนิวเคลียร์ในช่วงแรก ส่งผลให้สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงที่ถูกทิ้งไว้ได้รับสารเคมีอันตราย สัตว์เลี้ยงเพื่อบริโภคอย่างโคและสุกรจำนวนมากในหลายหมู่บ้าน จะถูกเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อทำการุณยฆาต ก่อนฝังทั้งหมดลงดิน เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อสัตว์ที่มีสารเคมีปนเปื้อนออกสู่ตลาด ทว่าสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าจำนวนมากยังคงถูกทิ้งไว้ในดินแดนที่ไม่มีผู้อาศัย สัตว์หลายชนิดในบริเวณรอบที่ใกล้โรงฟ้าไฟนิวเคลียร์พากันล้มตาย เหลือไว้เพียงซากเน่ารอวันย่อยสลายเหลือแต่กระดูก กลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนส่งกลิ่นตลบอบอวล บางตัวที่อ่อนล้าพยายามเอาตัวรอด ทว่าน้ำในแอ่งก็เต็มไปด้วยสารพิษ ต้นไม้ใบหญ้าก็อาบสารเคมี อากาศที่หายใจก็ไม่สะอาด เมืองที่ตายแล้วกำลังคร่าสิ่งมีชีวิตให้หมดลงไปเรื่อยๆ มีเพียงวันเวลาอันยาวนานเท่านั้นที่จะให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเอง แล้วชาวฟูกูชิมะบางส่วนที่ต้องหนีไปก่อนหน้านี้ได้กลับบ้านอีกครั้ง ทว่ามีชายคนหนึ่งตัดสินใจมุ่งหน้าสู่ดินแดนรกร้าง ตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะไม่ย้ายไปไหน อยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกที่กำลังทุกข์ทรมาน มัตสึมูระ นาโอโตะ (Matsumura Naoto) คือชื่อของชายคนสุดท้ายที่ยืนหยัดอยู่ในเมืองโทมิโอกะที่ร้างไร้ผู้คน โทมิโอกะเป็นหนึ่งในชุมชนที่อยู่ในพื้นที่จำเป็นต้องลี้ภัยหลังการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไดอิจิ ก่อนเกิดเหตุระเบิดที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ มัตสึมูระเลี้ยงหมาไว้หนึ่งตัว และมักผูกมิตรกับสัตว์อื่นในชุมชนเสมอ ทุกคนในชุมชนจะรู้ว่าเขาชอบเอาอาหารไปเลี้ยงแมวจรจัดท้ายหมู่บ้าน ส่วนหมาจรจัดที่ดุแค่ไหนก็ยอมไว้ใจมัตสึมูระ หลังเกิดเหตุระเบิดไม่คาดฝัน ประชาชนส่วนใหญ่ที่อพยพไม่ได้นำสัตว์เลี้ยงไปด้วย หมาแมวจำนวนมากถูกปล่อยทิ้งไว้ตามเดิม เพราะใคร ๆ ก็คิดว่าเดี๋ยวก็คงได้กลับบ้าน ด้านมัตสึมูระที่ต้องอพยพออกมาเหมือนกับคนอื่น
เมื่อเอ่ยถึง ‘นิวเคลียร์’ ในวงสนทนา สิ่งแรกๆ ที่จะได้ยินคือนิวเคลียร์จากการต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้ง ‘Little Boy’ ที่ถูกทิ้งลงสู่เมืองฮิโรชิมะ ตามด้วย ‘Fat Man’ ที่ล้างผลาญเมืองนางาซากิ นอกจากนี้นิวเคลียร์ในความทรงจำของใครหลายคนอาจยังนึกถึง ‘เชอร์โนบิล’ เมื่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของประเทศยูเครนเกิดระเบิด เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในฟูกุชิมะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะญี่ปุ่น นับเป็นโศกนาฏกรรมที่ล้วนเกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ด้วยกันทั้งหมด