แต่งตัวมอซอไม่ได้แปลว่าจน แต่งตัวดีก็ไม่ได้แปลว่ารวย เรื่องที่สามารถตบตากันได้อย่างนี้อาจทำให้ชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายติดกับดักความใจดี ยื่นเงินให้เพื่อนหรือคนรู้จักที่เดินหน้าเศร้า ชีวิตสีเทามาขอยืมเงินต่อไลฟ์สไตล์รวยของตัวเองก็เป็นได้ แถมเวลาทวงก็ทวงยากสิ้นดี เพื่อให้ไม่ต้องเจ็บตัวและสูญเงินในบัญชีแบบเจ็บใจเพราะคนจนไม่จริง วันนี้เราเอาทริคจับกระแสความรวยจากนักวิทย์ที่เผยวิธีจับความรวยที่แล่บออกมาตีแผ่ ชนิดเงินเขา บัญชีใคร เราก็รู้! แต่งตัวดีแค่ไหนก็บอกอะไรไม่ได้ และสุดท้ายบอกตรงนี้เลยว่า “กูไม่ให้ยืม!” วีรบุรุษที่จับกลิ่นเงินที่จะพาเราออกจากสถานการณ์สุดกระอักกระอ่วนนี้คือเหล่านักวิจัยของ University of Toronto ซึ่งพวกเขาพบว่า มันจะไปยากตรงไหน ความรวยความจนมันแปะอยู่บนหน้านั่นแล้วไง แต่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ลองไปดูกัน เส้นสถานะการเงินบนใบหน้า จะให้พูดก็ดูจะเหมือนการดูโหงวเฮ้งบนใบหน้านั่นแหละ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเหล่าซินแสทั้งหลายเขาใช้วิธีเดียวกันนี้ไหมเวลาทำนายอนาคต แต่ที่แน่ๆ ทั้ง R. Thora Bjornsdottir – นักศึกษาปริญญาโทและ Nicholas O. Rule – ศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยา ที่ทำการวิจัยเรื่องนี้นำรูปภาพ portrait ขาวดำ ของชาย 80 คน และหญิง 80 คนที่มาจากต่างเชื้อชาติ สัญชาติและภูมิหลัง ผิวไม่มีรอยสักหรือตำหนิอะไรให้เป็นที่สังเกตมาใช้ในการวิจัย โดยครึ่งนึงมีรายได้ประมาณ $60,000 หรือประมาณ 1,870,000
ปฏิเสธไม่ได้ว่ามลพิษกับรถยนต์ยังไงก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาเรื่อย เรียกได้ว่าถ้ามีรถมันก็ต้องมีควันพิษมาเป็นเงาตามตัว ธุรกิจที่ต้องวนเวียนอยู่กับรถทั้งหลายเลยพากันออกมาคิดค้นนวัตกรรมกันใหญ่ บ้างก็เป็นรถไฟฟ้าไม่น้ำมัน เครื่องยนต์ที่ทำให้ระบบเผาไหม้ทำงานแบบไม่ปล่อยควันพิษ จะได้รักษ์โลกไปกับความเร็วพร้อมกัน แต่ใครมันจะไปนึกว่าบริษัทผลิตล้อที่เราดูแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะเปลี่ยนอะไรไปได้ตรงไหนเกิดอยากจะสนุกกับเขาด้วยคน ส่งล้อเขียว ๆ มาฟอกควันมันดื้อ ๆ เอาสิวะ ! ก็อยากให้รถมันได้วิ่งในถนน งั้นก็จะทำยางที่ใครก็ต้องร้องขอให้เอารถออกมาวิ่ง Good Year เลยพัฒนาทุบมิติเดิมจากความแม็กซ์สวย เนื้อยางดี มาใส่ไอเดียสร้าง prototype ทำล้อรุ่น Oxygen ออกมาให้แม่งฟอกอากาศได้ด้วยเลย ยางลดโลกร้อนที่เห็นไม่ได้เขียวแค่สี ไม่ได้มีเครื่องฟอกอากาศด้านในใช้เครื่องยนต์อะไร แต่ใส่พืชเขียวตระกูลมอสส์มาปลูกกันในล้อ คลอโรฟิลล์เกาะไปกับรถยังไงก็ได้แดดไว้สังเคราะห์แสงชัวร์ หลักการคือระหว่างล้อหมุนจะดูดเอาความชื้นด้านนอกเข้ามาเลี้ยงมอสส์ พร้อม ๆ ไปกับการดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้านนอกเข้าไปด้วยแล้วก็คายออกซิเจนออกมาตามระบบเดียวกับที่เราเคยเรียนเรื่องการสังเคราะห์แสงพืช แต่แค่จับต้นไม้ไปไว้ในล้ออย่างเดียวมันยังคูลพอ เขาเลยใส่ระบบเซ็นเซอร์กับ AI สร้างเทคโนโลยี V2X technology เข้าไปออกแบบร่วมเชื่อมโยงกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืชดึงกระแสไฟฟ้ามาจ่ายเพิ่มระบบไฟให้ล้อเท่ส่องสว่างได้ด้วยวงไฟ LED รอบล้อยามค่ำคืนขณะเปลี่ยนเลนด้วย รถข้าง ๆ หรือคนตามทางเท้าจะได้มองเห็นเราได้ง่ายขึ้น นวัตกรรมล้อแห่งอนาคตที่หวังจะฟอกอากาศนี้ ทาง good year เขาคำนวณไว้ว่าอยากจะให้มีใช้กันในเมืองใหญ่ทั่วโลก อย่างน้อยที่สุดที่คาดการณ์ไว้คือ ถ้ารถทุกคันในปารีสมียางเหล่านี้ก็จะกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงประมาณ 4,000 ตันในแต่ละปี เหมือนการทำให้รถที่เคยวิ่งหายไป 4,500
UNLOCKMEN สายกระหายเหล้าบ๊วยยกมือขึ้น ! เห็นมือที่ยกกันบางเบา เราก็พอรู้ว่าในหมู่ผู้ชายส่วนใหญ่ มักไม่กระแทกปากกันด้วยแอลกอฮอล์รสชาติติดหวานและนิยมความคมเข้มฉบับ ON THE ROCK ของ Whisky หรือ Single Malt มากกว่า ถึงอย่างนั้นก็อย่าได้ประมาทว่าร้านเหล้าบ๊วยจะรองบ่อนหรือมองเมินไปเป็นอันขาด เพราะการมีร้านบาร์เหล้าบ๊วยสักแห่งติดลิสต์ไว้ก็เป็นแต้มต่อสำหรับผู้ชายที่อยากเปลี่ยนรสชาติการจิบทบทวนอารมณ์สไตล์สายชิล และเป็นปลายทางสุดโรมานซ์ไว้สำหรับพาคนรู้ใจมาด้วย จึงเป็นเหตุให้เราต้องดั้นด้นมาตั้งหน้าตั้งตามาเยือนที่นี่ เราบุกสำรวจร้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้าด้วยความรีบ ก่อนแสงสุดท้ายของวันจะย้อมที่นี่ให้กลายเป็นสีชมพูนีออนจากฝีมือของสองสาวเจ้าของร้าน พิมพ์-ชโลชา นิลธรรมชาติ กับเพื่อนสนิทอย่าง เหมียว-ปิยาภา วิเชียรสาร ที่บรรจงหยิบและจัดวางทุกสิ่งให้เข้าที่ทาง ป้ายกระดาษปะติดหลังบาร์ ตามกำแพง และแสงไฟโลโก้หน้าร้านเปิดสว่างขึ้น ทั้งหมดเต็มไปด้วยข้อความและภาพที่ระบุให้เรายกนิ้วชี้จรดริมฝีปากตาม “จุ๊ ๆ อย่าเสียงดังนะ” ทำเอาเราแปลกใจจนแทนที่จะเริ่มสั่งเครื่องดื่มอย่างที่เคย หันมากระซิบคุยกับพวกเธอกันก่อน SHUU SHUU’s hidden story คุยไปคุยมาได้ความว่า ร้าน SHUU SHUU เกิดจากความถูกคอของ 2 สาวที่รู้จักกันเนื่องจากเปิดร้านในละแวกเดียวกัน ตั้งวงดื่มด้วยกันมาก็หลายประเภทแต่ลงตัวพอดิบพอดีที่การดื่มเหล้าบ๊วย เพราะดื่มง่ายเพลินลิ้นและไม่หนักจนเกินไปเลยจับมือกันมาเปิดร้าน ส่วนเหตุผลของความเงียบที่เตรียมมาเตือนสายดื่มอย่างที่เราสังเกตเห็นตามจุดต่าง ๆ ของร้าน ก็เพราะด้านบนของร้านเป็นที่พัก บวกกับสถานที่แห่งนี้เป็นย่านชุมชน การถ้อยทีถ้อยอาศัยจิบและคุยกันแบบสงบเคล้าเสียงเพลงเบา ๆ เลยเป็นเสน่ห์ของร้านแห่งนี้ อีกสิ่งที่ถือเป็นเรื่องยูนีคที่ชาว UNLOCKMEN
