Entertainment

CINEPHILE: 8 ตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ ผ่านไปนานแค่ไหนก็จำได้ไม่รู้ลืม

By: PERLE March 19, 2019

บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของคนชอบดูหนังคนหนึ่งเท่านั้นและมีการสปอยตอนจบของภาพยนตร์หลายเรื่อง

ครั้งก่อนเราเขียนถึงเพลงตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ (ย้อนอ่านได้ที่ 7 เพลงตอนจบภาพยนตร์สุดประทับใจ) แต่ยังไม่หมดแค่นั้น ตอนจบภาพยนตร์คือสิ่งที่เราหลงใหล วันนี้เราจะพูดถึงตอนจบภาพยนตร์เพียว ๆ แบบไม่มีเพลงมาเกี่ยวข้อง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ประทับใจไม่รู้ลืม ตกผลึกอยู่ในความทรงจำไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน

 

Gone with the Wind (1939)
Director:  Victor Fleming, George Cukor

‘Frankly, my dear, I don’t give a damn’

นี่คือประโยคสุดท้ายจากภาพยนตร์เรื่อง Gone with the Wind และเป็นประโยคอันดับ 1 ตลอดกาลจากการจัดอันดับของ American Film Institute 

ถ้าใครไม่เคยดู Gone with the Wind คงสงสัยว่าประโยคนี้มีอะไรพิเศษ ก็ดูเป็นประโยคตัดความสัมพันธ์ธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้มันพิเศษคือเรื่องราวภายใต้ประโยคนี้

ถ้าจะอธิบาย Gone with the Wind ให้เข้าใจโดยง่าย มันคือละครน้ำเน่าที่มาในรูปแบบภาพยนตร์ โศกนาฏกรรมความรักท่ามกลางบรรยากาศสงคราม ผู้พูดประโยคนี้คือตัวละคร Rhett Butler โดยเขาพูดกับ Scarlett ภรรยาของเขาเอง เนื่องจากเขาไม่สามารถเชื่อในคำพูดของเธอได้อีกต่อไป จากการกระทำที่ผ่านมา แม้ Scarlett จะฉุดรั้งเขาแค่ไหน พูดคำว่ารักมากมาย แต่มันก็สายไปแล้ว Rhett Butler เลือกที่จะเดินจากเธอไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมาอีก

เป็นตอนจบที่แสนสะเทือนใจ แต่ในขณะเดียวกันคนดูอย่างเราก็แอบสะใจนิด ๆ กับสิ่งที่ Scarlett ได้รับ เพราะตลอดทั้งเรื่องเธอใช้มารยาร้อยเล่มเกวียนมากมายเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ แต่ผลลัพธ์ที่เธอได้คือการไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียว


Casablanca (1942)
Director: Michael Curtiz

ถ้าจะพูดถึงภาพยนตร์โรแมนติกที่ยิ่งใหญที่สุดตลอดกาล รับรองว่าต้องมี Casablanca อยู่ในรายชื่อต้น ๆ แน่นอน

เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นใน Casablanca เมืองท่าทางตอนเหนือของโมร็อกโก ดินแดนในอาณัติฝรั่งเศส ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างนาซีเยอรมันกับกลุ่มแนวร่วมปลดปล่อยฝรั่งเศส และผู้ที่ต้องการอพยพหนีภัยสงครามไปยังสหรัฐอเมริกา

หนังเล่าเรื่องผ่านชีวิตของ Rick Blaine เจ้าของบาร์ผู้มั่งคั่งร่ำรวย เขาเป็นหนุ่มอเมริกันจากปารีส แต่ด้วยเรื่องราวความหลังอันเจ็บปวด เขาจึงตัดสินใจมาลงหลักปักฐานที่เมืองนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับ Ilsa Lund อดีตคนรักเก่า ซึ่งเธอนี่แหละคือต้นเหตุของความหลังอันเจ็บปวด

Ilsa เดินทางมาที่ Casablanca พร้อมกับ Victor Laszlo คนรักปัจจุบันซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำการต่อต้านเช็ก โดยต้องการลี้ภัยไปยังแผ่นดินอเมริกา แต่ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือของ Rick ทั้งคู่ก็จะไม่สามารถลี้ภัยได้สำเร็จ

จะเก็บเธอไว้เพื่อครอบครองหรือปล่อยเธอไปแล้วร่วมยินดีจากระยะไกล? 

