

Girls
‘รักคือสิ่งสมมติ เซ็กซ์คือวรรณกรรม’คำ ผกาผู้คิดว่าเซ็กซ์ต้องมีอินโนเวชันไม่ใช่สัจธรรมตายตัว
By: PSYCAT February 13, 2020 175335
คุณเคยเปรียบเซ็กซ์เป็นอะไรบ้าง? อาหารรสจัดจ้านสวาปามเท่าใดก็ไม่เบื่อ หนังเรื่องเก่าฉายซ้ำมาตั้งแต่วัยรุ่นให้ดูซ้ำอีกก็ได้ แต่ดูทีไรก็เดาตอนจบได้ทุกที หรือเซ็กซ์คือทันฑ์ทรมาน ไม่เคยใช่ ไม่เคยมีความสุข รู้สึกราวตกนรกทั้งเป็นมากกว่า
ต่างคนต่างมีนิยามของเซ็กซ์ที่ต่างกันไป สำหรับ “คำ ผกา” หรือ “แขก-ลักขณา ปันวิชัย” คอลัมนิสต์ นักเขียน พิธีกร เธอมองว่า “เซ็กซ์คือวรรณกรรม” วรรณกรรมที่เราล้วนต้องอ่านเพื่อรู้จักคนอื่น รู้จักตัวเอง วรรณกรรมที่เราใช้ประสบการณ์ในการตีความ ไม่มีผิด ไม่มีถูก เช่นที่เราอ่านวรรณกรรมในแบบของตัวเราเอง
“เซ็กซ์คือวรรณกรรม”
ในขณะที่เธอมองว่าความรักเป็นสิ่งสมมติ หากปราศจากเรื่องเล่า ความทรงจำ ความสัมพันธ์ ความห่วงใย ความรักอาจไร้ตัวตนก็เป็นได้ แต่เพราะทุกองค์ประกอบทั้งเล็กและใหญ่ความรักจึงกลายเป็นความรักอย่างที่เราเชื่อ
แล้วคุณล่ะ? เชื่อว่ารักและเซ็กซ์คืออะไร ยังไม่ต้องรีบตอบตอนนี้ แต่มาดื่มด่ำบทสนทนาว่าด้วยรัก เซ็กซ์ ความสัมพันธ์กับ คำ ผกา ไปพร้อมกัน แล้วตอนนั้นค่อยตอบก็ยังไม่สาย …
เพราะเดือนนี้ (ถูกอุปโลกน์ขึ้นว่า) เป็นเดือนแห่งความรัก ต่อให้เราตั้งใจมาสนทนาว่าด้วยเซ็กซ์ ความสัมพันธ์กับเธอเป็นหลัก แต่ก็ไม่วายต้องวกไปถามนิยามความรักของเธอจนได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอเคยบอกไว้ว่าเธอไม่เชื่อในความรัก แต่ไม่เชื่อก็ส่วนไม่เชื่อ คล้ายบางคนที่ไม่เชื่อในประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง
เมื่อคำ ผกาไม่เชื่อในความรัก แล้วความรักของเธอนั้นมีอยู่จริงไหม? และหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่?