ไม่มีใครที่ต้องการให้งานล่ามขาตลอดเวลา เพื่อน ๆ ชาว UNLOCKMEN ส่วนใหญ่เองก็คิดว่าการผูกชีวิตกว่า 8 ชั่วโมงไว้ในออฟฟิศมันไร้อิสรภาพและไร้สาระสิ้นดี เราเองก็เห็นด้วยเพราะมันมีการบริหารเวลาที่ได้ผลและได้งานมากกว่าอย่างที่เราเคยบอกไว้ แต่นั่นมันเป็นปัญหาเฉพาะเรื่องเวลา อย่าเพิ่งเอามันมาเหมารวมกับการปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงานขวัญใจมหาชนของคนยุคนี้ตามคำยอดฮิตว่า “ทำงานที่ไหนก็ได้” หรือการไม่เข้าออฟฟิศแล้วทำงานจากที่บ้านนั่นล่ะ เพราะแม้จะมีคนออกมาบอกข้อดีจำนวนมหาศาล อย่างการแอบงีบเพิ่มพลังตอนไหนก็ได้ เลือกเวลาทำงานได้ ไม่ต้องเดินทาง ลดความเครียด ฯลฯ แต่ความจริงมันอาจเป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลด้านเดียว เพราะนักวิจัยจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศองค์การสหประชาชาติ (UN’s International Labour Organisation) เขาออกมาเผยผลวิจัยแล้วว่าด้านเสียของมันก็มีนะนาย “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” น่าจะเป็นคำอธิบายได้ดีที่สุด เพราะด้านเสียที่ ILO ออกมาบอกมันคือ “การนอนไม่หลับและการเพิ่มระดับความเครียด” หรือไอ้สิ่งที่พวกเราเพิ่งบอกไปว่าจะทำเพื่อหนีมันทุกวิถีทาง โดยได้จากผลจากศึกษาจากพฤติกรรมของมนุษย์ทำงานที่บ้าน 15 ประเทศ ได้แก่ สหราชอาณาจักร, เบลเยี่ยม, ฝรั่งเศส, ฟินแลนด์, เยอรมนี, ฮังการี, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน, สวีเดน, อาเจนตินา, บราซิล, อินเดีย, ญี่ปุ่น และอเมริกา แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
ไม่ว่าใครก็มีดนตรีในหัวใจ แต่แค่เสียงเพลงจากลำโพงธรรรมดาคงไม่พอฉายความเจ๋งทั้งหมดของพวกเราชาว UNLOCKMEN ได้ ดังนั้น UNLOCKMEN ขอแนะนำ gadget คืนบรรยากาศความเป็นชายสุดห้าว เลือดพุ่งพล่าน ผ่านลำโพงหน้าตาถึกทน ทรงพลัง คลาสสิกเหลือล้นกับสีเขียว military เคลือบกล่องโลหะที่ผู้ชายอย่างเราคุ้นตาอย่าง “กล่องกระสุน” ! อย่างที่พวกเราเหล่าผู้ชายพอจะรู้อยู่แล้วว่าคุณสมบัติของกล่องกระสุน มันต้องถึกทน กันท้ังน้ำและสนิม คล่องตัวพอให้ถือให้ไปวางได้ทุกสภาพผิว Thodio เขาเห็นข้อดีจุดนี้เลยหยิบเอากล่องใส่กระสุน .50 เดิม ๆ มาโมใหม่เป็นลำโพงไร้สาย “THODIO .50 CAL AMMO CAN BOOMBOX” เชื่อมต่อผ่านบลูทูธ เปิดแล้วให้เสียงคมเด็ดกริ๊บเกินไซส์ตัว อยากจะจัดปาร์ตี้ที่ไหน นอนกลางดิน กินกลางทราย ดิบริมสนามหญ้าหรืออยู่ท่ามกลางฝนก็ยังรอด กระทั่งต่อให้ใช้ในตัวบ้านก็ไม่หมองลบลายความเท่ คูลไปได้ จะเทสลำโพงทั้งทีลอง Recap เสียงสักหน่อยว่าสมราคาไหม การันตีหน้าตาไม่พอ ยังเต็มรูปแบบกับการคราฟต์อุปกรณ์ข้างในจาก Amsterdam ด้วยลำโพงขนาดกะทัดรัด 11.8 x 6.1 x 7.7 นิ้ว น้ำหนักประมาณ
ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เราสังเกตได้ว่าสีเขียวกลายเป็นเฉดที่หายไปจากพื้นที่ใกล้ตัว และการหยอดสีเขียวเข้าไปในไลฟ์สไตล์กลายเป็นเทรนด์น่าสนใจสำหรับคนยุคนี้ ดังนั้น เพื่อให้ชาว UNLOCKMEN ก้าวสู่การเป็นผู้ชายสีเขียวหรือผู้ชายสายอีโค รักษ์ธรรมชาติอย่างเต็มสูบไม่ตกขบวน เราจึงสรรหาแอปพลิเคชันที่จะเข้ามาช่วยให้คุณไม่เพียงมีสีเขียวในหัวใจ แต่สามารถจัดเตรียมพื้นที่ข้าง ๆ ให้พร้อมเป็นสีเขียวฉบับ PLANT LIFE BALANCE ได้เป็นอย่างดีด้วยปลายนิ้วจาก 3 แอปพลิเคชันและ 1 อุปกรณ์ต่อไปนี้ ดูฮวงจุ้ยให้ต้นไม้ หน้าแม่น้ำ หลังภูเขา ซินแสคนไหนก็บอกว่าดี แต่เราว่าแค่ความเชื่อตำแหน่งการวางต้นไม้ตามใจซินแสอาจจะยังไม่พอกับบุรุษรักษ์โลกอย่างเรา ถ้าอยากให้ถูกใจกันทั้งเจ้าของห้องและซินแสควรต้องมีแอปฯ “Plant life balance” ชื่อเดียวกับบทความนี้ไปใช้คู่กันเพื่อจำลองห้องจริง ๆ ของเราเวลาใส่ต้นไม้เข้าไปด้วย นอกจากแง่การเปลี่ยน Man Cave ของเราให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นแล้ว ข้อดีอีกอย่างของการสร้างพื้นที่สีเขียวคือเรื่องของการฟอกอากาศในห้องให้มีคุณภาพขึ้น เพราะว่ากันว่า ต้นไม้หนึ่งต้นสามารถปรับสภาพอากาศในห้องให้มีคุณภาพขึ้นถึง 25 % ด้วย สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นและพอจะมีต้นไม้อยู่บ้างในห้องแต่ไม่รู้ว่าพอไหมก็ลองประเมินเรตวัดระดับความเขียวในห้องได้ว่าอยู่ในระดับไหน ดีพอหรือยัง ? จากการถ่ายรูปเพื่อให้แอปฯ คำนวณ ถ้าพอใจแล้วก็แค่ดูแลต่อให้ดี แต่ถ้าอยากจะใส่เพิ่มอีกก็เลือกดูได้ไม่เสียหาย DOWNLOAD สืบพันธ์ุ(พืช) หลังจากที่รู้แล้วว่าเราควรต้องมีต้นไม้ประดับห้องไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือบ้านไว้สักต้น ขั้นต่อไปเราเรียกว่าการสืบพันธุ์(พืช) เพราะบางทีพวกเราเดินเที่ยวข้างนอกก็บังเอิญไปเจอต้นโน้นต้นนี้ที่หน้าตาเข้าเค้า
“ความสุขมันซื้อด้วยเงินไม่ได้หรอก” มีคนเคยพูดคำนี้ไว้เล่นทำเอาชาว UNLOCKMEN ที่ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินเลิกทะเยอทะยานเก็บ ถอดใจไปใช้ชีวิตเอื่อยเฉื่อยสโลว์ไลฟ์ไหลไปเรื่อย ไม่สนเรื่องเงินแล้ว แต่นั่นอาจจะเป็นการเข้าใจผิด เพราะเราเชื่อว่าคนที่มองว่าเงินไม่ใช่สารัตถะของชีวิตก็ยังเคยใช้ซื้อความสุขใน 4 ข้อด้านล่างนี้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ที่สำคัญนักวิจัยเขาออกมานั่งยัน นอนยัน ยืนยัน! ขอให้จ่ายให้ถูกกับ 4 เรื่องนี้ยังไงก็ไม่มีผิดหวัง 1. เปย์เงินซื้อเวลา ผลการศึกษาจากชาวอเมริกันกว่า 4,400 คนออกมาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “เวลานี่แหละสร้างสุข! และเงินก็ซื้อเวลาได้นะยูวววว !” คนที่ใช้เงินเป็นส่วนใหญ่เขาเลยยอมใช้มันเพื่อซื้อเวลากลับมาจากเรื่องจุกจิก พิสูจน์แล้วว่าลงทุนไปสุขภาพจิตจะดีกว่าคนขี้เสียดาย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นการสั่งอาหารจากไลน์แมน จ้างแม่บ้าน จ้างเลขา จ้างอะไรก็จ้าง แล้วเอาเวลาที่ต้องเสียไปกับไปกับสิ่งเหล่านี้นอนชิลล์ทำอย่างอื่น