Entertainment

NIHON STORIES: DATE MASAMUNE เจ้าของฉายา “มังกรตาเดียว” และตำนานเล่าขานของชาวญี่ปุ่น

By: TOIISAN December 27, 2018

ที่สุดของตำนานนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ ซามูไรหาญกล้าผู้ออกรบอย่างดุดันแม้จะมีตาเพียงดวงเดียว

สำหรับชายผู้ที่ชื่นชอบความเท่แบบญี่ปุ่นและชื่นชอบซามูไร คงไม่มีใครไม่รู้จักกับยุค เซ็นโงคุ ที่สร้างชื่อให้กับเหล่านักรบผู้เก่งกาจ และนักสู้คู่ยุคเดือด ซามูไรนาม ดาเตะ มาซามุเนะ ชายที่เกิดมาพร้อมกับความบกพกพร่องทางสายตา แต่ด้วยความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงความแข็งเกร่งที่แสดงให้ทุกคนได้สัมผัสมากกว่าแค่ชื่อเสียง จนได้รับการขนานนามว่าเป็น มังกรตาเดียวแห่งเซ็นโงคุ

ดาเตะ มาซามุเนะ เกิดเมื่อปีค.ศ. 1567 ในปราสาทของตระกูลโยเนซาวะ เขาเป็นลูกชายคนโตของไดเมียว (ผู้ครองนคร) แคว้นมุตสึ มาซามุเนะสูญเสียตาขวาตั้งแต่กำเนิดด้วยโรคไข้ทรพิษ (Smallpox) แต่บางตำนานก็ได้เล่าขานเรื่องราวของเขาอย่างแปลก ๆ เช่น ผู้เป็นพ่อสั่งให้คนรับใช้ประจำตัวเป็นผู้ควักลูกตาออก แต่ยังไร้ซึ่งเหตุผลที่หนักแน่นพอมารองรับข้อสันนิษฐานนี้ และก็มองไม่เห็นถึงความจำเป็นที่คนเราจะต้องควักลูกตาออกข้างหนึ่ง

แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตามแต่ ดาเตะ มาซามุเนะ เป็นเด็กผู้ชายที่มีตาข้างเดียว ซึ่งความไม่สมบูรณ์นี้เองที่ถึงแม้จะเป็นพี่ชายคนโตของตระกูลก็ตาม กลับไม่ได้เป็นที่รักของมารดาเท่าไหร่นัก และถูกมองว่าไม่คู่ควรกับการได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งไดเมียวแห่งโยเซนาวะผู้ครองแคว้นมุตสึ

Amino Apps

ด้วยนิสัยหาญกล้าบ้าบิ่น ชื่นชอบการแข่งขัน กระหายชัยชนะ จึงทำให้ มาซามุเนะ เป็นที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ยังเด็ก มีตำนานเล่าขานความโหดเหี้ยมเด็ดขาดของมาซามุเนะว่า เมื่อตอนอายุ 11 ปี และต้องแต่งงานกับ ทามูระ เมโงฮิเมะ แต่มาซามุเนะเกิดความหวาดระแวงว่าตระกูลทามูระจะพยายามหักหลัง เขาได้ลงมือสังหารคนรับใช้ของภรรยาตัวเองเสียสิ้น ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าในสังคมญี่ปุ่นสมัยก่อนยังมีมุมมองเรื่องอายุที่ต่างกับยุคปัจจุบัน เด็กเกือบทั่วทั้งเอเชียมักแต่งงานเร็วเป็นเรื่องธรรมดา และเด็กอายุสิบกว่าขวบก็มีเรื่องครอบครัวและความรับผิดชอบมาให้คิดมากกว่าเด็กอายุรุ่นเดียวกันอย่างในปัจจุบัน

หลังจากนั้นต่อมาในปี 1581 เมื่อ ดาเตะ มาซามุเนะ มีอายุ 14 ปี ก็ได้ออกศึกครั้งแรกกับบิดาในการรบกับไดเมียวแคว้นอื่น ด้วยความฉลาดในการวางแผนกลยุทธ์ รวมถึงความโหดเหี้ยมในการฟาดฟันทำศึกสงคราม ดาเตะ มาซามุเนะช่วยให้กองทัพของเมืองตัวเองได้รับชัยชนะอย่างสวยงาม และในปี 1584 บิดาของเขาก็ได้สละตำแหน่งไดเมียวแห่งโยเนซาวะให้แก่ดาเตะ ขึ้นเป็นไดเมียวด้วยอายุเพียง 17 ปี และออกศึกสงครามในฐานะผู้นำทัพ