“พี่ไม่ได้บอกว่าความรักไม่มีจริง เพียงแต่ว่าความรักมันไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศด้วยตัวของมันเอง มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ก่อให้เกิดความรู้สึกสมมติ ความรู้สึกสมมติที่เราเรียกมันว่าความรัก”
“ความรักจับต้องไม่ได้ เวลาเราอยากอยู่กับใครสักคนเราก็ไม่แน่ใจว่าเราอยากอยู่กับคนนั้นเพราะความรักหรือเราอยู่กับคนนั้นเพราะหลาย ๆ อย่างประกอบกัน? อาจอยู่ด้วยกันเพราะนิสัยเข้ากันได้ ท้ายที่สุดแล้วความรักมันไม่ใช่องค์ประกอบหลัก แต่ถามว่าให้พี่ตอบว่าความรักคืออะไรพี่ตอบไม่ได้จริง ๆ นะ”
“พี่ไม่ได้บอกว่าความรักไม่มีจริง เพียงแต่ว่าความรักมันไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศด้วยตัวของมันเอง มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ก่อให้เกิดความรู้สึกสมมติ ความรู้สึกสมมติที่เราเรียกมันว่าความรัก”
“แต่ถามว่าเราอยากอยู่กับคนนี้ เพราะเราอยู่กับคนนี้แล้วคุยกันรู้เรื่อง อยู่กับคนนี้แล้วเราไม่มีความลำบากใจ อยู่กับคนนี้แล้วเราไม่ถูกเอาเปรียบ อยู่กับคนนี้แล้วเราจะไม่เจ็บตัว ไม่โดนทำร้าย อยู่กับคนนี้แล้วมีความยุติธรรมระหว่างกัน อยู่กันแบบแฟร์ ๆ ไม่มีใครเอาเปรียบใคร
ไม่มีใครเอาเปรียบใครไม่ได้แปลว่าทุกอย่างหารสองนะคะ แต่ในความแฟร์นี้มันอาจมีคนหนึ่งจ่าย 100% แล้วอีกคนจ่ายศูนย์บาท แต่สำหรับเขาสองคน เขา Compensate กันด้วยเรื่องอื่นสำหรับคนที่ไม่จ่ายเงิน มันก็เป็นความแฟร์ในแบบของเขา เพราะฉะนั้นความแฟร์ในที่นี่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคู่ออกแบบความแฟร์ของตัวเองกันว่ายังไง”
“ความแฟร์มันไม่ใช่ความแฟร์แบบค่าน้ำ ค่าไฟหารกันคนละครึ่งแล้วจบ เพราะฉะนั้นพี่ซึ่งในวัย 48 ปีนี้ เลยตั้งคำถาม เหมือนมันต้อง Revisit ว่าความหมายของความรักคืออะไรกันแน่?”
“สมมติเรารักแม่เรา มันสามารถอธิบายได้ว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้น หนึ่งมันถูกกำกับด้วยสายเลือด กำกับด้วยการที่เขาเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก กำกับด้วยสิ่งที่เขาทำให้เรามันล้วนเป็นสิ่งที่ดี ความห่วงใยที่เขามีต่อเราเป็นความห่วงใยที่ไม่มีเงื่อนไข เราเลยรู้สึกว่าทั้งหมดที่เขาทำให้เรา เราก็อยากให้ในสิ่งเดียวกันนั้นกลับไป แล้วบางทีเราก็เรียกสิ่งนี้ว่าความรัก ถูกไหม?”
“ทีนี้เมื่อเรารักกับคนที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันมาเป็นตัวกำหนด ก็แปลว่าจะต้องเป็นความรักนอกความเป็นครอบครัว ที่ไม่ใช่ พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง เพราะเอาเข้าจริงพี่น้องท้ายที่สุดก็อาจไม่ได้รักกัน
เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่งความรักมันเป็น Reciprocal ใช่ไหม? ความรักไม่อาจเกิดขึ้นโดยฝ่ายเดียว เราอาจจะถูกใจใครสักคน เหมือนเราเดิน ๆ ไป เจอคนนี้ หน้าตาถูกใจเรา คนนี้กลิ่นถูกใจเรา คนนี้มีโพรไฟล์ถูกใจเรา คนนี้มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ถูกใจเรา หรือคนนี้มีหลาย ๆ อย่างที่ประกอบกันแล้วมันถูกใจเรา แต่นั่นมันยังไม่ใช่ความรักไง”
“ความรักไม่อาจเกิดขึ้นโดยฝ่ายเดียว คนนี้มีหลาย ๆ อย่างที่ประกอบกันแล้วมันถูกใจเรา แต่นั่นมันยังไม่ใช่ความรักไง”
“ความรักมันจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อคนนั้นถูกใจเรา เราถูกใจคนนั้น คนนั้นถูกใจเราแล้วจึงไปสานความสัมพันธ์ แล้วระหว่างที่ไปสานความสัมพันธ์ คนนั้นทำอะไรบางอย่างที่ดี ๆ ให้กับเรา แล้วเราทำอะไรบางอย่างที่ดีพอกันให้กับเขา
พอมันเป็นการให้และการรับ ก็จะเกิดสิ่งที่เหมือนที่พี่พูดว่าทำไมเรารักแม่ เพราะแม่ทำอะไรดี ๆ ให้กับเราไง แล้วเราก็อยากทำอะไรดี ๆ กลับคืนให้กับแม่ เขามีความห่วงใยให้กับเรา เราก็ให้ความห่วงใยกลับคืนไปกับเขาเช่นเดียวกัน
เมื่อเป็นความสัมพันธ์ เมื่อมีการให้และการรับในระนาบที่มีความพึงพอใจต่อกันทั้งสองฝ่าย มันจึงเกิดสิ่งที่สมมติเรียกว่าความรักซึ่งมันมาพร้อมกับความผูกพัน มาพร้อมกับความทรงจำบางชุด พอคุณเริ่มสร้างความสัมพันธ์ไปสัก 6 เดือน ปีนึง คุณก็จะมีความทรงจำดี ๆ ต่อกัน แล้วสำหรับพี่ ความทรงจำนั้นแหละคือก่อกำเนิดแห่งความรัก”
“เมื่อเป็นความสัมพันธ์ เมื่อมีการให้และการรับในระนาบที่มีความพึงพอใจต่อกันทั้งสองฝ่าย มันจึงเกิดสิ่งที่สมมติเรียกว่าความรัก”
“ทำไมเราถึงไม่อยากสูญเสียคนคนนี้ไป มันก็จะมีโมเมนต์ดี ๆ ที่เขาทำอะไรดี ๆ ให้เรา เขาก็ไม่อยากสูญเสียเรา เพราะว่าเขาก็เกิดสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำเกิดขึ้น”
“เวลาเราบอกว่ามันเกิดความรักขึ้น มันจึงผ่านองค์ประกอบเหล่านี้ด้วย มีอดีต ปัจจุบันที่ดีต่อกัน แล้วคนสองคนมองเห็นอนาคตอะไรบางอย่างด้วยกันข้างหน้า เหล่านี้มันจึงถักทอออกมาเป็นก้อนหนึ่งของอารมณ์ความรู้สึกที่มวลมนุษยชาติเรียกมันว่าความรัก”
“ถ้าข้อใดข้อหนึ่งมันตกหล่นสูญหายไป เช่น มันเริ่มเกิดความทรงจำที่เลวร้าย มันเกิดจากการให้และรับ ที่ไม่สมดุลกัน ไม่เท่ากัน มันจินตนาการถึงอนาคตที่ไม่ตรงกัน ความรักมันก็ไม่มีอยู่ ความรักนั้นซึ่งเคยมีมันก็จะหายไป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
เพราะคนเราก็อาจจะเปลี่ยนไปตามวัย ตามสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนที่ทำงานก็อาจจะเปลี่ยนแฟนได้ ไม่ใช่เพราะเราเลว แต่เพราะเราไปเจอแลนด์สเคปใหม่ ๆ ที่ทำให้บางสิ่งบางอย่างในตัวเราเปลี่ยนไป”
