World

NIHON STORIES: FUKUSHI MASAICHI นายแพทย์ผู้สะสมคอลเลกชันผิวหนังมนุษย์

By: TOIISAN March 14, 2019

เราทุกคนย่อมมีงานอดิเรกและของสะสมต่างกันไปตามรสนิยม เช่น สะสมโมเดลรถของเล่น โมเดลหุ่นยนต์ สะสมรองเท้า หรือตามเก็บผลงานภาพวาดราคาแพงของศิลปินชื่อดัง ครั้งนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งของสะสมที่เรียกว่าไม่ธรรมดาของชายผู้หลงใหลรอยสักบนผิวหนังมนุษย์

The Curiosity Chronicles

เขาคือ ฟุคุชิ มาซาอิชิ ศาสตราจารย์นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาซึ่งเป็นสาขาที่ศึกษาและวินิจฉัยโรคจากการตรวจอวัยวะ เซลล์ และเนื้อเยื่อของมนุษย์จากการชันสูตร แถมเขายังเป็นประธานสมาคมพยาธิวิทยาของญี่ปุ่นและอาจารย์หมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์นิปปอน (Nippon Medical School) ที่ดูแล้วไม่น่าจะกลายมาเป็นชายสะสมของสุดแปลกได้

ความชอบสะสมรอยสักเนื้อมนุษย์ของเขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1907 เป็นช่วงเวลาที่หมอมาซาอิชิกำลังสนใจรักษากามโรคพร้อมทำวิจัยเรื่องการเติบโตของไฝบนผิวหนังและพบสมมุติฐานน่าสนใจว่าน้ำหมึกที่ใช้สักอาจทำลายเชื้อซิฟิลิสได้ เพราะแผลจากซิฟิลิสจะไม่เกิดขึ้นตรงบริเวณผิวหนังที่เพิ่งสัก

Tattoo Art from the Heart

หลังจากข้อสันนิษฐานนั้นทำให้หมอมาซาอิชิทุ่มความตั้งใจทั้งหมดเพื่อศึกษาเกี่ยวกับเม็ดสีของผิวและการขยายตัวของไฝจากคนที่มีรอยสัก ต่อมาปี 1926 เขาเริ่มศึกษาผิวหนังจากทั้งคนเป็นและคนตาย พร้อมกับค้นหาวิธีเก็บผิวหนังจากศพที่มีรอยสักไปพร้อมกัน

การทำงานวิจัยแต่ละครั้งจะต้องใช้ผิวหนังที่มีรอยสักจำนวนมาก คำถามที่ตามมาคือหมอมาซาอิชิจะไปหารอยสักมากมายขนาดนั้นมาจากไหน คำตอบที่เขาได้คือกลุ่มยากูซ่าที่มีรอยสักและวิธีการสักแตกต่างจากคนทั่วไป เพราะการสักสีทั่วทั้งตัวแบบ Irezumi จะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากจึงมีแค่ยากูซ่าเท่านั้นที่นิยมสักทั่วทั้งตัว

หลากหลายเหตุผลที่ทำให้ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ได้พบกับแก๊งยากูซ่า สิ่งหนึ่งเกิดจากมุมมองแง่ลบของคนทั่วไปที่มองว่าคนสักมักจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย เพราะในสมัยเอโดะรอยสักคือสัญลักษณ์ของนักโทษเพื่อแยกผู้มีความผิดออกจากคนทั่วไป เมื่อวันเวลาผ่านไปเหล่ายากูซ่าก็นิยมสักกันทั่วตัวยิ่งทำให้คนญี่ปุ่นมองว่าคนสักคือคนไม่ดี แต่สำหรับหมอมาซาอิชิคนเหล่านี้คือคนที่เขาต้องการพบเป็นอย่างมาก

เมื่อหมอมาซาอิชิรู้จักและคลุกคลีอยู่กับเหล่ายากูซ่าจำนวนมากและเห็นรอยสักลวดลายแตกต่างกันที่ทั้งมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะ รวมถึงบอกเล่าเรื่องราวไว้มากมาย

ความเหมาะเจาะก็คือยากูซ่าส่วนใหญ่ที่มารับการรักษาจากหมอมาซาอิชิเป็นนักเลงปลายแถว เวลาไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นก็มักจะเจอสายตาดูแคลนอยู่เสมอ แต่หมอมาซาอิชิพอใจที่จะรักษายากูซ่า แถมบางคนมาหาเขาพร้อมกับรอยสักที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งรอยสักครึ่ง ๆ กลาง ๆ นี้เองได้จุดประกายความคิดบางอย่างให้กับเขา

hybridtechcar

หลังจากที่เขารู้จักกับเหล่ายากูซ่าที่ไม่มีเงินมากพอจะทำให้รอยสักสมบูรณ์ หมอมาซาอิชิยื่นข้อเสนอว่าจะรักษาโรคให้และเก็บเงินแค่ครึ่งราคา หรือถ้าเป็นอะไรเล็กน้อยจะไม่คิดเงิน โดยคนที่มีรอยสักครึ่ง ๆ กลาง ๆ เขาจะช่วยออกค่าใช้จ่ายสำหรับการไปเติมรอยสักให้สมบูรณ์อีกด้วย โดยมีข้อแลกเปลี่ยนแสนง่ายว่า “ถ้าหากคุณตายเมื่อไหร่ ผิวหนังของคุณจะต้องเป็นของผม”