UNLOCKMEN จะพาผู้อ่านย้อนไปยังอดีตเพื่อพบกับเหตุการณ์น่าสะพรึงจากภัยธรรมชาติ และคูณความรุนแรงสองเท่าด้วยสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างนิวเคลียร์และสารเคมีร้ายแรง เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นนับแสนต้องพลัดถิ่น ไม่สามารถกลับบ้านหลังเดิมได้นานหลายสิบปี และทุกอย่างนับจากจุดเริ่มต้นไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ญี่ปุ่นนับเป็นดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวและสึนามิบ่อยเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และภัยพิบัติทั้งสองก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2011 แผ่นดินไหวกว่า 9 ริกเตอร์ สะเทือนไปยังโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ไดอิจิในเมืองฟูกูชิมะ หากคิดว่าแผ่นดินไหวเข้าขั้นย่ำแย่แล้ว เคราะห์ยังซ้ำกรรมยังซัดญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องด้วยสึนามิสูงราว 15 เมตร ซัดผ่านแนวกั้นกำแพงที่สูงเพียง 10 เมตร ทะลักเข้าสู่โรงงานและเตาปฏิกรณ์ ทำให้ระบบไฟฟ้าฉุกเฉินไม่สามารถใช้งานได้ ระบบหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์ 3 จาก 6 เครื่องหยุดทำงาน ความร้อนในเตาพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก๊าซไฮโดรเจนภายในเตาปฏิกรณ์จึงระเบิด สร้างความเสียหายใหญ่หลวงจนสารเคมีอันตรายเล็ดลอดออกมาจากโรงงาน เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐทราบถึงความผิดปกติครั้งใหญ่ พวกเขาทำอะไรไม่ได้มากนอกจากสั่งอพยพประชากรในละแวกใกล้เคียงในรัศมี 20
เคยเหงาจนลองคิดว่าจะจ้างคนแปลกหน้าให้มานั่งเฉยๆ อยู่ข้างๆ บ้างไหม? ถ้าไม่ แสดงว่าคุณอาจยังรู้สึกสบายใจกับการแบ่งปันเรื่องราวกับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคนรัก แต่มีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่สบายใจจะเล่าบางเรื่องให้คนรู้จักฟัง ‘ธุรกิจเช่าคน’ ที่คิดว่าไม่ทำได้จึงได้รับความนิยมมากในแดนอาทิตย์อุทัย โมริโมโตะ โชจิ (Morimoto Shoji) ชายหนุ่มธรรมดาที่มีอะไรไม่แปลกแตกต่างไปจากชาวโตเกียวคนอื่น ทว่าตอนนี้กลายเป็นคนที่มีเรื่องเล่าไม่ธรรมดาเสียอย่างนั้น ชายวัย 37 ปี จบการศึกษาด้านฟิสิกส์ในระดับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโอซาก้า ทำงานด้านสื่อสารมวลชน และเคยเป็นบรรณาธิการให้กับสำนักพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการเรียนการสอน โปรไฟล์ชีวิตของโชจิถือว่าอยู่ในระดับดีเยี่ยม ที่ลองถามเพื่อนเขาคนไหนก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเบนเข็มมาไกลได้ถึงขนาดนี้ หลังเริ่มต้นชีวิตวัยทำงานได้ไม่นาน โชจิเกิดความรู้สึกเบื่อกับความจำเจของการทำงานเดิม ๆ อยากมีเวลาว่างให้พักหายใจมากขึ้น อยากลองทำอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน เขานั่งใคร่ครวญแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้มีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นหรือเก่งมากกว่าใครเลย แต่เรียนจบปริญญาโทเพราะสังคมที่เขาอยู่พากันเรียนต่อ เขาจึงเรียนต่อเหมือนกับเพื่อนในวงสังคม พานคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับอะไรสักอย่าง และสิ่งที่ใช่ที่สุดอาจหมายถึงการอยู่เฉย ๆ ก็ได้นั่งครุ่นคิดกับตัวเองอยู่พักใหญ่ว่างานแบบไหนที่จะตอบทุกโจทย์ที่ตั้งไว้ สุดท้ายโชจิลองโพสต์ข้อความลงโซเชียลมีเดียเมื่อเดือนมิถุนายน 2018 เสนอใครก็ตามที่เลื่อนฟีดมาเห็นว่าสามารถจ้างเขาให้อยู่เฉย ๆ เป็นเพื่อนได้ สำหรับใครที่เหงาหรือต้องการใครสักคนให้จ้างเขาได้เลย ใครจะคิดว่าการโพสต์ข้อความแบบไม่จริงจังนักทำนองจ้างผมทำงานได้ จ้างผมอยู่เป็นเพื่อนได้ หรือจ้างเราไว้รับฟังเรื่องปวดหัวของคุณสิ จะมีคนให้ความสนใจมากกว่าที่คิด รายการคำสั่งที่เขาได้รับมีทั้งนัดเจอเพื่อพูดคุย (หรือถ้าพูดกันตรง ๆ คือจ้างให้ไปนั่งฟังคนอื่นระบายปัญหาชีวิต) จ้างไปกินข้าวกลางวันเป็นเพื่อน จ้างไปนั่งดื่มเบียร์เย็น ๆ แก้วโต หรือจิบสาเกเคล้าเนื้อย่างในร้าน
‘ญี่ปุ่น’ คือดินแดนแห่งความแตกต่าง พวกเขาล้วนมีเรื่องเล่าที่เป็นเอกลักษณ์ มีทั้งเรื่องน่าชื่นชมยินดี มีทั้งเรื่องสลดหดหู่ชวนประณาม ทุกอย่างเปลี่ยนผ่านไปตามค่านิยมของสังคม อะไรถูก อะไรผิด ช่วงเวลาที่แตกต่างจะเป็นผู้กำหนดแล้วให้สังคมตัดสินว่าสิ่งเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้องกันแน่ แม้ปัจจุบันแทบทุกประเทศมักสอนลูกหลานให้ดูแลพ่อแม่เมื่อพวกเขาแก่ตัวลง ทว่าช่วงเวลาหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นกลับมีเรื่องเล่าถึงการทิ้งเหล่าผู้ชราไว้กลางป่า หรือภูเขาที่ห่างไกลชุมชน แล้วปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายตามยถากรรม ธรรมเนียมการทิ้งคนแก่ที่ว่ามีชื่อเรียกว่า อูบะสุเตะ (Ubasute) หรือบางครั้งเพี้ยนเสียงเป็น โอบะสุเทะ (Obasute) ที่มีความหมายว่าการทิ้งคนชราหรือทิ้งบุพการี มีบันทึกบางส่วนระบุว่าอูบะสุเตะถูกเขียนขึ้นในสมัยเอโดะ เรื่องเล่าของหลายครอบครัวจะนำญาติพี่น้องวัยชราที่ร่างกายอ่อนแอขึ้นหลัง แบกเดินเข้าไปในป่าลึก บ้างก็เดินขึ้นเขาไปยังพื้นที่รกร้าง แล้วทิ้งญาติผู้นั้นไว้เดียวดายจนตาย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในช่วงเวลาที่อดอยากยากลำบาก และผู้ชราที่ถูกเลือกก่อนมักเป็น ‘เพศหญิง’ ชาวญี่ปุ่นบางส่วนจะเรียกอูบะสุเตะว่าเป็นวัฒนธรรมย่อย เพราะเชื่อว่าเรื่องราวการทิ้งบุพการีให้ตายกลางป่าเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ทว่านักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง พร้อมพยายามหาหลักฐานอ้างอิงว่าอูบะสุเตะเป็นเพียงเรื่องเล่า พบในบทกวีหรือนิทานพุทธศาสนาเท่านั้น