“เปลี่ยนที่ทำงานก็อาจจะเปลี่ยนแฟนได้ ไม่ใช่เพราะเราเลว แต่เพราะเราไปเจอแลนด์สเคปใหม่ ๆ ที่ทำให้บางสิ่งบางอย่างในตัวเราเปลี่ยนไป”
ถ้าเราสามารถหยิบความรักมาใส่ตะกร้าสักใบ แล้วจับเอาเซ็กซ์มาใส่ตะกร้าอีกหนึ่งใบวางไว้ไม่ไกลกัน เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะแปะป้ายตีตราให้ความรักชัดเจนว่า “บริสุทธิ์ งดงาม สูงส่ง หอมหวาน” ในขณะที่ตะกร้าที่บรรจุเซ็กซ์ไว้อาจมีป้ายยู่ยี่ขมุกขมัวทำนองว่า “ไม่บริสุทธิ์ ไม่งดงาม เต็มไปด้วยตัณหาราคะ”
คล้ายเราถูกใครก็ไม่รู้หล่อหลอมมาว่าความรักนั้นแสนบริสุทธิ์ในตัวเอง พอ ๆ กับที่เซ็กซ์ช่างสกปรกจนไม่ควรเข้าใกล้ และเราจะได้รับอนุญาตให้มีเซ็กซ์ที่บริสุทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อเซ็กซ์นั้นต้องเริ่มต้นจากความรักเท่านั้น เซ็กซ์ที่ปราศจากความรักในนิยามของหลายคนจึงกลายเป็นเรื่องผิดบาปถูกโยนลงตะกร้า “ไม่บริสุทธิ์ ไม่งดงาม เต็มไปด้วยตัณหาราคะ”
แต่ คำ ผกา มองต่างออกไป…
“นับตั้งแต่ที่เราคิดค้นยาคุมกำเนิดและถุงยางอนามัยได้ เซ็กซ์กับความรักก็ถูกแยกขาดออกจากกันโดยสิ้นเชิง เพราะก่อนที่เราจะมีวิทยาการว่าด้วยการคุมกำเนิด เซ็กซ์มันถูกกำกับด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยี ว่าถ้าเราไปมีเซ็กซ์กับใครสักคน มันมีโอกาสสูงมากที่เราจะมีลูกกับคนคนนั้น
ทีนี้เราถ้าเราต้องมีลูกกับคนคนนั้น มันก็ย่อมมีความเสี่ยงสูงมากที่เราจะต้องใช้ชีวิตกับคนคนนั้นไปตลอด ดังนั้นเราจึงไม่สามารถไปมีเซ็กซ์กับใครที่เราไม่ได้อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยตลอดไปได้”
“สมมติว่า ณ เวลานี้ยังไม่มีวิทยาการคุมกำเนิด แล้วเรารู้สึกว่าคนนี้เราอยู่ด้วยไม่ได้ แต่ถ้ากูไปนอนกับมัน กูก็ต้องจับพลัดจับผลูไปมีลูกกับมัน ดังนั้นโลกในยุคที่วิวัฒนาการการคุมกำเนิดยังไม่เกิดขึ้น แปลว่าผู้หญิงก็ยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ความสัมพันธ์ โครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมก็ไม่ได้เอื้อให้เกิด Single Mom ไม่ได้เอื้อให้เกิด Single Dad”
“เซ็กซ์ในอดีตมันถูกเอาไปผูกกับยูนิตของ Family มีเรื่องที่ดิน สัตว์เลี้ยง ปศุสัตว์ ร้อยรัดกันอยู่ ยาคุมก็ไม่มี ถุงยางก็ไม่มี ยูนิตของครอบครัวยังต้องเกี่ยวพันกับยูนิตของไร่นา ปศุสัตว์ เพราะฉะนั้นมันยากมากที่เราจะเที่ยวไปมีเซ็กซ์เรื่อยเปื่อย เพราะมันเสี่ยงที่เราจะมีลูก
แล้วถ้าเรามีลูกมันก็จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน มันจะเป็นเรื่องของครอบครัว ของตระกูล ของเผ่า หรือยิ่งถ้าเราเป็นเผ่าเร่ร่อนอีก คราวนี้มันจะไปกันใหญ่เลย ดังนั้นในโลกยุคหนึ่ง พี่ไม่แน่ใจว่าเขาอธิบายหรือเปล่าว่าเซ็กซ์ควรจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความรัก แต่เซ็กซ์คืออันหนึ่งอันเดียวกันกับสร้างยูนิตใหม่ของครอบครัว การสร้างยูนิตใหม่ของสินทรัพย์ครอบครัว”