การนำทัพของมาซามุเนะในแต่ละครั้งได้สร้างชื่อเสียงเรื่องความโหดและเก่งกาจให้กับตัวเองอย่างรวดเร็ว ผลงานการออกรบบุกยึดปราสาทโอบามะของตระกูลอาชินะ ที่ไล่ฆ่าศัตรูจนหมดสิ้น ว่ากันว่าโหดจนไดเมียวแคว้นข้าศึกบางเมืองถึงกับต้องทิ้งปราสาทโอบามะของตัวเองเพื่อชิงหลบหนีการมาเยือนของนักรบตาเดียวผู้โหดร้ายคนนี้

Plantyze

ชื่อเสียงเรื่องความเก่งกาจของเขายิ่งเป็นที่เลื่องลืออีกครั้ง กับเหตุการณ์ที่บิดาของเขาถูกคนตระกูลฮาตาเกยามะจับเป็นตัวประกันในปี 1585 เหตุเพราะตระกูลฮาตาเกยามะเคยขอเข้าร่วมเป็นพันธมิตรหลายครั้ง แต่ถูกปฏิเสธ เมื่อบิดาถูกจับไป มาซามุเนะรีบจัดทัพเพื่อไปช่วยทันที ในช่วงแรกเขาวิตกกังวลกับการวางแผนเพื่อบุกเข้าไปในเมืองศัตรูเพราะกลัวว่าบิดาจะได้รับอันตราย แต่เมื่อมาซามุเนะได้รับข้อความจากบิดาที่แอบฝากพรรคพวกออกมาว่า ไม่ต้องห่วงฉัน สิ่งที่ควรทำอย่างเดียวคือการบุกทะลวงเมืองให้สิ้นซาก

ได้ยินแบบนั้นจึงทำให้มาซามุเนะตัดสินใจยกทัพเข้าตีเมืองแบบซึ่งหน้าทันที ฆ่าฟันกวาดล้างศัตรูไปเป็นจำนวนมาก แม้ในศึกครั้งนี้จะทำให้เขาสูญเสียบิดาไป แต่มันยิ่งทำให้ชื่อเสียงของเขาดังสะท้านไปทั่วแผ่นดินถึงความใจแข็งโหดเหี้ยมเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน แม้ต้องแลกกับชีวิตบิดาก็พร้อมจะบุกเข้าปลิดชีพศัตรู ทำให้ไม่มีตระกูลใดในระแวกใกล้เคียงกล้าลุกขึ้นต่อกรกับนักรบตาเดียวผู้นี้อีก

ถ้าหากยังจำได้ มารดาของมาซามุเนะไม่ได้นิยมชมชอบในตัวเขาเท่าไหร่นัก และพยายามดันน้องชายอย่าง ดาเตะ มาซามิจิ ให้ขึ้นมาเป็นไดเมียวแทนเขา จนในปี 1589 มาซามิจิได้พยายามลอบสังหารพี่ชายด้วยการวางยาพิษแต่ไม่สำเร็จ มาซามุเนะจึงจำเป็นต้องสั่งให้ทหารจับน้องชายของเขาไปประหารชีวิต พร้อมกับคำพูดที่บาดลึกว่า “ถ้าหากชาติภพหน้าเราได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันอีก ก็ขอให้มีความรู้สึกรักอย่างพี่น้องกันจริง ๆ ไม่ต้องเจอกันในสถานการณ์แบบในตอนนี้”

ส่วนมารดาก็ต้องลี้ภัยไปยังต่างเมือง เหตุการณ์ทั้งหมดจึงเป็นการจบปัญหาศึกสายเลือดภายในที่น่าเจ็บปวดของดาเตะ มาซามุเนะ