นี่คือคำถามที่อยู่ในใจของ Rick และสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปล่อยเธอไป โดยในฉากจบที่เป็นการบอกลานั้นทั้งคู่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ฟูมฟาย แต่ก็รับรู้ได้ชัดเจนว่าความรักที่พวกเขามีต่อกันนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน


Psycho (1960)
Director: Alfred Hitchcock

ภาพยนตร์ระทึกขวัญขึ้นหิ้งของผู้กำกับ Alfred Hitchcock เล่าเรื่องราวของ Lila Crane เสมียนสาวที่ตัดสินใจขโมยเงินบริษัทแล้วขับรถหนีออกนอกเมือง โดยระหว่างทางเธอได้แวะพักที่ Bates Motel ซึ่งมี Norman Bates ชายหนุ่มท่าทางปกติธรรมดาออกมาต้อนรับ แต่ในคืนนั้นเธอกลับโดนฆาตกรรมคาห้องพักของเธอเองโดยฝีมือของใครบางคน

เมื่อ Lila หายตัวไป คนรอบข้างเธอก็เริ่มออกตามหา ในที่สุดก็ได้รู้ว่าฆาตกรไม่ใช่ใครที่ไหน Norman Bates เจ้าของโรงแรมนั่นเอง เพียงแต่ในตอนที่เขาลงมือเขาโดนความคิดของผู้เป็นแม่ที่เสียชีวิตไปแล้วครอบงำอยู่จนไม่รู้สึกตัว

ในตอนสุดท้าย Norman Bates  ก็โดนจับกุมตัว แต่สิ่งที่ทำให้เราจำฉากนี้ได้ไม่รู้ลืมคือสายตาของ Norman Bates ที่น่ากลัวจนขนลุก พร้อมเสียง Voice Over ของผู้เป็นแม่ที่ตอนนี้ได้ครอบงำตัวลูกชายอย่างสมบูรณ์แล้ว

‘พวกเขาอาจจะกำลังดูฉันอยู่ ฉันจะทำให้พวกเขาได้เห็นว่าฉันเป็นคนแบบไหน มีแมลงวันเกาะฉันอยู่ แต่ฉันจะไม่ตบมัน พวกเขาจะเห็นและสงสัยว่าทำไมฉันถึงไม่ทำอันตรายมัน’ ก่อนที่เขาจะแสยะยิ้ม แล้วหนังก็จบลง


Annie Hall (1977)
Director: Woody Allen

ในผลงานกำกับภาพยนตร์เกือบ 60 เรื่องของ Woody Allen Annie Hall คือผลงานที่ยิ่งใหญ่และได้รับการพูดถึงมากที่สุด

มันเป็นผลงานที่เขาทั้งกำกับ เขียนบท รวมถึงแสดงนำเองด้วย โดยเขารับบทเป็น Alvy Singer นักแสดงตลกช่างพูด ที่ตกหลุมรักกับ Annie Hall หญิงสาวที่ดูเพียบพร้อมทุกด้าน ตอนแรกความรักครั้งนี้ดูจะไปได้ดี แต่ขึ้นชื่อว่าความสัมพันธ์ วันหนึ่งความไม่ลงรอยกันก็เกิดขึ้น

Alvy รัก Annie Hall  ด้วยใจจริง แต่สิ่งเขาแสดงกลับตรงกันข้าม เขาไม่พยายามพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ยังทำตัวแย่ ๆ ในความสัมพันธ์ ลอยชายไปวัน ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมันก็มาถึงทางตัน ทั้งคู่เลิกรากัน และบทสนทนาสุดท้ายของพวกเขาคือบทเรียนชั้นดีสำหรับทุกคู่รักในโลก

‘most of us… need the eggs.’ หรือแปลเป็นไทย ‘เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง’

ทุกคนต่างอยากมีความรักที่ดี อยากสัมผัสด้านงดงามของมัน แต่กลับไม่ค่อยมีใครพยายามหรือยอมสละอะไรบางส่วนเพื่อรักษามันไว้


The Shawshank Redemption (1994)
Director: Frank Darabont

ถ้าในลิสต์ไม่มีตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้เราต้องโดนตำหนิแน่นอน เพราะ The Shawshank Redemption คือภาพยนตร์ที่ใครได้ดูก็ต้องตกหลุมรัก และมีตอนจบน่าประทับใจไม่รู้ลืม

ชีวิตของ Andy Dufresne พลิกผันอย่างไม่คาดคิด เมื่อเขาโดนจับกุมตัวในข้อหาฆาตกรรมภรรยาตัวเองต้องถูกจองจำอยู่ด้านหลังกำแพงไปตลอดชีวิต แต่ภายในเรือนจำ สถานที่ที่คนภายนอกมองว่าโหดร้าย เป็นที่รวมตัวของเหล่าอาชญากร Andy กลับได้พบมิตรภาพมากมาย รวมถึง Red เพื่อนสนิทรุ่นพี่

หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุด Andy ก็สามารถหนีออกจากคุกได้สำเร็จ แต่เขาก็จำเป็นต้องทิ้งเพื่อนไว้เบื้องหลัง อย่างไรก็ตาม Andy ก็ได้บอกพิกัดสำคัญของอะไรบางอย่างกับ Red

หลังจากใช้ชีวิตไร้อิสระภาพมานานกว่า 50 ปี ในที่สุด Red ก็พ้นโทษออกมา แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขา Red ใช้เวลาอยู่ในเรือนจำนานเกินไป จนในตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าชีวิตภายนอกเป็นอย่างไร และก่อนที่เขาจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ความหวังสุดท้ายคือพิกัดปริศนาที่ Andy ได้ให้ไว้ เมื่อไปถึง Red ก็ได้พบกับเบาะแสสำคัญที่บอกว่าตอนนี้ Andy อยู่ที่ไหน

ในฉากสุดท้าย Red เดินทางมาเจอกับ Andy ที่ชายหาดแห่งหนึ่ง ทั้งคู่ยิ้มให้กัน และหนังก็จบลง เป็นการจบที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง บอกกับคนดูว่าต่อให้เป็นสถานที่เลวร้ายที่สุดในโลก มิตรภาพสวยงามก็เกิดขึ้นได้เสมอ


The Usual Suspects (1995)
Director: Bryan Singer

‘นี่คือภาพยนตร์ที่หลายสำนักยกย่องว่ามีตอนจบที่หักมุมได้ยอดเยี่ยมที่สุด’

เกิดการปล้นและสังหารหมู่ครั้งใหญ่ในเรือบรรทุกสินค้า ไม่มีเบาะแสอื่นของคนร้ายนอกจากชื่อ Keyser Soze เหตุการณ์นี้นำมาสู่การจับกุมชาย 5 คนที่เป็นผู้ต้องสงสัยในคดีปล้นรถขนเงิน

เนื้อเรื่องดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีการหักเหลี่ยมเฉือนคมกันตลอดเวลา จนถึงฉากสุดท้ายของเรื่อง Verbal 1 ใน 5 ผู้ต้องสงสัยได้รับการปล่อยตัว ก่อนที่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีนายตำรวจที่สอบสวนเขาทั้งวันจะรู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วตัวจริงของ Verbal คือ Keyser Soze และเรื่องราวที่เขาเล่ามาทั้งวันก็แต่งจากกระดานด้านหลังนั่นเอง แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

อีกด้านหนึ่ง Verbal ที่ออกมาจากสถานีตำรวจแล้วกำลังเดินอยู่ริมถนน และขาข้างหนึ่งที่ในตอนแรกทุกคนคิดว่ามันพิการก็กลับมาใช้ได้ปกติ เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ก่อนที่จะมีรถมารับ แล้วหนังก็จบลง ปล่อยให้คนดูอ้าปากค้าง เป็นประสบการณ์ดูหนังที่ไม่มีวันลืม


