ใกล้จะเปิดตัวเต็มทีแล้ว สำหรับรถยนต์ทรง Compact Crossover จากแดนเกาหลีใต้ ที่สามารถทำผลงานได้ดีจนเป็นที่นิยมไปทั่วโลก นี่คือ 2020 Hyundai Tucson คู่แข่งตัวสำคัญใน category ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน สามารถต่อกรกับ Honda CR-V, Toyota RAV4 ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ 2020 Hyundai Tucson generation ใหม่ มีจุดเด่นที่เน้นย้ำเรื่องความทันสมัยที่พร้อมจะลุยไปได้ทุกที่ ซึ่งเป็นจุดขายที่รถตระกูลลุยยังไม่มีใครนำไปครอบครอง ใน generation นี้ Tucson ได้พัฒนามาใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ดีไซน์ภายนอก ภายใน ขุมพลัง ระบบขับเคลื่อนที่มีให้เลือกหลากหลาย หรือแม้แต่วัตถุดิบที่ล้ำสมัย การดีไซน์ด้านนอกของ 2020 Hyundai Tucson ทำได้อย่างยอดเยี่ยมจนดูเหมือนกับรถเวอร์ชั่น Prototype แต่นี่คือรถที่พร้อมเข้าสู่สายการผลิต โคมไฟหน้าที่รวมเข้ากับกระจังหน้าอย่างแนบเนียนลงตัว ซึ่ง Hyundai เรียกมันว่า “Kinetic Jewel Surfacing” ให้อารมณ์ทันสมัยและเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากค่ายอื่น ส่วนไฟท้ายแบบ quad LED 4 ชิ้นเชื่อมต่อกับไฟท้ายเส้นที่ลากยาวต่อเนื่องตามเทรนด์สมัยใหม่
จะมีอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดได้ดีไปกว่าการได้พักผ่อนกลางแจ้งท่ามกลางบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม ออกไปสูดอากาศสดชื่นสักหน่อย เพลิดเพลินกับพื้นที่โล่งกว้าง และดื่มด่ำไปกับธรรมชาติอย่างเต็มที่ ซึ่งผลการสำรวจของ Booking.com เผยว่าทริปที่ทำให้ผู้เดินทางได้กลับไปใกล้ชิดกับธรรมชาติอีกครั้งเป็นทริปที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 เมื่อสามารถออกเดินทางได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง* พักสายตาจากภาพอันคุ้นตาผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม มาเป็นทิวทัศน์อันงดงามของหมู่ดาวในท้องฟ้ายามราตรี และถือโอกาสเชื่อมสัมพันธ์อีกครั้งกับคนที่คุณรัก สัมผัสอากาศรอบตัวที่สดชื่น และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการให้เวลากับตัวเองได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ลืมภาพการพักในเต็นท์บนโคลนเปียก ๆ ต้องคอยกังวลเวลาฝนตก หรือการเดินทางไปตั้งแคมป์บนพื้นที่ห่างไกลไปได้เลย เพราะเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้วงการแคมป์ปิ้งได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นำเสนอประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เข้าพักได้ใกล้ชิดธรรมชาติในเต็นท์ที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และหากใครยังไม่รู้จะหาที่พักเพื่อออกแคมปิ้งได้จากไหนล่ะก็ Booking.com ได้ค้นหาตัวเลือกที่พักที่มีอยู่กว่า 29 ล้านรายการ รวมถึงที่พักประเภทแคมป์ แกลมปิ้งสุดหรู ที่พักสไตล์เต็นท์ และหมู่บ้านพักตากอากาศที่มีเกือบ 2 ล้านรายการ เพื่อแนะนำที่พักแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ให้ผู้เดินทางได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง ในระหว่างที่พักผ่อนและคลายความเครียดไปกับประสบการณ์ตั้งแคมป์ที่ยอดเยี่ยม Lala Mukha Tented Resort Khao Yai Lala Mukha Tented Resort เต็นท์รีสอร์ททางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติ เพราะถูกโอบล้อมไปด้วยทิวเขาสุดตระการตา และเพื่อให้ผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่โอบล้อมได้ดียิ่งขึ้น ที่พักได้นำเสนอสระว่ายน้ำกลางแจ้งและเต็นท์ที่ได้รับการตกแต่งอย่างดี มาพร้อมอุปกรณ์ครบครันเหมาะสำหรับผู้มาตั้งแคมป์ครั้งแรก ให้ผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง นอกจากนั้นผู้เข้าพักยังสามารถเพลิดเพลินไปกับการทำบาร์บีคิวหรือทำอาหารในเวลาว่าง หลังจากใช้เวลาเอกเขนกไปกับคาเฟ่ภายในที่พัก
โลกของแฟชั่นกับการเมือง เป็นสองสิ่งที่อยู่คู่ขนานและเกี่ยวข้องกันมาโดยตลอด เสื้อผ้าแฟชั่นมักจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือแสดงด้านมุมมองทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการ Direct message อย่างข้อความบนเสื้อ แต่สำหรับกางเกงของ Patagonia แบรนด์ที่มีจุดยืนด้านสิ่งแวดล้อม ก็เลือกที่จะแสดงออกแบบ easter egg แต่ก็ไม่พลาดสายตาประชาชนไปได้ ด้วยการสกรีนข้อความ “Vote the Assholes Out” ก่อนหน้ามีชาว Tweeter โพสต์รูปว่าป้าย label ของกางเกง Patagonia พร้อมข้อความที่ระบุชัดเจนอย่างตั้งใจว่า “Vote the Assholes Out” ซึ่งทางแบรนด์ได้ออกมายืนยันว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจโจมตีนักการเมืองของ Donal Trumps ที่ไม่สนใจปัญหา Climate Change และมีแต่นโยบายทำลายธรรมชาติเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น Brad Wieners, Patagonia director of copy, ออกมายืนยันว่าป้ายและข้อความนั้นจะมีอยู่ในกางเกงรุ่น Regenerative Organic Stand-Up Shorts ทุกตัว ซึ่งเป็นกางเกงรุ่นคลาสสิคที่ผลิตตั้งแต่ปี 1973 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและสัญลักษณ์ที่แบรนด์ก่อตั้งเพื่อช่วยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคำว่า “Vote
หากจะให้พูดถึงสนามแข่งที่โหดและหินที่สุด ในการแข่งขันประชันความเร็ว เพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักขับที่สามารถพิชิตสภาวะแวดล้อมสุดอันตรายได้นั้น ทุกคนจะนึกการแข่งขันแบบไหนกันบ้าง ? แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น จะต้องเป็นกีฬารถแข่งที่จะทำให้คุณหัวใจเต้นแรงและตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งกีฬาที่เราหมายถึงก็คือ การแข่งรถทางฝุ่น หรือ การแข่งขันแรลลี่ (Rally) นั่นเอง โดยกีฬาประเภทนี้นับเป็นการแข่งรถที่ “โคตร” จะเร้าใจ ไม่ต่างกับดูหนังแอคชันเลย ด้วยสนามแข่งที่ขรุขระ เต็มไปด้วยอุปสรรคที่คาดเดาไม่ได้มากมาย ทุกการวิ่งคือสภาพพื้นฝุ่นและเศษหินที่เปลี่ยนแปลงไปเสมอ การเพ่งสมาธิไปข้างหน้าพร้อมฟังเพื่อนร่วมทีมบอกองศาการเลี้ยวอีกสามสี่โค้งข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รวมทั้งสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการแข่งรถอย่างมาก และทั้งหมดที่ว่าไปนั้น เป็น “เสน่ห์” ที่ทำให้การแข่งรถแรลลี่เป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก โดยมียอดผู้ชมจากทั่วทุกสารทิศที่ดูผ่านหน้าจอมากกว่า 700 ล้านคนเลยทีเดียว! ซึ่งกว่าจะผ่านไปสู่ลีกสูงสุด ต้องผ่านการคัดเลือกเพื่อไปสู่ WRC-3, WRC-2 และ WRC ซึ่งเส้นทางกว่าจะไปถึงนั้น ยากลำบากไม่แพ้พื้นถนนฝุ่นที่ด้านข้างคือหน้าผาและร่องหลุมสารพัด การเสียสมาธิแม้เพียงเสี้ยววินาทีบนสนาม Rally อาจหมายถึงความเป็นความตายได้ แต่น่าแปลกว่าทำไม การแข่งขันแรลลี่ที่น่าตื่นเต้นนี้กลับไม่เป็นที่พูดถึงมากนักในประเทศไทย หรือถ้ามี ก็อยู่ในกลุ่มคนหมู่น้อยมาก ๆ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากอันตรายที่ทำให้นักขับไทยมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับการแข่งขันความเร็วทางเรียบ และเพราะความนิยมที่น้อยนิดนี้เอง ทำให้คนไทยหลายคนต้องพลาดโอกาสในการก้าวไปสู่ระดับโลก เพียงเพราะไม่มีสปอนเซอร์สนับสนุนพวกเขา ทั้งที่การแข่งขันระดับโลกแบบนี้ สามารถทำชื่อเสียงและดึงเงินเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล
Christopher Wallace หรือชื่อที่โลกรู้จักในฐานะ rapper ‘Notorious BIG’ ‘Biggie Smalls’ ‘ Biggie’ แต่ไม่ว่าจะเป็น aka ไหนก็ตาม คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเค้าคือ King of New York rapper มาโดยตลอด แม้จะถูกลอบยิงเสียชีวิตไปตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม 1997 วันที่ East Coast vs West Coast rap เหลือไว้เพียงตำนานตลอดกาล ก่อนหน้าวันเสียชีวิต Biggie Smalls มี Photo session เพื่อถ่ายรูปโปรโมตอัลบั้มใหม่ของเค้า มันคือภาพที่ Biggie สวมมงกุฎสีทองอยู่บนศีรษะที่พวกเรารู้จักกันดี ซึ่งมงกุฎนั้นถูกเรียกว่า K.N.O.Y. Crown (ย่อจาก King of New York) วันที่ 6 มีนาคม 1997, Biggie
adidas Originals x Prada ผลงานล่าสุดภายใต้โปรเจกต์ร่วมกันอย่างเป็นทางการ บนรองเท้า PRADA SUPERSTAR ถ่ายทอดความงามเหนือกาลเวลา ความคลาสสิคสุดอมตะ อันแฝงไว้ด้วยเอกลักษณ์ที่ร่วมสมัย นับเป็นการตอกย้ำภาพความตั้งใจของการร่วมงานระหว่างผู้นำวงการสตรีทแฟชั่นและแบรนด์ลักชัวรี่แถวหน้าของโลกอีกครั้ง โดยรองเท้าทรงไอคอนิกรุ่น Superstar นำเสนอผ่าน 3 สีด้วยกัน ประกอบไปด้วย สีดำล้วน สีขาว-ดำ และสีเงิน-ขาว ถือเป็นการเฉลิมฉลองทศวรรษใหม่ในมุมมองใหม่ผ่านโปรเจกต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ โปรเจกต์ร่วมระหว่าง adidas และ Prada นั้นได้เน้นย้ำถึงแง่มุมที่มีความคล้ายคลึงกันของทั้งสองแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น ความเคารพและยึดถือต่อประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแบรนด์ หรือความหลงใหลในกีฬา ขณะเดียวกัน หัวใจหลักของ PRADA SUPERSTAR คู่นี้คืองานฝีมือสุดประณีต ซึ่งเบื้องหลังการผลิตนั้นเต็มไปด้วยความพิเศษ รองเท้าทุกคู่ล้วนตัดเย็บอย่างพิถีพิถันโดยช่างผู้เชี่ยวชาญทางด้านรองเท้าของ Prada แทรกซึมมิติความเป็นลักชัวรี่ให้แก่โมเดลรองเท้าสุดคลาสสิก ให้มีความโดดเด่น สะดุดตา และสร้างปรากฏการณ์นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรก PRADA SUPERSTAR โดดเด่นด้วยวัสดุหนังแท้ที่ตัดเย็บออกมาในรูปทรงดั้งเดิม บ่งบอกความเป็น Prada ด้วยสัญลักษณ์ Made in Italy บริเวณด้านข้างรองเท้า และปั๊มโลโก้ Prada คู่กับ
Incase (อินเคส) แบรนด์กระเป๋าและแกดเจ็ตชั้นนำระดับโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่โดดเด่นในการออกแบบกระเป๋าเพื่อเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ ร่วมมือกับ BIONIC® (ไบโอนิค) แบรนด์ที่มีจุดประสงค์ในการลดขยะและเป็นมิตรกับธรรมชาติ โดยทั้งอินเคสและไบโอนิคร่วมกันเปลี่ยนพลาสติกในท้องทะเลอันเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมให้กลายมาเป็นกระเป๋าคอลเลคชั่นสุดพิเศษที่อยากจะช่วยดูแลโลกใบนี้อย่างยั่งยืน อินเคสมองเห็นความสำคัญและตั้งมั่นที่จะเป็นแบรนด์ที่เป็นมิตรสิ่งแวดล้อมมาอย่างยาวนาน คอลเลคชั่นสำคัญที่อินเคสออกแบบเพื่อประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมและดีต่อสิ่งแวดล้อมตัวอย่างเช่น Ecoya ช่วยลดการใช้น้ำและลดการปล่อยมลพิษที่ออกมาตั้งแต่ปี 2012 หรือคอลเลคชั่นล่าสุดอย่าง ecoNEUE ที่ทางอินเคสปลูกต้นไม้ทดแทน 2 ต้นทุกการตัด 1 ต้นซึ่งได้รับการรับรองว่าเป็น FSC- certified จาก Forest Stewardship Council ถือเป็นวัสดุที่ได้รับมาตรฐานทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด พลาสติก 91% ไม่สามารถรีไซเคิลได้และถูกทิ้งลงสู่ทะเลมากกว่า 8 ล้านตันทุกปี จนกระทั่งมีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 จะมีจำนวนขยะมากกว่าจำนวนปลาในมหาสมุทรเสียอีก นี่เป็นสัญญาณเตือนที่ทำให้ทีมอินเคสตัดสินใจร่วมมือกับไบโอนิคซึ่งใช้เวลายาวนานกว่าสองปีในการออกแบบและสรรสร้างภารกิจเปลี่ยนพลาสติกในทะเลให้กลายเป็นคอลเลคชั่นกระเป๋า 3 ใบสุดพิเศษในสี earth tone ให้เลือกระหว่างสีเขียวน้ำทะเล (Ocean Green) หรือสีเทาเหล็ก (Steel Grey) Bionic® Compact Sleeve กระเป๋าสำหรับใส่แล็ปท็อปสองขนาด 13 นิ้ว และ 16 นิ้ว
Ducati Scrambler มอเตอร์ไซค์ที่ใส่ยางบั้งมาพร้อมความคล่องตัว เป็นภาพที่อยู่คู่โลกใบนี้มากว่า 60 ปี แต่วันนี้เราจะพบเห็น Ducati Scrambler ได้ใน 2 เวอร์ชั่นที่เล็กและรักษ์โลกมากกว่า ด้วยจักรยานไฟฟ้า Ducati Urban-E และ SCR-E (Scrambler) Electric Bicycle ผลงาน Electric Bicycle ทั้งหมดนี้เป็นโปรเจคที่ Ducati ร่วมมือกับ Italdesign พัฒนา 2 โมเดลจักรยานไฟฟ้าสำหรับรองรับสองการใช้งานที่ต่างกัน โดย Urban-E เหมาะสำหรับใช้งานในเมือง และ SCR-E / SCR-E Sport เหมาะสำหรับใช้ลุย โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Scrambler อย่างชัดเจน โดยเฉพาะตะเกียบคู่และยางบั้งขนาดใหญ่สำหรับสายลุย Off-road ทั้งสามรุ่นสามารถพับเฟรมและถอดแฮนด์เก็บได้อย่างง่ายดายโดยจะมีขนาดเหลือเพียงครึ่ง ซึ่งเหมาะกับการพกพาใส่ท้ายรถได้ไม่ว่าจะเป็น Eco car ที่พื้นที่จำกัดก็ตาม จุดเด่นของ Ducati Urban-E และ SCR-E คือความบางของดีไซน์
ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต้องการสร้างสถิติและคำนิยามใหม่ให้กับมอเตอร์ไซค์พลังงานไฟฟ้าที่แรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน Concept Z by ed motorcycle คือผลงานที่ตอบโจทย์ที่สุดในเวลานี้ ด้วยแรงบิดสูง 850 Nm of torque ในดีไซน์ที่ดุดันสไตล์ Street Tracker bike ที่ใช้งานได้ในทุกสภาพถนน เคล็ดลับหัวใจสำคัญที่ทำให้ Concept Z by ed ทำแรงบิดได้มหาศาล มาจากขุมพลังแบตเตอรี่ไฟฟ้า 99V High-performance lithium สร้างแรงบิด 850 นิวตันเมตรสู่ล้อหลัง 100% ขับเคลื่อนแบบ linear torque ด้วยเทคโนโลยี One-gear, No-clutch เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla หรือ Porsche Taycan ระบายความร้อนได้ดีด้วยระบบ Air-Cooled โดยไม่ต้องใช้น้ำหล่อเย็น หมายความว่าการดูแลรักษา Concept Z เป็นเรื่องที่ง่ายมากขึ้น ควบคุมรถได้อยู่มืออย่างนุ่มนวลด้วยการใช้ co-axial swingarm ด้านหลัง ทั้งหมดเพื่อรองรับความเร็วสูงสุด 150
ที่ผ่านมามีค่ายรถหรูหลายค่ายที่นำรถคลาสสิคของตัวเองมาผลิตใหม่ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์เดิมเป็นขุมพลังไฟฟ้า อย่างเช่น Jaguar E-Type Zero แต่เรายังไม่น่าจะได้เห็นโปรเจคแบบนี้จากค่ายรถที่หรูที่สุดอย่าง Rolls-Royce เพราะมหาเศรษฐีระดับนั้นคงไม่ได้ขับรถเอง และไม่ได้สนใจราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้กวนใจชีวิตประจำวัน แต่สำหรับเศรษฐีรุ่นใหม่ที่มีทั้งเงินและแพสชั่นในการขับรถที่เร็ว แรง หรูหรา และแปลกไม่ซ้ำใคร จึงเป็นที่มาของโปรเจคสุดเท่จาก Lunaz Design เตรียมนำ classic Rolls-Royce 2 รุ่นได้แก่ Phantoms และ Silver Clouds โดยข่าวดีคือมันจะไม่ใช่รถแบบ One-off แต่เป็นการผลิตแบบจำนวนจำกัดรุ่นละ 30 คัน ในราคาคันละ $450,000 (ราว 14 ล้านบาท) Lunaz Design บริษัทสัญชาติอังกฤษ บอกว่าการจะเปลี่ยนรถคลาสสิค โดยเฉพาะรถที่ละเอียดอ่อนอย่าง Rolls-Royce เป็นขุมพลังไฟฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ลำพังแค่บูรณะให้ขับได้ยังเป็นเรื่องยาก ต้องเริ่มตั้งแต่การทำ complete ground-up restoration หรือถอดแยกชิ้นแล้วเริ่มประกอบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างและอุปกรณ์ทุกชิ้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบ และแน่นอนว่าชิ้นส่วนเดิมทั้งหมดต้องเป็น original อะไรหาไม่ได้ก็ต้องผลิตขึ้นมาใหม่ ก่อนจะใส่แบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้าของ Lunaz