Life

คุยกับ ‘เกื้อ Pure Punk 100%’ ในฐานะ ‘มนุษย์’ คนหนึ่ง ที่ฝันอยากมอบความสุขให้กับโลกใบนี้

By: GEESUCH March 18, 2023

ย้อนเวลากลับไปประมาณ 10 ปีก่อนหน้านี้ ในช่วงเวลาที่เราได้ยินคำว่า ‘เน็ตไอดอล’ ไม่ต่ำกว่า 10-20 ครั้งในแต่ละวัน ช่วงเวลาที่โลกโซเชียลกำลังเบ่งบานอย่างสุดขีด (ในแง่ของการเข้าถึงทุกคน) นี่คือจุดเริ่มต้นของสถานะทางสังคมที่เป็นรากฐานของ Influencer ที่ไม่ว่าความหมายของมันจะถูกนิยามว่าอะไร แต่สำหรับสังคมไทยในตอนนั้นคือใครก็ตามที่ถูกพูดถึงหนาหูในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น จบ.

‘เกื้อ Pure Punk 100%’ คือหนึ่งในคนที่ถูกจัดอยู่ในคลื่นกระแสของสถานะข้างต้นที่เราเกริ่นมาด้วยเหมือนกัน เหตุผลว่าทำไม ? อาจจะสามารถยกคำพูดคลาสสิกของบ้านเราที่ว่า “คนไทยเป็นคนตลก” ขึ้นมาวางได้เลย เพราะถึงแม้ภาพของเกื้อ Pure Punk ที่มีการเสพยาจนถูกตำรวจนำตัวเข้าโรงพักจะดูน่ากลัวและเลวร้ายแค่ไหน ก็ไม่มีใครปฎิเสธได้ลงว่าเขากลับถูกมองเป็นตัวตลกของช่วงเวลานั้นมากกว่า  

“I’m เกื้อ Pure Punk 100%”

เมื่อคำแนะนำตัวสุดประกาศกร้าว ที่มาพร้อมกับท่ายิงปืนใส่หัวอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวจบลง เราสนใจคำว่า Pure Punk 100% ที่อยู่หลังชื่อเล่นของเขามาก ๆ อะไรคือความเพียวของชายที่ทั้งประเทศต่างหัวเราะใส่เขามาเป็นเวลาหลายปี และปัจจุบันก็ยังคงเรียกเขาด้วยชื่อ ‘พังก์พลาด’ อยู่ไม่ขาดสาย UNLOCKMEN อยากพาทุกคนอ้อมไปมองอีกด้านของชีวิตชายคนนี้ อย่างบริสุทธิ์ใจและให้เห็นเปลือกข้างใน ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่อยากแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในวัยเยาว์ โดยการมอบความสุขให้โลกใบนี้เท่าที่จะให้ได้ ไปพร้อมกัน


Part 1 : Born To Be Punk

“ชื่อจริงของผมคือนายกิตติเกื้อ แก่นพิมพ์ เกิดวันที่ 6 เดือน 6 ปี 1991” 

เกื้อเล่าให้เราฟังว่าชีวิตก่อนที่จะได้รู้จักกับพังก์ เขาก็เป็นเด็กชายเกื้อที่ใช้ชีวิตแบบธรรมดาเท่าที่เด็กคนนึงจะมี เล่นเกมที่ร้านกับเพื่อน ๆ หมุนโยโย่เล่นท่าอวดใส่กัน แต่ทว่า ช่วงหักเหของชีวิตเขาเกิดขึ้นเร็วมาก และมันคือเหตุการณ์ตอนที่เขากำลังขึ้นชั้นมัธยมในโรงเรียนแห่งหนึ่ง