ดังเช่นนิทานเรื่องหนึ่งที่เล่าถึงแม่ลูกคู่หนึ่งไว้ชวนหดหู่ใจ ‘ในส่วนลึกของภูเขา ลูกชายแบกแม่ขึ้นหลังเดินเข้าไปทิ้งในป่าตามธรรมเนียม ผู้เป็นแม่ขี่หลังลูกคอยหักกิ่งไม้ที่แขนเธอเอื้อมถึงตลอดทาง ด้วยเป็นห่วงเวลาขากลับ ลูกชายที่เธอรักจะได้ไม่หลงทาง’ อีกหนึ่งสมมติฐานเกี่ยวกับอูบะสุเตะ เล่าว่าการทิ้งพ่อแม่วัยชราเป็นเพียงแค่การเปรียบเปรยสิ่งที่ลูกหลานชาวญี่ปุ่นปฏิบัติต่อผู้สูงอายุ เพื่อสอนสั่งเป็นภาพสะท้อนว่าวัยเด็กพ่อแม่อุ้มชู ดูแลจนเติบใหญ่ แต่เมื่อพ่อแม่แก่ตัวเด็ก ๆ กลับนำพวกเขาไปทิ้งไว้ให้รอความตาย เพื่อให้ตระหนักถึงประเด็นความกตัญญู เรื่องราวการทิ้งผู้สูงอายุที่เป็นตำนานบอกเล่าต่อกันมา สอดคล้องกับชื่อภูเขาอูบะสุเตะ (Ubasute-yama) ที่บางคนเรียกว่า ภูเขาคามูริกิ (Kamuriki-yama) ที่มีความสูงกว่า 4,108
หากเอ่ยถึงนักวาดการ์ตูนที่มีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ เชื่อได้เลยว่าชื่อของ อิโนอุเอะ ทาเกฮิโกะ (Inoue Takehiko) จะต้องติดอันดับต้น ๆ แน่นอน แม้เขาจะคิดว่าตัวเองไม่สามารถถูกเรียกว่าเป็นศิลปินได้ แต่ผลงานทั้งหมดได้การันตีแล้วว่าทาเกฮิโกะคือหนึ่งในตำนานนักวาดการ์ตูนที่ขึ้นหิ้งไปเสียแล้ว แม้เขาจะกลายเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ แต่ชายคนนี้ก็ต้องประสบปัญหากับตัวเองที่ต้องทบทวนว่าเขาจะสามารถก้าวเดินต่อในเส้นทางนี้ได้หรือไม่ อิโนอุเอะ ทาเกฮิโกะ เกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม 1967 เป็นเด็กผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่รู้สึกว่าตัวเองชอบวาดรูป พอได้เรียนวาดรูปจริง ๆ จัง ๆ ทาเกฮิโกะกลับเคยคิดว่าแม้จะชอบวาดรูป แต่เขาอาจไปไม่ถึงขั้นศิลปิน จึงจำต้องเบนสายมาเรียนวรรณกรรมในมหาวิทยาลัยคุมาโมโตะ แม้เขาจะมองว่าตัวเองไปไม่ถึงฝัน แต่เวลาว่างก็ยังไม่ละทิ้งสิ่งที่ชอบ ซ้ำยังจับความชอบส่วนตัวมาคู่กับสิ่งที่การเรียนวรรณกรรมสอนแก่เขา ทาเกฮิโกะจึงวาดการ์ตูนส่งประกวดอยู่บ่อย ๆ และเคยอยู่ในทีมผู้ช่วยของอาจารย์โฮโจ สึคาสะ (Hojo Tsukasa) นักวาดการ์ตูนเรื่อง City Hunter ที่ทำให้เขาได้เห็นการทำงานของนักวาดการ์ตูนแบบใกล้ชิดนานเกือบหนึ่งปี การ์ตูนที่เขาซ้อมมือบ่อย ๆ เรื่อง Kaede Purple สามารถคว้ารางวัลที่จะมอบให้กับศิลปินหน้าใหม่ Tezuka Prize ไปได้เมื่อปี 1988 ถ้าจะให้พูดถึงผลงานที่ทำให้คนส่วนมากรู้จักชื่อเสียงของเขาคงหนีไม่พ้นมังงะเกี่ยวกับทีมบาสเกตบอล Slam Dunk ในปี 1990
คุณชอบดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ไหม? แล้วถ้าชอบ คุณดูหนังฮีโร่ฝั่งมาร์เวลหรือดีซี? หรือคุณไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ชื่นชอบที่จะเห็นค่ายสร้างหนังฮีโร่แห่งยุคแข่งขันกัน เพราะผู้ชมอย่างเราก็จะได้กำไรแบบสองต่อ ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ถือเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวงการฮอลลีวูดหลายยุคหลายสมัย ย้อนกลับไปหลายสิบปีก่อนเรามีซูเปอร์แมนหลายภาค มีวันเดอร์วูแมนฉบับคนแสดงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก แต่ทิศทางของความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป อาจเพราะค่านิยมตามสมัย รวมถึงวิสัยทัศน์ของผู้กุมบังเหียนค่าย NIHON STORIES สัปดาห์นี้จะพาผู้อ่านไปพบกับหัวหอกคนสำคัญแห่งยุคของบริษัทสร้างภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ วอร์เนอร์บราเธอส์ (Warner Bros.) หรือในนามอักษรย่อว่า WB อย่าง วอลเตอร์ ฮามะดะ (Walter Hamada) ที่ขึ้นกุมบังเหียนค่าย DC ที่อยู่ในสังกัด WB ในช่วงเวลาแสนสำคัญที่ทำให้ค่ายหนังกวาดคำชมจากกลุ่มนักดูหนังไปได้อีกครั้ง ย้อนกลับไปหลายปีก่อน ฮามาดะจะเป็นผู้ควบคุมโปรเจกต์ภาพยนตร์หนังผี New Line Cinema ในปี 2007 ค่ายหนังในเครือ WB และมีส่วนร่วมกับการสร้างภาพยนตร์สยองขวัญขึ้นหิ้งหลายเรื่องทั้ง The Conjuring ที่ทำร่วมกับ เจมส์ วาน (James Wan) หรือ IT, The Gallows และ Annabelle เขาเป็นผู้บริหารและหุ้นส่วนบริษัท H2F
“เยาวชนคือความหวังของชาติ” วลีนี้ไม่ใช่การกล่าวเกินจริง แต่เป็นสิ่งที่หลายประเทศต่างให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อพวกเขาคืออนาคต NIHON STORIES จึงเปิดปีใหม่ด้วยความหวัง ชวนดูการจัดอันดับอาชีพในฝันของเด็กชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ ค้นหาว่าพวกเขาคิดอะไร วาดฝันตัวเองไว้แบบไหน และเส้นทางการเติมเต็มความฝันของพวกเขาจะเป็นไปได้หรือไม่บนเกาะแห่งนี้ เว็บไซต์ SoraNews24 เผย 5 อันดับ อาชีพที่เด็กญี่ปุ่นชั้นประถมให้ความสนใจ จากการสำรวจของสถาบันวิจัยการศึกษาแห่งชาติญี่ปุ่น ลงพื้นที่สอบถามเด็กประถมชายหญิงอย่างละ 600 คน รวม 1,200 คน เพื่อถามถึงอาชีพในฝันที่พวกเขาอยากเป็น และรวบรวมผลช่วงปลายปี 2020 ก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณชนในปี 2021 เพื่อให้ครัวเรือนทั่วประเทศเห็นภาพความฝันของเยาวชนที่กำลังจะเติบโตในปีนี้ อันดับ 5 (ร่วม) ครูอนุบาล ,แพทย์ หากคนที่โตขึ้นมาหน่อยตอบว่าอยากเป็นหมอ อาจมีเหตุผลเรื่องรายได้กับความมั่นคงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะประสบการณ์ชีวิตสอนให้เรารู้ว่าบางครั้งเงินก็จำเป็น ทว่าเด็กวัยประถมที่ยังไม่เข้าใจโลกทุนนิยมอย่างลึกซึ้ง พวกเขาส่วนมากอยากเป็นหมอเพราะมุ่งหวังจะช่วยเหลือผู้คนที่กำลังเจ็บปวด อยากรักษาเพื่อนร่วมโลก คนใกล้ตัว หรือคนที่พวกเขาแคร์ พ่วงมาด้วยความทรงจำดี ๆ ครั้งไปหาหมอเมื่อตอนไม่สบายแล้วได้ขนมลูกอมปลอบใจกลับมา ทั้งหมดก็มีส่วนส่งผลให้เด็กหลายคนอยากเป็นหมอในภายภาคหน้า อาชีพครูอนุบาลตามที่คนไทยส่วนใหญ่เคยเห็นในการ์ตูนเรื่องชินจัง หรือสื่อกระแสหลักอื่น ๆ จากญี่ปุ่น ส่งให้คนเข้าใจว่าครูอนุบาลคืออาชีพที่ดูจะมีความสุขไม่น้อย การได้เล่นกันเด็ก ๆ