The Perks of Being a Wallflower (2012)
Director: Stephen Chbosky

The Perks of Being a Wallflower คือภาพยนตร์ของผู้กำกับ Stephen Chbosky ในปี 2012 ที่นำเสนอเรื่องราวการก้าวพ้นผ่านช่วงวัยแห่งชีวิตได้งดงามและเข้าถึงจิตใจได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่ง

ชีวิตของ Charlie เด็กมัธยมปลายขี้กลัวและมีปัญหาในการเข้าสังคมได้เปลี่ยนไปเมื่อเขาพบกับ Sam และ Patrick รุ่นพี่จอมเฮ้วที่แตกต่างจากเขาสุดขั้ว มันเป็นการเปลี่ยนไปในแง่ดี แต่ละคนต่างถ่ายทอดเรื่องราว ประสบการณ์ พลังงาน หรือแม้กระทั่งความรักให้แก่กัน จนทำให้ Charlie กล้าที่จะเดินออกจากกรอบที่กักขังเขามาตลอดชีวิต

ในฉากสุดท้ายรถกระบะที่ทั้ง 3 นั่งมากำลังวิ่งอยู่ในอุโมงค์ Charlie ซึ่งนั่งอยู่กระบะหลังพยายามท้าทายความกล้าตัวเองด้วยการยืนขึ้นรับลม พร้อมกับเสียง Voice Over ของเขาเองว่า

‘And in this moment I swear, we are infinite.’

หลังจากที่ผ่านอะไรมามากมาย ทั้งร้ายและดี ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าชีวิตนี้มันมหัศจรรย์แค่ไหน การเดินทางบทใหม่กำลังเริ่มต้น แล้วเพลง Hero ของ David Bowie ก็ดังขึ้นมา ฉากนี้ใครไม่ขนลุกหรือน้ำตารื้นให้มันรู้ไป


Boyhood (2014)
Director: Richard Linklater

Boyhood คือภาพยนตร์ที่ใช้เวลาถ่ายทำยาวนานกว่า 12 ปี เพื่อเล่าเรื่องราวการเติบโตของตัวละคร Mason ตั้งแต่ช่วงวัยประถมจนเข้าสู่รั้วมหาลัย

Boyhood เป็นภาพยนตร์ Coming of Age ที่เรียบง่าย เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง ไม่มีอะไรหวือหวา แถมยังมีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง แต่สิ่งที่โดดเด่นคือ ‘ความจริง’ ที่เราสัมผัสได้ ถึงแม้ Mason จะเป็นเพียงตัวละครสมมุติ แต่นักแสดงที่รับบทก็ค่อย ๆ เติบโตไปพร้อมกับตัวละครในระยะเวลา 12 ปีของการถ่ายทำ

‘The moment is constant. The moment seizes us’

นี่คือประโยคสุดท้ายของเรื่อง Mason พูดกับเพื่อนสาวคนสนิทในขณะที่นั่งมอง Vanilla Sky อยู่บนหน้าผา ประโยคสั้น ๆ แต่แฝงความหมายไว้เต็มเปี่ยม เป็นการสรุปเรื่องราวตลอด 12 ปีได้อย่างดี ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือการทำงานครั้งสุดท้ายของหนึ่งในกองถ่ายภาพยนตร์ที่ใช้เวลาถ่ายทำนานที่สุดในโลก ทุกคนในกองถ่ายคงเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน แต่สุดท้ายงานเลี้ยงก็ต้องเลิกรา

ตอนจบของ Boyhood ไม่ใช่แค่เพียง Mason เท่านั้นที่ก้าวผ่านวัย Ellar Coltrane นักแสดงที่รับบทนี้ก็ได้ก้าวผ่านวัยด้วยเช่นกัน

 

นี่คือฉากจบจากภาพยนตร์ทั้ง 8 เรื่องที่เราชอบที่สุด แล้วคุณล่ะ ชอบฉากไหนที่สุด?

 

PERLE
WRITER: PERLE
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line