“ผมเรียนในโรงเรียนคริสต์ตั้งแต่ประถม แต่ตอนม.1 อายุตอนนั้นประมาณ 13-14 ได้เห็นรุ่นพี่เล่นสเก็ตบอร์ด ได้เปิดโลกทัศน์ในการฟังเพลง รุ่นพี่เขาฟัง Blink-182 / Linkin Park / Slipknot แล้วตอนนั้นวงพวกนี้ดังในบ้านเรามาก ยังเป็นยุค CD อยู่เลย ตอนนั้นมันประมาณเลยปี 2000 ทีนี้รุ่นพี่เขาก็พามาเดินสวนจตุจักร ได้มาเห็นพังก์แล้วชอบเลย เห็นชาวพังก์เขารวมตัวกันที่จตุจักรตรงประตู 2 พอเห็นแล้วชอบก็ถามรุ่นพี่ว่าคืออะไร รุ่นพี่ก็บอกมันคือพังก์ สมัยนั้นเขาเรียก ‘Punk Oi!’ (Sub Genre ของดนตรีพังก์) ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าคืออะไร จะมารู้ตอนโตว่ามันเป็นศัพท์ ว่าคือ Skinhead Working Class (subculture ที่แสดงภาพของชนชั้นแรงงานหนุ่ม-สาวในประเทศอังกฤษช่วงปี 1960) แล้วก็เริ่มเจาะปากตั้งแต่เด็ก ใส่ก้านใส ๆ ผมน่าจะเป็นพังก์ตั้งแต่ตอนนั้น” 

ที่เราใช้คำว่า ‘ช่วงหักเหของชีวิต’ ในบรรทัดก่อนหน้า เพราะว่าวัฒนธรรมพังก์มีอิทธิพลต่อชีวิตของเกื้อในระดับที่เข้มข้นมาก

“พังก์มันเปลี่ยนทัศนคติ ผมเริ่มมีความขบถ-ขบถกับครอบครัวตัวเองเลยอันดับแรก ถ้าไม่ไปโรงเรียนวันไหนจะใส่จิลออกมา กางเกงจะเป็นขาเดฟหรือขาม้าเล็ก ฟีลแบบพังก์สเก็ตเลย ฟีลนั้นเลย”

“จากนั้นก็ดำเนินชีวิตเรื่อย ๆ จนจบ ม.3 ตอนนั้นอยากเรียนวิจิตรศิลป์แต่ที่บ้านไม่ให้เรียน ก็เลยไปสมัครที่เทคนิคฉะเชิงเทรา ติดช่างโทรคมนาคม แต่ก็ไม่ค่อยอยากเรียนก็ไม่ค่อยไป แล้วก็โดนที่บ้านไล่ออกจากบ้าน เพราะมันเกินเด็กแล้ว เจาะจมูกอะไรอย่างนี้ เจาะปากด้วย สักอีก”

ย้อนกลับไปนิดนึง ทำไมที่บ้านถึงไม่ให้เกื้อเรียนวิจิตรศิลป์ ?

“อาจจะคิดว่าศิลปินไม่น่าจะมีกิน แต่เราชอบศิลปะ เรายังไม่รู้เลยว่าการ Drawing ต้องทำอย่างไร ยังไม่รู้จักคำว่า Drawing เลยแต่คืออยากจะไปเรียนแล้ว เราเริ่มชอบศิลปะตั้งแต่ตอนไปคอนเสิร์ตที่สตูดิโอ125 ตรงสถานทูตฯไทยลาว มันมีงานหนึ่ง ที่เขาจัดโชว์ให้ทีม Preduce มาเล่นสเก็ตโชว์ มีวงฮาร์ดคอร์ Born From Pain มาเล่น แล้วเขาจะมีโปสเตอร์เป็นงานพังก์เขียนออกมาให้ดูด้วย ก็ชอบเลย” 

คำถามสำคัญที่เราอยากรู้ “พังก์ในตอนที่เพิ่งเป็นพังก์ใหม่  ๆ ของเกื้อมีความหมายว่าอะไร ?”

“เข้าใจว่ามันคือเรื่องของความไม่เท่าเทียมในสังคม เห็นอะไรไม่เท่าเทียมทางสังคม แล้วเราไม่เห็นด้วยนั่นก็คือความ ‘พังก์’ ในตัวเอง เห็นอะไรไม่เท่าเทียมในสังคมแล้วเราไม่ชอบมาก แค่นั้นคือพังก์แล้ว ในตอนนั้นผมคิดแบบนั้น”

“ปัจจุบันผมก็ยังคิดแบบนั้นอยู่นะ เหมือนที่ประเทศนี้เป็นก็ใช่ ผมว่าการที่เขาออกมาขับไล่คนคนหนึ่งที่ควรจะออกไปจากตำแหน่ง ผมว่านั่นแหละ พวกเขาคือพังก์”