โดยทั่วไปแล้วเมื่อได้ยินข้อเสนอสุดแปลกแบบนี้อาจมองว่าหมอมาซาอิชิเป็นคนแปลก แต่เหล่ายากูซ่ากลับยินดีทำตามข้อตกลงของเขา เพราะยากูซ่าหลายคนมองว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะมอบผิวหนังตอนตายให้กับใคร ดีเสียอีกที่รอยสักอันแสนภาคภูมิจะคงอยู่ตลอดไป ข้อเสนอนี้ทำให้หมอมาซาอิชิมีชื่อเสียงในวงการช่างสักและแก๊งยากูซ่า

ข้อตกลงนั้นให้หมอมาซาอิชิมีคนไข้ที่มีรอยสักเป็นจำนวนมาก และตามข้อตกลงเมื่อคนไข้เสียชีวิตเขาจะนำร่างมาไว้ที่โรงพยาบาลพร้อมเลาะแยกผิวหนังออกจากศพ จากนั้นล้างกำจัดชั้นไขมันใต้ผิวให้หมดจด

เมื่อแผ่นหนังสะอาดแล้วจึงนำไปขึงให้ตึงและอบแห้ง ทำให้เขามีรอยสักเป็นของตัวเองไม่น้อยกว่า 3,000 แผ่น ซึ่งรอยสักของคนหนึ่งคนจะมีข้อมูลส่วนตัวและเรื่องราวของเจ้าของร่างกายด้วย จากการสะสมผิวหนังที่มีรอยสักเป็นจำนวนมากทำให้เขาได้รับฉายา Irezumi Hakase หรือภาษาอังกฤษว่า Dr. Tattoo

แม้จะเก็บมามากกว่า 3,000 แผ่น แต่ของสะสมของหมอมาซาอิชิถูกเผาทำลายไปเป็นจำนวนมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากเกาะญี่ปุ่นหลายพื้นที่โดนระเบิดลง แผ่นหนังไหม้ไปกับเปลวเพลิง แถมบางส่วนก็หายไปเพราะโดนขโมยไปปล่อยขายให้กับกลุ่มผู้ชื่นชอบผิวหนังที่มีรอยสักในตลาดมืด โดยเฉพาะกับรอยสักของช่างสักชื่อดังหรือรอยสักของยากูซ่าระดับหัวหน้าแก๊งที่มีชื่อเสียง ยิ่งแผ่นหนังของยากูซ่าระดับสูงก็จะยิ่งมีราคาแพง มีเรื่องเล่าว่ารอยสักหนึ่งแผ่นเคยถูกปิดประมูลในตลาดมืดไปด้วยราคาเกือบ 3 ล้านบาทเลยทีเดียว

แผ่นหนังมนุษย์ราคาสูงเกิดจากผู้ชอบสะสมรอยสักมองว่าผลงานของหมอคือของหายาก แถมได้มาด้วยความเต็มใจจากเจ้าของร่างกาย รอยสักต่าง ๆ บนร่างกายก็เหมือนกับงานศิลปะไม่ต่างอะไรกับผลงานบนผืนผ้าใบ แต่เปลี่ยนจากผ้าใบเป็นเนื้อมนุษย์เท่านั้นเอง

เมื่อหมอมาซาอิชิเสียชีวิตลงในปี 1956 เท่ากับว่าเขาตามเก็บสะสมรอยสักยาวนานกว่า 49 ปี ปัจจุบันคอลเลกชันผิวหนังมนุษย์ส่วนหนึ่งตกเป็นของคะสึนาริ ฟุคุชิ ผู้เป็นลูกชาย อีกส่วนถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีที่วิทยาลัยการแพทย์นิปปอนเพื่อใช้ต่อยอดการศึกษาและวิจัยต่อไป

What’s New Popup

สำหรับใครที่ต้องการเข้าชมผิวหนังเหล่านี้จะต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง พร้อมกับต้องแจ้งเจตจำนงอย่างชัดเจนว่าเข้าชมเพื่อศึกษาต่อยอดทางการแพทย์และประวัติศาสตร์ศิลป์ว่าด้วยการสักของญี่ปุ่น ใครจะคิดว่าแผ่นหนังมนุษย์ของแก๊งยากูซ่าจะมีมูลค่าและบอกเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งได้มากถึงขนาดนี้

SOURCE1 SOURCE2

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line