คุ้มมาก! 2. เปย์กับประสบการณ์ชั้นยอด ถึง “สิ่งของ” จะอยู่ได้นานกว่า “ประสบการณ์” เพราะสสารไม่หายไป แต่นักจิตวิทยาเขาออกมายืนยันว่ามันใช้ไม่ได้กับเรื่องของการซื้อความสุข แรก ๆ อาจจะใช่ แต่พอนานเข้าเราก็ไม่คิดแบบนี้แล้ว เพราะจากตอนแรกที่เรามีความสุขกับการเป็นเจ้าของแต่พอเคยชินกับการมีมันทุกวันความสุขจะเริ่มจางหายไป นั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้พวกเราขยันปรับเปลี่ยน gadget ไปเรื่อย ๆ ทั้งที่มันยังคงใช้ได้อยู่ กลับกันประสบการณ์ที่เราไปพบเจอถึงจะจับต้องไม่ได้ หากพอนานวันเข้าเราจะระลึกถึงมันบ่อย ๆ
ถ้าพูดถึงคำว่า “อีสาน” สำหรับผู้บ่าวเมืองหรือคนนอกพื้นที่อาจมองภาพไม่ค่อยออก นอกจากจะเข้าใจว่าเป็น ถิ่นเศรษฐกิจ ยินเสียงแคน แดนส้มตำ และเป็นพื้นที่แห้งแล้งตามที่หน้าบทเรียนบอกไว้ ทั้งที่ในความจริงอีสานมีมากกว่านั้นเยอะ โดยเฉพาะความเข้มข้นทางอุดมการณ์ งานศิลป์ กับวัฒนธรรมแสบ ๆ คัน ๆ เรื่องเพศที่เอามาตีแผ่ผ่านประเพณี เรียกได้ว่าความทะเล้นขี้เล่นเลยไม่เป็นรองใครเหมาะกับผู้บ่าว UNLOCKMEN ที่มีศิลปะความแสบมันส์ ลึก น่าสนใจ ชอบการแสดงความคิดเห็นและมีอารมณ์ดีเป็นที่ตั้งจะได้ไป challenge ประสบการณ์ใหม่ช่วงวันหยุด โดยสามารถเบิ่งเต็มตาได้ที่นิทรรศการ “อีสานสามัญ” นิทรรศการหมุนเวียนที่จัดขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ ภายในห้องนิทรรศการหลักชั้น 9 ของหอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ได้ ส่วนใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ลองดูภาพที่เราไปเก็บมาฝากเพื่อเรียกน้ำย่อยกันก่อน พุ่งตรงเข้าตะวันออกเฉียงเหนือที่ชั้น 9 เดินขึ้นบันไดเวียนมาตามทาง สิ่งที่เจอจะมีงานศิลปะหลายประเภท ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย Installation แล้ววิดีทัศน์ให้เราเดินไปได้ตลอดรายการไม่เบื่อ ที่สำคัญงานไม่ได้ลึกหรือ Abstact เกินกว่าจะเข้าใจ แต่สามารถนั่งมองและอ่านมันได้ยาวๆ หลายนาที ดินแตกบนผืนผ้าใบแลกเรื่องเล่าชาวอีสาน ภาพแม่เฒ่า พ่อเฒ่า บนผืนผ้าใบที่จัดเรียงตามแนวกำแพงด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ความรู้สึกถูกจับเล่ากับสีโทนน้ำตาลที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความระอุขอแดนอีสาน ขัดกับแอร์คอนดิชั่นเย็น ๆ ที่กำลังงานได้เป็นอย่างดี ถ้าบอกว่ามันต่างจากภาพวาดของศิลปินคนอื่น ๆ
