เมื่อเอ่ยถึง ‘ญี่ปุ่น’ สิ่งที่เรานึกถึงอันดับแรก ๆ คืออะไร ? หากเป็นสุภาพบุรุษสายซิ่งอาจนึกถึงรถยนต์ตระกูล Skyline GT-R ของนิสสัน หากเป็นหนุ่มสายประวัติศาสตร์เท่ ๆ อาจนึกถึงซามูไรผู้ห้าวหาญ หรือเป็นผู้ชายสายมังงะอาจจะนึกถึงการ์ตูนเรื่องโปรดของตัวเอง แต่ถ้าเป็นบุรุษรักสัตว์พวกเขาจะนึกถึง ‘ชิบะ อินุ’ เป็นอย่างแรก UNLOCKMEN จะพาหนุ่ม ๆ ทุกสายทุกสไตล์ไปทำความรู้จักกับ ชิบะ อินุ (Shiba Inu) หรือ หมาชิบะ อันโด่งดังของญี่ปุ่น กับเรื่องราวความเป็นมาที่ต้องฝ่าฟันจากยุคมหาสงครามเอเชียบูรพา การผลักดันให้สุนัขสี่ขาตัวกำลังดีเป็นที่รู้จักในฐานะสัตว์ประจำประเทศของญี่ปุ่น ว่าพวกเขาต่างก็มีเรื่องราวการเดินทางที่เต็มไปด้วยสีสันไม่แพ้ใคร ชิบะ อินุ ที่มีนิสัยรักสะอาด รักอิสระ แถมยังดูแลง่ายกว่าที่หลายคนคิด ถือเป็นสุนัขสายพันธุ์ญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เกาะที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะแห่งนี้ไม่ได้มีสุนัขแค่ชิบะเท่านั้น แต่ยังมีอีก 5 สายพันธุ์ที่ถูกนับว่าเป็นสัตว์ท้องถิ่น ทั้ง อากิตะ อินุ (Akita Inu) ชิโกกุ (Shikoku) ฮอกไกโด (Hokkaido) คิชชู เคน
แม้ก่อนหน้านี้พวกเรา UNLOCKMEN จะเคยเล่าถึงความสำเร็จของมังงะเรื่อง Demon Slayer หรือ ดาบพิฆาตอสูรกันมาแล้วใน ‘ดาบพิฆาตอสูร การตื่นครั้งใหม่ของมังงะใกล้ตาย สู่รายได้หลักพันล้านเยน’ ในกรณีที่ทำลายสถิติยอดขายหนังสือการ์ตูนเล่มแซงแชมป์เก่าที่ครองอันดับหนึ่งนานกว่าสิบปีอย่าง One Piece ไปได้อย่างงดงาม ประกอบกับเอ่ยถึงความเป็นมาของมังงะนอกสายตาที่ได้โอกาสพลิกกระแสกลับมาอย่างงดงาม แต่ตอนนี้ ดาบพิฆาตอสูรได้สร้างสติถิใหม่อีกครั้งด้วยการล้มยักษ์จากสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ลงไปแบบไม่มีใครคาดคิด หลังจากหนุ่ม ๆ ที่เสพมังงะเรื่องดาบพิฆาตอสูรรับชมซีรีส์แอนิเมชันซีซันแรกกันไปเรียบร้อยแล้ว หลายคนยังคงอดใจรอให้ดาบพิฆาตอสูรฉบับภาพยนตร์เข้าฉายในโรงหนังสักที แม้ตอนนี้ทั่วโลกจะพบกับวิกฤตใหญ่ร่วมกันอย่างการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เชื้อไวรัสก็ไม่สามารถหยุดยั้งให้แฟนมังงะ โดยเฉพาะกับผู้ชมประเทศญี่ปุ่น แห่แหนเข้าโรงหนังไปรับชมความอลังการของเนื้อเรื่องและเทคนิคพิเศษสวยงามที่จัดเต็มแบบไม่มีกั๊กได้ ‘Demon Slayer the Movie Mugen Train (2020)’ หรือ ‘ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ ศึกรถไฟนิรันดร์’ ที่ได้ โซโตซากิ ฮารุโอะ (Sotozaki Haruo) นั่งแท่นกำกับ ก็สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 3.25 หมื่นล้านเยน คิดเป็นเงินไทยราว 9.4 พันล้านบาท ตีเป็นหัวได้ประมาณ 24