“แล้วในโลกอีกยุคหนึ่งที่เริ่มเป็นเรื่องของศาสนาแล้ว คือในสังคมที่มันเป็นศาสนจักรแบบแคทอลิกเป็นใหญ่ ก็แน่นอนว่าการคุมกำเนิดนั้นผิดกฎหมาย จึงมีคำอธิบายว่าเซ็กซ์ที่ดีต้องเป็นเซ็กซ์ที่เกิดจากความรัก เพราะมันต้องเป็นเซ็กซ์ที่นำไปสู่การสร้างครอบครัว จะต้องเป็นเซ็กซ์ที่ไปสู่การมีลูก เซ็กซ์ที่นำไปสู่การดำรงไว้เพื่อเผ่าพันธุ์ เพราะเขาต้องการให้ยูนิตของครอบครัวมั่นคงเพื่อไปสนับสนุนโครงสร้างของรัฐและศาสนา มันไม่อาจจะเป็นเซ็กซ์ที่เกิดขึ้นเพื่อความบันเทิงอย่างเดียวได้”
“คำอธิบายว่าเซ็กซ์ที่ดีต้องเป็นเซ็กซ์ที่เกิดจากความรัก เพราะมันต้องเป็นเซ็กซ์ที่นำไปสู่การสร้างครอบครัว จะต้องเป็นเซ็กซ์ที่ไปสู่การมีลูก เซ็กซ์ที่นำไปสู่การดำรงไว้เพื่อเผ่าพันธุ์ เพราะเขาต้องการให้ยูนิตของครอบครัวมั่นคงเพื่อไปสนับสนุนโครงสร้างของรัฐและศาสนา”
“แต่หลังจากที่มีวิทยาการการคุมกำเนิด คนก็สามารถกบฎ หรือ Liberate ตัวเองจากข้อจำกัดหรือข้อห้ามทางศาสนาได้ ประกอบกับเทคโนโลยีหรืออุตสาหกรรมที่เอื้อให้ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน พึ่งพาตัวเองทางเศรษฐกิจได้ ผู้ชาย ก็สามารถเป็นอิสระจากกงสี จากครอบครัวได้ แล้วก็มียาคุม มีถุงยางอนามัยเข้ามา คราวนี้เซ็กซ์มันก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปเพื่อจะมีลูก หรือไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปเพื่อสร้างยูนิตใหม่ของครอบครัวอีกต่อไป”
“เซ็กซ์เพื่อเซ็กซ์มันจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ ก็เลยจะบอกว่า เมื่อวิทยาการแห่งการคุมกำเนิดมาไกลถึงเพียงนี้ คุณสามารถฝังยาคุมแล้วอยู่ได้เป็นปี ก็ควรจะตกผลึกได้แล้วว่าเราสามารถมีเซ็กซ์ For Fun ได้นะ มีเซ็กซ์เพื่อความบันเทิง ความสนุก ความรื่นรมย์ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับความรัก
แต่เซ็กซ์ที่ไม่ได้มีความรักไม่ได้แปลว่าต้องไม่มี Consent นะ เรื่องเดียวเลยที่ทำให้เราสามารถแยกเซ็กซ์ออกจากความรักได้ก็คือวิทยาการว่าด้วยการคุมกำเนิดทั้งเซ็กซ์”
เซ็กซ์เพื่อเซ็กซ์ ไม่ใช่เซ็กซ์เพื่อรัก เพื่อครอบครัว เพื่อรัฐ หรือเพื่ออะไร แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องยินยอมพร้อมใจกันทั้ง 2 ฝ่าย (หรือหลายฝ่าย) นี่คือสิ่งที่คำ ผกา บอกเราในวันนี้ เราเชื่อว่าใครอีกหลายคนก็เชื่ออย่างที่เธอเชื่อ แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าแล้วถ้ามีคนที่ไม่เชื่อล่ะว่าเซ็กซ์ก็เป็นเซ็กซ์ ไม่ต้องสัมพันธ์กับรักก็ได้? คำ ผกา อยากบอกอะไรกับคนเหล่านั้น?