“สบายมากครับ” เป็นคำพูดที่บรรดาชายชาตรีมาดแมนอย่างเรามักจะใช้บอกคนรอบข้างบ่อย ๆ เวลามีปัญหา หลายครั้งก็เป็นการหลอกตัวเองว่าเราสบายดี ยิ่งกับเรื่องอารมณ์ด้วยแล้ว ภาวะผู้นำของเราเหมือนถูกกำหนดมาให้ต้อง Keep Calm อยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ในใจบางทีก็เดือด เหงา เศร้า เหมือนคนอื่น ๆ จนสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีสติที่มีก็ขาดผึงไปจนอาการย่ำแย่ เพื่อกอบกู้อารมณ์ที่เก็บไว้ข้างในให้ใสสะอาดไม่ขุ่นมัว มันเลยมีนวัตกรรมชิ้นนี้ขึ้นมา เรียกว่า “ชุดปฐมพยาบาลอารมณ์” ไว้ใช้เป็นอุปกรณ์สามัญประจำบ้านติดตัวไว้อีกกล่องเพิ่มจากพวกกล่องยาแดง แอลกอฮอล์ หรือสำลี ที่ต้องมีรักษาแผลสด โดยเกิดจากการตั้งคำถามของ Rui Sun ดีไซน์เนอร์ที่ตั้งคำถามว่าทำไมโลกใบนี้มันถึงผลิตแต่โปรดักส์รักษาแผลกายไม่ยอมเหลียวแลแผลใจกันบ้าง “Why do so many products ease physical pain and so few treat emotional stress?” – Rui Sun เปิดกล่อง หยิบใช้ เพื่อให้ครอบคลุมเรื่องเครียด ข้างในกล่องปฐมพยาบาลอารมณ์จะมีของให้เราได้ใช้อยู่ 5 ชิ้น จากการสำรวจคร่าว ๆ
คนทั้งโลกร่วมช็อกเมื่อ The Guadian ออกมาบอกเรื่องชวนสลดจากการจากไปของคนดังระดับตำนานอย่าง “Stephen Hawking” ในวัย 76 ปี ชายที่ใครก็บอกว่าเขาคือ “ไอน์สไตน์” คนที่สองในฐานะชายผู้เข้าใกล้ความเป็นพระเจ้ากับการตอบคำถามจักรวาลด้วย “ทฤษฎีสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง’ (Theory of Everything)” ที่เขาค้นพบและอาจด้วยความบังเอิญหรือพระเจ้าเข้ามาเล่นตลกกับเรื่องนี้เมื่อวันของการดับดาวสายฟิสิกส์ดันเป็นวันเกิดของชายรุ่นพี่สติเฟื่องอย่าง ไอสไตน์ เช่นกัน second ไอสไตน์ผู้โชคร้าย “Stephen Hawking” (1942 – 2018) เป็นดาวเด่นวงการวิทยาศาสตร์ที่เกิดช่วงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แบคกราวน์ทางครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยนัก มีพ่อทำงานด้านการแพทย์และหวังจะผลักดันเขาไปทางนั้น แต่สุดท้ายแล้ววิทยาศาสตร์ อวกาศ และประกายดวงตาเมื่อมองดาวหลังบ้านก็ทำให้พ่อเปลี่ยนใจส่งเขาไปเรียนวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นสายที่ชอบมากกว่า และลงเอยด้วยการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Oxford ส่วนตัวเขาชื่นชอบการเรียนเลข แต่เมื่อไม่มีให้แยกเรียน ทางสายใหม่ของเขาจึงวิ่งไปทางฟิสิกส์และจักรวาลวิทยา สำหรับภาพของ Hawking บนรถเข็นแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงที่เขาอายุ 21 เมื่อตรวจพบว่าเขาเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือ ALS ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตทั้งการขยับเดินเหินอย่างใจและคำพูด แม้โลกจะเหวี่ยงเขาไปเจอกับด้านมืดที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถเข็นแต่เขาก็สามารถเหวี่ยงตัวเองออกมาจากความมืดด้วยการเดินหน้าค้นพบทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจักรวาลมากมาย ที่สำคัญคือเรื่องงานวิจัย “หลุมดำ” ปริศนาบนท้องฟ้าที่เขาสามารถไขมันได้กระจ่างจนได้รับคำชื่นชมและยอมรับจากคนทั้งโลก ใครที่อยากรู้เรื่องดีเทลความยิ่งใหญ่ของชีวิตชายคนนี้ ลองไปหาดู documentary ฉบับ movie