หลังงานเสกสมรส เจ้าหญิงมาโกะจะเป็นเพียง ‘มาโกะ’ สามัญชนที่ไม่มีฐานันดรศักดิ์ หรือจะมีฐานันดรศักดิ์ใหม่ที่จะทำให้พระองค์ยังคงแน่นแฟ้นกับสมาชิกราชวงศ์ต่อไป? หลายปีมานี้ เราได้เห็นข่าวคราวการคบหาดูใจระหว่างเจ้าหญิงมาโกะแห่งอากิชิโนะ พระราชนัดดาพระองค์โตในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น กับ เคอิ โคมุโระ (Kei Komuro) เพื่อนร่วมชั้นครั้งยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนานาชาติคริสเตียน ทางสำนักพระราชวังอิมพีเรียลเคยประกาศในวันที่ 3 กันยายน 2017 ว่าทั้งสองจะมีการหมั้นหมายกันในวันที่ 4 มีนาคม 2018 และจะมีพิธีเสกสมรสในเดือนพฤศจิกายน แต่ภายหลังทางสำนักพระราชวังได้ประกาศอีกครั้งว่างานทั้งหมดต้องถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะถึงปี 2020 โดยให้เหตุผลว่าทั้งคู่ยังไม่พร้อมสำหรับการเสกสมรส เจ้าหญิงมาโกะแห่งอากิชิโนะ (眞子内親王) เป็นพระธิดาพระองค์โตในมกุฎราชกุมารฟุมิฮิโตะแห่งอากิชิโนะ กับ เจ้าหญิงคิโกะ พระชายาฯ และเป็นพระราชนัดดาพระองค์โตในสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะแห่งญี่ปุ่น ทรงสำเร็จการศึกษาระดับประถมและมัธยมจากกาคุชูอิน โรงเรียนหลวงญี่ปุ่น ต่อมาเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาปริญญาตรี สาขามรดกด้านศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยนานาชาติคริสเตียน และทรงเข้าศึกษาสาขาพิพิธภัณฑ์ศึกษา มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ สหราชอาณาจักร ปัจจุบันทรงงานเป็นนักวิจัยในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว การเลื่อนพิธีเสกสมรสไปถึง 2 ปี ทำให้เจ้าหญิงมาโกะต้องออกแถลงการณ์ขออภัยชาวญี่ปุ่นทุกคน กรณีสร้างความวุ่นวายและสร้างภาระแก่ผู้ที่คอยช่วยเหลือและตระเตรียมงาน โดยเหตุผลที่เจ้าหญิงมาโกะกล่าวต่อประชาชนคือ พระองค์อยากรอให้พิธีสละราชบัลลังก์ของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโกะ เปลี่ยนรัชสมัยจากเฮเซเป็นเรวะให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ก่อนหน้านี้ทางสื่อหลายสำนักกับชาวเน็ตญี่ปุ่นไม่ปักใจเชื่อว่าการรอเปลี่ยนผ่านยุคสมัยจะเป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้พิธีเสกสมรสถูกเลื่อนออกไป จนเกิดการตั้งกระทู้ขุดประวัติของ เคอิ โคมุโระ ว่าเป็นใครมาจากไหน