“พี่ว่าเราก็ต่างคนต่างอยู่ไหม ถ้ามีความสุขแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ สำหรับพี่ ถ้าดูชีวิตพี่ทั้งหมด พี่ก็ต้องขอบคุณคนที่คิดยาคุม คนที่คิดถุงยางอนามัย ที่ Liberate มนุษยชาติ ออกจากข้อจำกัดของการมีเซ็กซ์เพื่อการมีสถาบันครอบครัวเท่านั้น
เขาอุตส่าห์คิดมาขนาดนี้แล้วยังจะเอาตัวเองไปไว้ในมายาคติแบบที่คุณชอบ มันก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ มันเป็นเรื่องของคุณ คือถ้าสบายใจแบบนั้นก็ไม่ว่ากัน แต่อย่ามายุ่งกับกู”
“ถ้าสบายใจแบบนั้นก็ไม่ว่ากัน แต่อย่ามายุ่งกับกู” ประโยคนี้ของเธอสะท้อนไปมาในหัว พร้อมเสียงหัวเราะร่วนของเราทั้งคู่ที่ดังขึ้นพร้อมกัน…
ถ้าจะพูดเรื่องเซ็กซ์ในเดือนแห่งความรัก แล้วไม่พูดเรื่อง “วัยรุ่นเสียตัวในวันวาเลนไทน์” ก็อาจถือว่าพลาดอะไรบางอย่างไป ในสังคมที่พากันเชื่อว่าวัยรุ่นจะแห่ไปมีเซ็กซ์กันในวันแห่งความรัก และผู้ใหญ่เอย หน่วยงานของรัฐเอยก็พากันมากำกับดูแล ขีดเส้นห้ามไว้ว่า “ยังไม่ถึงวัยอันควร”
คำ ผกา กลับมองว่ามันก็เหมือนฤกษ์ขึ้นบ้านใหม่ของคนแก่ ๆ นั่นแหละ เราต่างก็ล้วนอยากมีวันสำคัญ วันมหาฤกษ์ที่ดีงามไว้สำหรับสิ่งที่มีความหมายของตัวเองกันทั้งนั้น เซ็กซ์ในวันแห่งความรักก็เช่นกัน เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของสิ่งที่น่าจดจำของพวกเขา แต่ที่สำคัญกว่าการห้าม คือการแนะนำให้วัยรุ่น (และทุกวัย) มีเซ็กซ์อย่างปลอดภัยต่างหากหรือเปล่า?
“พี่ว่าการที่เราจะมีเซ็กซ์ในโอกาสพิเศษมันก็เหมือนฤกษ์ไง มันเป็นฤกษ์ มันจะได้มีหมุดหมาย ชีวิตมันจะได้มีสตอรี่ ถ้าเกิดพี่ไปมีเซ็กซ์กับแฟนในวันอื่นที่มันไม่ใช่วันที่มีความทรงจำ เหมือนที่พี่บอกความรักมันหล่อเลี้ยงด้วยความทรงจำ เพราะฉะนั้นก็ต้องเลือกวันที่มีสตอรี่ให้ความรักนิดนึง ทีนี้วันวาเลนไทน์มันก็ Good Story และ Good to Remember ถูกไหม? จะไปว่าอะไรเขา มันก็ธรรมดาของวัยรุ่น”
“สิ่งที่รัฐควรจะคอนเซิร์น 2 เรื่อง ก็คือควรจะมีแคมเปญเรื่อง Consentual Sex กับ Safe Sex และถ้าท้องโดยไม่พร้อม ต้องติดต่อที่ไหนที่เขาจะติดต่อได้อย่างเป็นมิตร การยุติการตั้งครรภ์ หนูลูก ประจำเดือนขาด 3-4 วัน หนูรีบไปตรวจ แก้ไขได้ อะไรแบบนี้ ท่าทีของรัฐควรเป็นแบบนี้”
“มีเซ็กซ์แล้วมันไม่โอเค ก็ไม่เป็นไร ชีวิตหนูไม่ได้ล่มสลาย แล้วถ้าดูมีแนวโน้มจะท้องให้รีบมาคุยกัน รีบมาปรึกษากัน จะได้รีบหาทางแก้ไข การยุติการตั้งครรภ์ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของชีวิตผู้หญิง นี่ค่ะ รัฐต้องทำอะไรแบบนี้”