Part 2 : Punk (ไม่) พลาด

ณ ขณะที่เรากำลังนั่งคุยถึงชีวิตที่ผ่านไปของเกื้อ ปัจจุบันเขาเดินทางมาถึงอายุ 32 ปีแล้ว พอได้ยินตัวเลขออกมาก็ต้องบอกว่าน่าตกใจไม่น้อย แสดงว่าการที่ทุกคนเห็นเขาในสื่อครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนนั้น เขาเป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่อายุยังน้อยมาก ๆ บทที่ 2 นี้ เราขอมอบให้กับความผิดพลาดในอดีตของ ‘Punk พลาด’ ที่เกื้อเองก็อยากลบภาพนั้นทิ้งในแบบที่เหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยได้ยิ่งดี

การใช้ชีวิตในแบของพังก์ในวัย 32 ปีของเราเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เติบโตขึ้นจากความขบถในอดีตไปอย่างไรบ้าง

“ในตอนนี้ ในอายุเท่านี้นะ จะฟิกซ์เรื่องงาน ทำตัวเบาลงมากเลยครับ เราเอางานไว้ก่อน ทั้งหมดเป็นเพราะเรื่องของโชคชะตาที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย มันคือโชคชะตาจากช่อง Jasmio Chanel ของ ‘มอส’ ที่ทำให้ผมได้มานั่งอยู่ที่นี่ ที่เรานั่งสัมภาษณ์กันอยู่นี้ ผมอยากให้ทุกคนมองว่าตอนนี้ผมคือมนุษย์คนหนึ่ง ที่ได้รับโอกาสจากมอส เขาให้ใจกับผมมาก ผมต้องทอนเขามากกว่านั้น ทั้งทำเพจให้ ให้ยืมทีมงานไปออกกอง พอได้ยอดวิวและเงินที่ได้จากสปอนเซอร์มา เขาแฟร์มากเลยนะ เขาเอาแค่ 30% เขาควรเอามากกว่านั้นด้วยซ้ำแต่เขาเอาแค่นี้ เพราะเขาอยากให้ผมได้รับชีวิตที่ดีบ้าง อยากเห็นผมมีชีวิตที่ดี ไม่รู้เขาเห็นอะไรในตัวผม แต่ผมจะไม่มีวันลืมเลย”

“แต่ผมก็ไม่ได้ลืมกำพืดตัวเองอย่างนั้นนะ ไม่ได้เข้าจตุจักรมาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนเข้าทุกเสาร์เลย เข้าไปหารุ่นพี่ที่นั่งรวมตัวกัน แล้วตอนนี้คือเรามั่นคงแล้ว เราดีขึ้นแล้วก็จะกลับไปหารุ่นพี่ เพราะว่าแต่ก่อนคำสอนที่เขาสอนมาผมไม่เคยฟังเลยนะ เขาสอนอย่าง ผมทำอีกอย่าง ซึ่งถ้าผมเชื่อเขาผมเกิดไปนานแล้ว ก็คืออาจจะมีมากกว่านี้ไปแล้ว”

ทำไมแต่ก่อนเราไม่ฟังใครเลย ? 

“พูดตรง ๆ เลยนะ ผมกล้ายอมรับในความเป็นตัวผม ผมกินยากล่อมประสาทเยอะมาก กินเยอะจนรั่ว รั่วจนพี่โทรตามให้แม่มาที่จตุจักรแล้วผมก็โดนแม่ตีที่นั่นเลย พอโดนแม่ตีเสร็จกลับบ้านก็โดนเมียตีซ้ำอีก เมียก็เป็นพังก์ คือเมายับ แขนหักด้วย เดินสะดุดขาตัวเองแล้วแขนหัก เราก็ยังคิดไม่ได้ เริ่มมาคิดได้ช่วงโควิดแรกเลยที่ทุกคนได้เงินจากรัฐบาล ตอนโควิดนั้นผมสู้กับมันมากเลยนะ ผมใช้หลักการของพังก์สู้เลยนะ ผมต้องไลฟ์สดขายเสื้อทุกวัน ผมได้วันละพันทุกวันเป็นขั้นต่ำของผม คนจะจำแต่ภาพลักษณ์เราที่เมาอย่างเดียว คนไม่จำภาพลักษณ์ดี ๆ เลย”

ถ้างั้นอะไรคือสิ่งที่คนไม่เคยเห็น ‘เกื้อ Pure Punk 100%’ และเราอยากให้เห็นมาโดยตลอด