Global.rakuten

ยามที่มาซามุเนะออกรบ สัญลักษณ์ที่ใครเห็นต่างก็รู้ว่านักรบคนนี้คือ ดาเตะ มาซามุเนะ คือ ผ้าปิดตาหนึ่งข้าง และ หมวกรบประจำตัว ทำจากแผ่นเหล็กจำนวน 62 แผ่นประกอบเข้าด้วยกัน ประดับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีทองขนาดใหญ่ที่เรียกว่า ‘สึจิคาบุโตะ’ ด้วยสัญลักษณ์ที่โดดเด่นนี้เอง เมื่อข้าศึกฝ่ายศัตรูเพียงแค่เห็นแม่ทัพสวมหมวกพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ก็สร้างความหวาดหวั่นในใจให้กับเหล่าทหารเป็นอย่างมาก ด้วยความสามารถที่เก่งกาจถึงแม้จะมีเพียงตาข้างเดียว จึงทำให้ดาเตะ มาซามุเนะได้รับการขนานนามว่า โดคุกังริว หรือ มังกรตาเดียว และกลายเป็นไดเมียวที่ทรงอิทธิพลที่สุดในภูมิภาค เขาใช้เวลานานหลายปีในการสร้างตระกูลให้แข็งแกร่งและทรงอำนาจมากขึ้น รวมถึงปกครองแคว้นเซ็นได (ปัจจุบันคือจังหวัดมิยางิ) นานกว่า 36 ปี และเป็นไดเมียวที่อันตรายที่สุดแห่งยุค

Guía de Japón

ถึงจะเป็นคนที่ชึ้นชื่อในเรื่องของความเหี้ยมโหด เด็ดขาด ไม่ยอมหักงอ แต่ในยามสงบ สิ่งที่มาซามุเนะให้ความสนใจเป็นอย่างมากคือเรื่องของศิลปะและวิทยาการ เขาสามารถต่อเรือกลไฟขนาดใหญ่เพื่อส่งทูตเดินทางไปยังนครวาติกัน รวมถึงสำรวจโลกภายนอกเกาะญี่ปุ่นได้ โดยตั้งชื่อเรือว่า ดาเตะมารุ หรือในชื่อภาษาอังกฤษอย่าง San Juan Bautista และในพงศาวดารของญี่ปุ่นก็ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าเรือดาเตะมารุสามารถแล่นไปถึงทวีปยุโรปได้สำเร็จในปี 1613 และนี่คือเรือกลแรกของญี่ปุ่นที่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลนติก และอินเดีย ที่สร้างชื่อเสียงและความภูมิใจให้แก่คนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ของดาเตะ มาซามุเนะได้ถูกหยิบไปทำภาพยนตร์และตัวละครต่าง ๆ มากมายมาถึงปัจจุบัน อาทิ Doku-ganryu Masamune (1942) และทีวีซีรีส์อย่าง Dokugan-ryu Masamune (1987) รวมถึงเป็นต้นแบบของคาแรคเตอร์ในเกมมากมาย เช่น Devil Kings (2005) และเป็นต้นแบบคาแรคเตอร์ตัวบอสของเกม Nioh PlayStation 4 รวมถึงเป็นฟิกเกอร์โมเดลของเล่นอีกด้วย

ตัวละคร Date Masamune ในเกม Nioh

จากชีวิตที่ไม่เคยหยุดนิ่งของดาเตะ มาซามูเนะ ที่ถึงแม้จะมีตาเพียงข้างเดียวแต่ก็สามารถมองเห็นอนาคตได้กว้างไกลกว่าที่ใครหลายคนจะคาดเดาได้ เขาเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในเรื่องของการไม่ย่อท้อต่อความผิดปกติของร่างกาย และได้พิสูจน์ตัวเองว่าเขามีคุณสมบัติที่มากพอในการเป็นผู้นำที่เก่งกาจไม่แพ้ใคร ความเด็ดขาด มั่นใจ พร้อมแสดงความสามารถออกมาให้ทุกคนได้ประจักษ์จนเป็นที่กล่าวขานมาจนถึงทุกวันนี้ สมกับที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น มังกรตาเดียว สัตว์ในตำนานที่มีความแข็งเกร่งและเก่งกาจที่สุดโลก

 

 

SOURCE1 SOURCE2 SOURCE3

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line