ศิลปะญี่ปุ่นถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่โดดเด่นหาใครเปรียบ แม้ศิลปินญี่ปุ่นจะมีลวดลายเส้นสีที่ต่างออกไป แต่พวกเขามักนำแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานมาจากเรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน อาทิ ซาเอกิ โทชิโอะ ชายผู้ถูกขนานนามว่าเจ้าพ่อแห่งวงการอีโรติกอาร์ตญี่ปุ่น (Godfather of Japanese Erotica) ก็มีมุมมองทางเพศที่สื่อออกมาเป็นศิลปะด้วยกลิ่นอายคล้ายงดงามชวนขนลุก หรือแม้กระทั่งนักวาดการ์ตูนสยองขวัญสั่นประสาทลายเส้นสุดหลอนอย่าง อิโต้ จุนจิ กับ ทากาชิ มุราคามิ ต่างก็หยิบความเจ็บช้ำและบาดแผลของชาวญี่ปุ่นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงบุคลิกซ่อนเร้นเก็บกดของชาวญี่ปุ่นมาเล่าในงานภาพในมุมมองที่ไม่ซ้ำกัน ดังนั้น เมื่อเอ่ยถึงศิลปะญี่ปุ่น ผู้คนส่วนใหญ่อาจตอบชื่อศิลปินญี่ปุ่นที่นึกถึงเป็นชื่อแรกไม่ตรงกัน แต่ถ้าถามลึกลงไปอีกสักหน่อยว่า ‘อีโรติกอาร์ต’ ชื่อศิลปินที่ถูกพูดถึงก็จะน้อยลงเรื่อย ๆ และถ้าเจาะลึกยิ่งกว่าลงไปอีกด้วยคำคีย์เวิร์ดที่ว่า ‘ภาพพิมพ์’ ‘เซ็กซ์’ ‘หญิงสาว’ และ ‘หมึก’ ภาพที่ทั้งชายและหญิงจะนึกออกก็คงหนีไม่พ้นภาพที่มีชื่อว่า ‘The Dream of the Fisherman’s Wife’ หรือในชื่อภาษาไทยว่า ‘ความฝันของเมียชาวประมง’ ของศิลปินระดับตำนานอย่าง คัตสึชิกะ โฮกุไซ กันอย่างแน่นอน คัตสึชิกะ โฮกุไซ (Katsushika Hokusai) เป็นศิลปินระดับตำนานของยุคเอโดะ ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ทางเรื่องเพศของญี่ปุ่น ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ยอดเยี่ยม บ้านเมืองสงบสุขติดกันหลายปี
“กูอยากแต่งตัวแต่งบ้านแบบมินิมัลว่ะ แล้วไม่ใช่มินิมัลแบบธรรมดาด้วยนะ กูจะแต่งมินิมัลแบบญี่ปุ่น” วลีนี้คือสิ่งที่พวกเราชาว UNLOCKMEN เคยได้ยินมากกว่าหนึ่งครั้ง เวลาพูดถึงแฟชั่นแบบมินิมัล (Minimal) ไปจนถึงการแต่งบ้านสไตล์มินิมัล ชาติแรกที่คนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงความมินิมัลมักเป็นประเทศญี่ปุ่นเสมอ จนพานให้พวกเราสงสัยว่า ไอ้หนุ่มที่บอกว่าอยากแต่งตัวแต่งบ้านมินิมัลสไตล์ญี่ปุ่น มันเป็นมินิมัลแบบเดียวกับที่คนอื่น ๆ เข้าใจหรือไม่ แล้วที่มาของการทำให้คนญี่ปุ่นกลายเป็นต้นแบบของความเรียบโก้ มันเริ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ มินิมัล หรือ มินิมัลลิสม์ (Minimalism) ในแง่ของศิลปะคือสุนทรียศาสตร์ที่ว่าด้วยความเรียบง่าย เกิดขึ้นโดยบางกลุ่มบางคนในช่วงยุค 50-60s ที่เบื่อกับศิลปะสไตล์ Abstract แบบสุด ๆ รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านกับความยุ่งเหยิงฉูดฉาดเต็มไปด้วยสีสันจนไม่รู้จะโฟกัสตรงไหนก่อน (บางคนคิดแบบนี้จริง ๆ) จนทำให้พวกเขาต้องผลิตผลงานหรือบางสิ่งที่สบายตามากกว่าออกมาเสพกันเอง บางคนนำความเรียบง่ายมาจากจิตรกรรมนามธรรมแบบเรขาคณิต มุ่งหน้าเข้าหาความเรียบง่าย อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น และตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปเสีย แต่หากพูดถึงมินิมัลในแง่ของแฟชั่น ดีไซน์ หรือการตกแต่งบ้าน สิ่งที่คนไทยจะคุ้นเคยคือมินิมัลแบบญี่ปุ่น อาจเป็นเพราะประเทศไทยอยู่ในทวีปเดียวกับญี่ปุ่น มีความใกล้ชิดรู้จักกับมินิมัลญี่ปุ่นมากกว่ามินิมัลแบบอื่น ๆ และนอกจากญี่ปุ่นที่คนไทยส่วนใหญ่นึกถึง อีกที่ที่หนีไม่พ้นคือความเรียบง่ายแบบสแกนดิเนเวีย ชาวมินิมัลทุกโลกต่างให้ความสำคัญกับวัตถุดิบไม่น้อยไปกว่าสไตล์ พวกเขาจะพยายามเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติที่สะอาดตา มีกรรมวิธีสร้างที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ปราศจากการปรุงต่างมากจนเกินไป ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่พุทธศาสนานิกาย ‘เซน’ ได้รับความนิยมนับถือโดยชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก ใจความสำคัญของนิกายเซนคือการปลูกฝังให้ผู้คนเห็นความสำคัญถึงความเรียบง่าย สามารถนำตัวเองอยู่ร่วมกับธรรมชาติมากกว่าวัตถุ
‘แม้ยากูซ่าคือกลุ่มคนที่มีจำนวนไม่น้อยในสังคมญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นที่มีอาการฮิคิโคโมริ มีมากกว่ายากูซ่าถึง 10 เท่า’ ฮิคิโคโมริ ซินโดรม (Hikikomori Syndrome) หมายถึง ชื่อที่นิยามถึงบุคคลผู้ปฏิเสธการเข้าสังคม เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปใช้ชีวิต ไม่ไปโรงเรียน ไม่ไปทำงาน บางคนจะไม่สุงสิงกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว บางคนหนักข้อถึงขั้นไม่คุยกับใครเลยแม้กระทั่งพ่อแม่พี่น้อง โดยระยะเวลาการตัดขาดที่จะทำให้ถูกนับว่าเป็นฮิคิโคโมริจะเริ่มต้นจาก 6 เดือน จนถึงตลอดชีวิต ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขคาดว่าทั่วประเทศญี่ปุ่น มีคนเป็นฮิริโคโมริมากถึง 1.15 ล้านคน ถือว่าเป็นจำนวนที่มากจนรัฐบาลต้องกลับมาถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ความผิดพลาดอะไรที่ทำให้ชาวญี่ปุ่นนับล้านเลือกปิดกั้นตัวเองออกจากผู้คน ตัวเลข 1.15 ล้านคน คือจำนวนคร่าว ๆ ที่ทางกระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ ทว่า จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องคิโคโมริ ซินโดรม มองว่า ตัวเลขดังกล่าวคือเสี้ยวเดียวของชาวญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญกับอาการนี้ โดยเขาคิดว่าน่าจะมีคนญี่ปุ่นกว่า 2 ล้านคนที่ประสบอาการดังกล่าว และตัวเลขนี้จะพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี จนถึงหลักสิบล้านคน จุดเริ่มต้นของการเกิดอาการฮิคิโคโมริมีหลายสาเหตุด้วยกัน แต่ละคนก็มีเรื่องราวต่างกันออกไปโดยเฉพาะกับความผิดหวังขั้นรุนแรง เด็กบางคนตัดสินใจเลือกเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเพราะผลคะแนนสอบไม่เป็นอย่างหวัง บางคนผิดหวังเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือสะเทือนใจจากการถูกเพื่อนร่วมชั้นรังแก ผู้ใหญ่ที่ตกงานมาเป็นเวลานานบางคนอาจรู้สึกหมดกำลังใจจะใช้ชีวิตต่อ หมดกำลังใจ รู้สึกด้อยค่าในตัวเอง
ซามูไรคือกลุ่มนักรบที่ถูกยกย่องพูดถึงต่อชาวญี่ปุ่นเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเมื่อไหร่เรื่องราวของพวกเขาจะถูกหยิบมาเล่าหรือพูดถึงในวงสนทนาเสมอ แถม UNLOCKMEN ยังได้หยิบยกเรื่องราวของเหล่าซามูไรในหน้าประวัติศาสตร์มาเล่าอยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็น มิยาโมโตะ มูซาชิ , ซามูไรคนสุดท้ายผู้ยิ่งใหญ่ ไซโง ทากาโมริ , มังกรตาเดียว ดาเตะ มาซามูเนะ หรือเรื่องราวของ ซามูไรหญิง โทโมะเอะ โกเซ็น เราก็ได้เล่ามาหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้พูดถึง ซามูไรนักปฏิวัติผู้ล้มล้างอำนาจของโชกุนอย่าง ซากาโมโตะ เรียวมะ เลยสักครั้งจนกระทั่งวันนี้ ซากาโมโตะ เรียวมะ (Sakamoto Ryoma) คือชายที่ถูกคนญี่ปุ่นพูดถึงมากในปี 2010 เมื่อนิตยสาร Japan Time ทำผลสำรวจวัยรุ่นทั้งชายหญิงว่า ‘อยากมีผู้นำที่เหมือนกับบุคคลใดในประวัติศาสตร์’ ซึ่งวัยรุ่นส่วนใหญ่ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากจะมีผู้นำหรือนักการเมืองแบบเรียวมะ ซามูไรที่มีตัวตนจริงช่วงปลายยุคเอโดะ ผู้ใช้ชีวิตโลดโผนและมุ่งมั่นทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ เรียวมะเกิดในปี 1816 แถบจังหวัดโคจิในปัจจุบัน เป็นบุตรชายคนโตจากตระกูลค้าขายสาเกที่ได้ตกลงของซื้อศักดินาเป็นซามูไร การตกลงซื้อขายศักดินาทำให้ครอบครัวซากาโมโตะถือเป็นซามูไรชั้นปลายแถว ไม่มีบทบาทต่อสังคมและการเมืองในระดับใหญ่มากนัก วัยเด็กของเรียวมะค่อนข้างน่าอดสู เขาเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ขี้แย ที่มักถูกเพื่อน ๆ แถวบ้านรังแกอยู่บ่อยครั้ง พี่สาวของเขาจึงบอกกับที่บ้านให้ส่งเรียวมะไปฝึกฝนอยู่ในสำนักดาบแทน พอได้จับดาบ