“ผมน่ะ เคยทำเพลง ชื่อวง The ashtray และผมไปออกช่อง ‘สาระแน Channel’ มา คนไม่ได้จำภาพนั้นเลย ภาพของความจริงจังกับสิ่งที่เป็น” 

“ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมแสดงออกไปทางอินเตอร์เน็ตในอดีตมันไม่สมควรอย่างยิ่ง ผมจำได้เลยว่าในตอนนั้นมันจะมีเพจ ‘Youlike คลิปเด็ด’ ก็เอาคลิปผมนั่งดมแก๊สอะไรอย่างนี้ไปลง มันไม่ใช่เรื่องที่จะถ่ายหรอก แต่ผมก็ทำ ผมก็ไม่รู้ว่าผมทำทำไม แต่ผมทำไปแล้วผมก็ยอมรับตรงนั้น มันก็เป็นความผิดพลาด แต่ในความผิดพลาดมันก็ได้อะไรกลับมาทำให้เรามีชื่อขึ้นมา เป็น ‘เน็ตไอดอล’

แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเรียกผมว่าเน็ตไอดอล คำว่าไอดอลคน ต้องเป็นคนที่เป็นคนดี ไม่ใช่คนแบบนี้ คนแบบนี้ไม่ใช่ไอดอลของใคร คนแบบนี้ไม่ควรเป็นไอดอลของใคร พูดง่าย ๆ คือสังคมไทยแค่ใครมีชื่อเสียงก็เรียกเน็ตไอดอลหมดเลย เช่น บอกรักผัวอย่างนี้ ก็เป็นเน็ตไอดอลเหรอ ?

นี่คือสิ่งที่สังคมเราตอบรับกับนิยามเน็ตไอดอล คำว่าไอดอล 1.เป็นคนดี 2.ทำสิ่งดี ๆ ให้คนเห็น อย่างนั้นผมมองว่าเป็นไอดอล เพราะทุกวันนี้มันมีเยอะมากเลยนะคำว่าเน็ตไอดอล และผมเกลียดมากเลยคำนี้ เซเลปอะไรผมเกลียดมาก ผมเป็นพังก์ตัวหนึ่ง”

แต่ความจริงก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คลิปของเกื้อก็กลายเป็น Digital Footprint และภาพที่เขาอยากลบออกก็จะยังคงอยู่ตลอดไป ซึ่งนั่นอาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาอยากเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่น ทั้งคนที่ให้โอกาสเขาอย่างมอส และเหล่าผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตอยู่บนโลกอย่างยากลำบาก  

จนมาถึงตอนนี้ การใช้ชีวิตแบบ ‘พังก์’ สอนอะไรเกื้อบ้าง ทั้งในแง่ที่ดีและร้าย ?

“ในแง่ดีเลยนะ คือผมสแกนคนได้ง่ายขึ้นมากเลย ว่าใครมาแบบไหน ผมควรทอนกลับแบบไหน ได้เห็นความไม่เท่าเทียม คนไหนมาเอาเปรียบเราทอนกลับไปด้วยการเอาเปรียบกลับแบบไม่แคร์มันเลย ไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องใส่ใจมัน เดินหลีกเลี่ยงออกไปแล้วมองมันเป็นแค่ขยะ เหมือนที่คนอื่นเขามองผมเป็นขยะผมก็ไม่แคร์”

“แต่มันคงเป็นเพราะผมอายุ 32 ปี ผมผ่านงานมาแทบจะทุกรูปแบบแล้วด้วย แต่ก็ยังยึดติดในการเป็นเจ้านายตัวเอง เพราะไปทำงานเขาไม่รับ งานโรงงานหรืองานอะไรก็แล้วแต่ ถ้าล่าสุดถ้าจำไม่ผิด เมื่อปีที่แล้ว ไปทำ Lazada คลังสินค้า  แต่ผมก็อยู่ไม่ได้ แล้วกลับมาลงที่ขายเสื้อผ้า กลับมาด้วยความเป็นตัวเอง ความเป็น independent เลือกสิ่งที่ให้อิสระกับตัวเองมากที่สุด และอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน เราอยู่ใน safe zone ของเรา พังก์อย่างไรก็อยู่ใน safe zone ของผมไม่ระรานใคร แต่คนที่เจอผมแล้วพูดว่า คนนี้คนดัง ไอดอล เซเลป ผมก็ไม่สามารถไปด่าเขาได้ เพราะเขาอาจจะไม่เข้าใจในความคิดของเราหรอก ถ้าเราไปด่าเขาเขาก็จะมองเราว่าไม่ใช่แล้ว อาจจะโดนทอนด้วยหมัดหรือเท้ากลับมา”

สามารถพูดได้ไหมว่าชีวิตพังก์มันพาเรามาเจอสิ่งแย่ ๆ และสิ่งดี ๆ จนหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบทุกวันนี้ ?