‘ญี่ปุ่น’ ถือเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอัตราการฆ่าตัวตายสูงติดอันดับโลกเสมอ จนถูกนับเป็นเมืองที่มีความเครียดสูงที่สุดเมืองหนึ่งของโลกไปแล้ว ด้วยเหตุผลหลายอย่างทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ การแข่งขันทางธุรกิจ การทำงาน รวมถึงพื้นที่ที่จำกัด และค่านิยมหลายอย่างที่อาจส่งผลให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เกิดความเครียด เมื่อเครียดจนไม่รู้จะทำอย่างไร คนบางส่วนจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองเพื่อปิดกั้นการรับรู้ถึงปัญหาต่าง ๆ ไปตลอดกาล การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วโลกก็แวะเวียนไปยังญี่ปุ่นเช่นกัน ในตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังเผชิญหน้ากับการระบาดระลอกสองที่ยากจะควบคุม แม้ตอนแรกจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศจะยังไม่สูง ซ้ำผลสำรวจของสื่อแทบทุกสำนักยังระบุตรงกันว่า การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในญี่ปุ่นช่วงแรกที่รัฐบาลต้องสั่งล็อกดาวน์ สามารถลดความเครียดของชาวญี่ปุ่นได้อย่างน่าตกใจ แต่ตอนนี้ความเครียดที่หายไปได้กลับมาอีกครั้ง พร้อมอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นจนน่าใจหาย ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการฆ่าตัวตายของชาวญี่ปุ่นช่วงเดือนเมษายนว่าลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ๆ ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมษายนคือช่วงเวลาเดียวกับที่โควิด-19 ระบาดหนัก รัฐบาลขอความร่วมมือประชาชนให้อยู่แต่ในบ้านและอย่าออกจากเคหสถานหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ รวมถึงการปิดเทอมของเหล่านักเรียน ส่งผลให้ทุกคนได้อยู่บ้าน และมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ประชาชนญี่ปุ่นถูกสั่งให้อยู่แต่บ้าน เหล่ามนุษย์เงินเดือนที่เดิมทีต้องตื่นแต่เช้าแต่งตัวออกไปทำงาน ยืนเบียดเสียดบนรถไฟ แล้วค่อยเดินกลับบ้านแบบหมดเรี่ยวหมดแรง แปรเปลี่ยนเป็นนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน หักเวลาเดินทางไป-กลับ มาเป็นเวลาที่จะได้นอนมากขึ้นกว่าเดิมสักนิดหน่อย บางคนมีครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม่บ้านได้นั่งคุยกับสามีและลูกที่อยู่ในช่วงปิดเทอม ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่ต้องออกไปเผชิญกับไวรัสที่กระจายอยู่ทั่ว สมาชิกในครอบครัวร่วมชายคาเดียวกันมีโอกาสพูดคุยมากขึ้น ทั้งหมดส่งผลให้มวลความเครียดของชาวญี่ปุ่นลดลง แต่ข่าวน่ายินดีนี้เป็นเพียงแค่ช่วงแรกของการระบาดเท่านั้น ภาพในระดับครอบครัวชนชั้นกลางจนถึงสูงทั้งในเมืองและต่างจังหวัดเป็นเพียงส่วนเล็กของสังคมใหญ่ ภาพรวมในระดับประเทศช่วงการระบาดของไวรัสไม่น่าดูเท่าไหร่นัก