การปล้นธนาคารหรือปล้นรถขนเงิน คือสิ่งที่เห็นบ่อยครั้งในการ์ตูน วรรณกรรม และภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนญี่ปุ่น บ้างก็สามารถปล้นเงินจำนวนมหาศาลได้สำเร็จเพราะใช้ทีมงานจำนวนมากควบคู่กับการวางแผนรัดกุม แต่ส่วนใหญ่มักจะโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวได้คาที่หรือตามจับกันได้ภายหลัง ทว่าชายหนุ่มคนหนึ่งกลับสร้างวีรกรรมสุดยิ่งใหญ่ที่ตราตรึงชาวญี่ปุ่นยุค 60s ด้วยการปล้นเงินราว 300 ล้านเยน แล้วหนีไปอย่างชิล ๆ โดยไม่มีใครสามารถตามจับได้ เรื่องราวอื้อฉาวแห่งยุคเกิดขึ้นในวันที่ 10 ธันวาคม 1968 ณ มหานครโตเกียว ขณะที่รถขนเงินของธนาคารนิปปอนทรัสต์ (Nippon Trust Bank) สาขาโคกูบุนจิ พนักงานทั้งหมด 4 คน นำเงินสดเต็มคันรถออกจากธนาคาร ขณะที่รถกำลังแล่นอยู่กลางถนน บรรยากาศรอบตัวสงบนิ่งไม่ต่างจากวันอื่น ๆ แต่กลับมีชายคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขี่รถจักรยานยนต์ที่ตำรวจใช้ในเวลาราชการตีขนาบพร้อมบอกให้คนขับรถขนเงินค่อย ๆ ชะลอความเร็ว และอย่าตื่นตระหนกหรือเบรกกะทันหัน สร้างความงุนงงให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคารที่อยู่บนรถเป็นอย่างมาก หลังคนขับตบไฟเลี้ยวนำรถขนเงินจอดเข้าข้างทาง เขาลงมาคุยกับชายที่เขาคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายคล้ายตำรวจได้แจ้งกับพนักงานว่าตัวเองได้รับรายงานว่ารถขนเงินคันนี้ไม่ได้กำลังขนแค่เงินสด แต่ยังขนระเบิดเวลาติดมาด้วย หากเป็นแค่คำพูดลอย ๆ ของคนคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเพียงคนเดียว อาจไม่ทำให้พนักงานทั้ง 4 คน ที่มากับรถขนเงินเชื่อสนิทใจ อย่างไรก็ตาม ชายคนดังกล่าวไม่รอช้าไซโคต่อว่าไม่รู้เหรอว่าก่อนหน้านี้ทางธนาคารนิปปอนทรัสต์ได้รับจดหมายข่มขู่หลายครั้ง ประกอบกับบ้านพักของผู้จัดการธนาคารสาขาที่ขนเงินออกมาก็เคยถูกวางระเบิด ยังไม่ทันได้ทีเวลาให้พินิจพิจารณา อยู่ ๆ
UNLOCKMEN เชื่อว่าหลายคนจะต้องรู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของ อิโตะ จุนจิ (Ito Junji) หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า ‘อิโต้ จุนจิ’ กันสักครั้ง ในตอนนี้เขาได้กลายเป็นนักเขียนมังงะสยองขวัญที่ระดับปรมาจารย์ของญี่ปุ่นไปเสียแล้ว ด้วยลายเส้นละเส้นเรื่องที่อ่านแล้วชวนให้คลื่นเหียน บางครั้งอ่านแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจปนวิตกกังวล เมื่ออิโต้พาผู้อ่านทั้งหลายมาถึงจุดสิ้นสุดของเรื่อง ก็ยังทำให้เราตกตะกอนกับสิ่งที่อ่านได้อย่างไม่ยากเย็น จนพานให้ตั้งคำถามว่า ‘แล้วชายที่ขึ้นชื่อว่าเชี่ยวชาญเรื่องขนหัวลุกแบบนี้ จะมีชีวิตที่โลดโผนแตกต่างจากคนอื่นหรือไม่ ?’ ชีวิตก่อนจะกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง เริ่มต้นจากเดินชายธรรมดาที่เกิดในวันที่ 31 กรกฎาคม 1963 ในจังหวัดกิฟุที่อยู่ระหว่างเมืองหลวงเก่ากับเมืองหลวงใหม่อย่างเกียวโตกับโตเกียว บ้านที่เขาโตมาในวัยเด็กเป็นบ้านขนาดเล็ก ไม่ได้อยู่ท่ามกลางบรรยากาศสวยงาม ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองแต่อยู่ใกล้กับอุโมงค์ใต้ดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น รวมถึงแขกเหรื่ออย่างสารพัดสัตว์ และแมลงไม่พึงประสงค์ หากทุกคนจะเข้าห้องน้ำต้องเดินออกมาจากตัวบ้าน การขับถ่ายในยามค่ำคืนคือสิ่งไม่พึงประสงค์ลำดับต้น ๆ ของเด็กชาย อิโต้ต้องทำธุระในห้องน้ำกับบรรยากาศชวนขนลุก พลางดูฝูงจิ้งหรีดจำนวนมากกระโดดไปมา สักพักก็ต้องใช้ตาคอยมองหาว่าจะมีจิ้งจกหรือสัตว์มีพิษชนิดอื่นที่ไม่ได้รับเชิญหรือไม่ เชื่อเลยว่าห้องน้ำกับบรรยากาศรอบบ้านเป็นอีกส่วนสำคัญที่ผลักดันศักยภาพเรื่องความสยองขวัญให้กับเขา อิโต้เริ่มสนใจงานเขียนและการ์ตูนสยองขวัญจากการที่ดูพวกพี่สาวอ่านผลงานของ คาซึโอะ อุเมะซึ (Kazuo Umezu) และชินอิจิ โคกะ (Shinichi Koga) ที่ในเวลานั้นพวกกลายเป็นนักวาดการ์ตูนสยองขวัญระดับแนวหน้า พอเห็นพวกพี่สาวพูดคุยถกเถียงกันบ่อยเข้า เขาก็เริ่มหยิบนิตยสารการ์ตูนมาอ่านบ้างเพื่อจะได้ตามบทสนทนาทัน พอเริ่มอ่านงานประเภทนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ อิโต้รู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนรู้สึก ซ้ำยังสนุกสนาน มองเห็นมิติหลากหลายที่ซ่อนอยู่ในเนื้อเรื่อง
หากเอ่ยถึงนักแสดงชื่อว่า โอกุริ ชุน (Oguri Shun) หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักหรือนึกไม่ออกว่าชุนที่ว่าหน้าตาเป็นอย่าง แต่พอเอ่ยว่า “คนที่เล่นเป็น ทาคิยะ เก็นจิ” หนุ่ม ๆ สายลุยที่ชื่นชอบหนังชาวแยงกี้ญี่ปุ่นจะต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน เพราะคุณจะต้องเคยเห็นเขาสักครั้งและนึกในใจว่า ‘ไอหมอนี่แม่งเท่ว่ะ’ เหมือนกับเราแน่นอน วันนี้ UNLOCKMEN จะเล่าเรื่องราวแต่ละก้าวกว่าโอกุริ ชุน จะกลายเป็นนักแสดงชายที่ได้รับบทเป็นตัวละครจากการ์ตูนบ่อยที่สุดคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น เขาก็ต้องสั่งสมประสบการณ์ เล่นได้ทุกบทบาทตั้งแต่พระเอก ตัวร้าย แมลงสาบ ต้องรับฟังคำวิจารณ์ร้าย ๆ เก็บเกี่ยวบารมีเรื่อยมาไม่ต่างจากนักแสดงระดับตำนานคนอื่น ทีวีซีรีส์เรื่องแรกในชีวิตของชุนคือเรื่อง Hachidai Shogun Yoshimune (1995) แต่ฝีมือการแสดงของเขาฉายแววกับผลงานเรื่อง ‘GTO คุณครูพันธุ์หายาก’ (GTO: Great Teacher Onizuka ปี 1998) กับบทบาท โยชิกาวะ โบรุ เด็กชายที่ถูกรังแก สะท้อนถึงสังคมด้านมืดในโรงเรียนญี่ปุ่น จากนั้นในปี 2000 เล่นเป็นผู้มีความผิดปกติทางด้านการได้ยิน (หูหนวก) ในเรื่อง Summer Snow ความสามารถด้านการแสดงของเขายอดเยี่ยมไม่น้อยไปกว่าหน้าตาที่ถูกชมเชยอยู่เสมอ