“ใช่ครับ เราผ่านทั้งข้อดีข้อเสียมาหมดแล้วในชีวิตความเป็นพังก์ แล้วเราก็ควรจะหยุดข้อเสียนั้นได้แล้ว วัย 32 แล้วต้องหยุดแล้ว และเราได้รับโอกาสจากสังคม แต่บางทีผมก็ไปนั่งสะใจคอมเมนต์บางคอมเมนต์ที่ว่า เดี๋ยวนี้สังคมไทยเอาคนแบบนี้มาเป็นไอดอล มาเป็นคนแสดง คนเล่นหนังแล้วเหรอ แต่ผมจะเปลี่ยนให้ได้ครับ เราต้องเป็นอีกแบบหนึ่งแล้ว เราผ่านมันมาที่เราควรจะพอแล้ว เราอิ่มตัวแล้ว ผมใช้ชีวิตได้สุดแล้ว ความ bad ของผมสุดแล้ว ทุกวันนี้ผมทำอะไรออกมาผมอยากทอนความดีให้สังคมบ้าง”

ตอนนี้เราเปลี่ยนไปแล้ว เรามองชีวิตพังก์เป็นอีกแบบ ?

“ใช่ บางคนชอบที่ผมไม่สนใจโลก ไม่สนใจอะไร แต่ลึก ๆ ผมสนใจนะครับ ผมไม่อยากให้เด็กรุ่นหลังไปเจอคลิปสมัยก่อนที่ผมทำอะไรแย่ ๆ ผมกลัวเด็กจะทำตาม นั่นคือความผิดพลาดที่มันผิดพลาด มันไม่ควร บ้าหรือเปล่าไปดมแก๊สโชว์ แต่ตอนนั้นผมก็เด็ก ผมยังไม่ 20 เลย แล้วสักขนาดนั้นแล้ว ผมรู้สึกผิดนะไม่ใช่ไม่รู้สึกผิด ผมมีความเป็นคนนะ ไม่ใช่ไม่มี เพราะผมเคยเจอเด็กเดินมาบอกว่าผมชอบพี่มากเลย ตัวที่พี่กินนี่มันสุดยอดเลย ผมก็มานั่งนึกว่าทำไมวะ เราทำแบบนั้นทำไม เราทำเพื่ออะไร ถ้าเราทำเราก็ไม่ควรจะไปเปิดเผยเพราะผมมั่นใจเลยว่ามุมแบบนี้ทุกคนมันมีหมด แอบทำ แต่ตอนนั้นผมทำปุ๊บ ผมเปิดเผย ผมชัดเจน แต่ความชัดเจนของผม มันคือฆาตกรที่ทำให้คนที่ทำตามเขาอาจจะได้รับอิทธิพลมาจากเรา เพราะผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ เด็กที่ได้รับอิทธิพลจากเราทำ แล้วเราเสียใจมาก เรายื้อมันกลับมาไม่ได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าสักวันหนึ่งเมื่อเขาอายุเยอะขึ้นเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำตามผมมันผิดอย่างมาก”


Part 3 : Ready To Die

ชีวิต ความฝัน และความหวัง คือสิ่งที่เราคิดว่าตัวเองได้เข้าใจเกื้อมากขึ้นจากเดิมที่ไม่เคยรู้อะไรเลย แต่ทว่า ในใจของเรายังไม่สิ่งที่ไม่กระจ่างชัดอยู่ แล้ว ‘ความตาย’ ในวันที่เขาเป็นพังก์ที่ใช้ชีวิตเบาลงและแคร์คนรอบตัวมากขึ้นมันเป็นยังไง เขาจะกลัวที่จะต้องจากไปมากขึ้นตามไปด้วยมั้ยนะ 

“ผมไม่เคยกลัวตาย ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ เพราะว่ามันเป็นวัฏจักร ผมไม่มีศาสนาตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย การล้มป่วยมันเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว อย่าไปกลัวมัน คนหนึ่งที่ผมชอบมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือ Lemmy วง Motörhead พอรู้ว่าตัวเองเป็นโรคจะตายก็โด๊ปให้ตัวเองเสียชีวิตไปเลย เป็นมะเร็งปุ๊บก็เอาให้สุดไปเลย เอาให้ตายไปเลย ผมชอบตรงนี้แหละ เพราะยังไงเราก็หนีวัฏจักรไม่พ้น หนีความตายไม่พ้น แต่จะตายรูปแบบไหน ให้คนจดจำหรือตายให้คนสมน้ำหน้า”

ถ้าพูดแบบนี้ก็แสดงว่าโลกใบนี้น่าอยู่สำหรับเรา ?

“ใช่ โลกน่าอยู่ขึ้น เพราะว่าเราได้รับโอกาสจากสังคม โอกาสจากมอส น่าอยู่ขึ้นมากแล้วจากแต่ก่อนที่ผมขายเสื้อผ้า เมา ทำตัวไม่สนอะไร แต่ทุกวันนี้ เรามาทำ Content เราต้องถามต้องปรึกษาทีมก่อนว่าจะออกได้ไง มันจะเกิดข้อผิดพลาดอะไรไหม เพราะการทำคลิปการทำเพจสร้างรายได้มันหละหลวมไม่ได้ ถ้าหละหลวมอาจจะบินได้เลย ส่งผลกระทบต่อหลายฝ่ายด้วย ต่อน้องที่ถ่ายให้ ทีมงานที่ถ่ายให้ ต้องทำออกมาให้ดีที่สุดนั่นแหละครับ”

“และเราไม่ได้เกลียดโลกใบนี้ เพราะเราจะเกลียดมันไม่ได้ เราต้องเดินอยู่บนโลก หายใจบนโลก จะไปเกลียดโลกเพื่อ พวกเกลียดโลกทำตัวเพื่อดูเท่ไปอย่างนั้นแหละ สังคมที่เราอยู่ มันเป็นอย่างนี้มาทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว คนรวยจะมีสิทธิ์มากกว่าคนที่จนกว่า มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ยุคไหนแล้ว ซึ่งเราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เราเลือกจะไม่สนใจมันได้ เพราะกูคือพังก์ เพียวพังก์ 100% !”

เสื้อแบรนด์ ‘Pure Punk 100%’

แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เราอยากตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในทุกวัน เรายึดเหนี่ยวในอะไร ?

“อยากสร้างความสุขให้กับคน มันถึงเวลาที่ผมต้องสร้างความสุขให้คน ต้องมอบรอยยิ้มให้คนแล้ว ไม่ใช่มอบเรื่องแย่ ๆ ให้เด็กสมัยใหม่ดู มันไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ผมแล้ว”

ชอบตัวเองในตอนนี้มั้ย ?

“รู้สึกชอบครับ เพราะว่ามันโอเคแล้ว เราได้ช่วยที่บ้านมากกว่าเดิมมากด้วย ทั้งที่ผมไม่ได้อยู่กับเขา ผมกลับบ้านทีผมก็จะหอบเงินให้เขา จากงานที่ได้รับมา แต่ก็ไม่ได้ให้หมดนะ หรือถ้าเขาเดือดร้อนอะไรก็โทรหา คนแก่น่ะ ถ้าให้หมดไปเดี๋ยวเอาไปเล่นหวย ให้แล้วต้องคอยบอกว่าเงินที่หนูให้อย่าเอาไปใช้ในทางแบบนี้นะ”

คำถามสุดท้าย ถ้าสมมติเราย้อนเวลากลับไปบอกตัวเองในวัยเด็กได้ จะพูดอะไรกับตัวเองบ้าง ?

“ไอ้หนู ชีวิตคนเราน่ะ ตายได้ 24 ชั่วโมงนะ สร้างความดีไว้ อย่าสร้างตราบาป อย่าโชว์ อย่าซ่า อย่าทำความเหี้ยให้คนจดจำ ให้คนเขาจดจำเราในแบบความดี”


รูปโดย : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line