ถ้าความรักสำหรับคำ ผกา คือสิ่งสมมติ เราก็ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ว่าเซ็กซ์สำหรับเธอคืออะไร? เพราะจากมุมของเธอความรักอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์หรือไม่ก็ได้ (คนเราอาจอยู่กันเพราะคุยถูกคอ เพราะแฟร์ต่อกัน หรือห่วงใยกัน ซึ่งสมมติรวม ๆ ว่าเป็นความรัก)
แต่เซ็กซ์นั้นคือส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ที่ทำให้เธอมีความสุข จนครั้งหนึ่งเธอเคยบอกไว้ว่า “แขกไม่สามารถรักใครได้ทั้งหมด ตราบใดที่ยังไม่เคยมีเซ็กซ์กับคนคนนั้น” เราถือโอกาสถามย้ำ เพื่อฟังขยายความคำตอบจากเธอชัด ๆ
“ใช่ เพราะความรักมันต้องมาจากการที่เราอยู่กันแล้วมีความสุข และเซ็กซ์มันก็เป็นพาร์ตหนึ่งของการอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข เกิดเขาทำฝ่ายเดียวแล้วไม่ให้เราทำ หรือเขาปล่อยให้เราทำอย่างเดียวแล้วเขาไม่ทำ มันก็ไม่มีการให้และการรับ นึกออกไหม?”
“พี่คิดว่าเซ็กซ์มันบอกนิสัยลึก ๆ ของคน มันบอกบาดแผลในใจ มันบอกทั้งจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก สิ่งที่เขาถูกครอบงำมาจากวัยเด็กมันจะถูกถ่ายทอดผ่านภาษาในขณะที่เรา Make Love กัน ทำให้เห็นการหล่อหลอมว่าคุณถูกหล่อมหลอมเรื่องเซ็กซ์มายังไง สิ่งเหล่านี้ส่งผ่านภาษาในขณะที่มีกิจกรรมทางเพศกัน”
“สำหรับพี่เซ็กซ์เหมือนวรรณกรรมเล่มหนึ่ง ที่จะทำให้เรารู้จักคนนั้นดีขึ้น ถ้าเราถามว่าคุณเป็นคนยังไง ทุกคนก็ต้องบอกว่าฉันเป็นคนดี ถูกไหม?
สิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น สิ่งที่คนอื่นเห็นว่าเราเป็น กับสิ่งที่เราเป็นจริงมันมักจะเป็นสิ่งที่คนอื่นก็ไม่เห็น และตัวเราก็ไม่รู้ แต่มันจะแสดงออกโดยไม่ตั้งใจ แต่คนที่อ่านเขาก็จะเห็น ซึ่งก็เหมือนเราอ่านวรรณกรรม เราก็อ่านเล่มนั้นผ่านประสบการณ์ของเรา แล้วเราก็ตีความมันออกมา”
“เซ็กซ์คืองานวรรณกรรม เราก็อยากจะอ่านเพื่อรู้จักเขาดีขึ้น เราอาจได้รู้จักตัวเขาในแบบที่เจ้าตัวยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นคนแบบนี้ ซึ่งเราก็ตีความวรรณกรรมเล่นนั้นด้วยประสบการณ์ของเรา ไม่ว่าจะตีความผิดหรือถูกก็เป็นความรับผิดชอบว่าเราอ่านเก่งหรือเปล่า เราถึงต้องอ่านเยอะ ๆ ไง”
“สำหรับพี่เซ็กซ์เหมือนวรรณกรรมเล่มหนึ่ง ที่จะทำให้เรารู้จักคนนั้นดีขึ้น … ซึ่งเราก็ตีความวรรณกรรมเล่มนั้นด้วยประสบการณ์ของเรา ไม่ว่าจะตีความผิดหรือถูกก็เป็นความรับผิดชอบว่าเราอ่านเก่งหรือเปล่า? เราถึงได้ต้องอ่านเยอะ ๆ ไง”
“แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่ต้องการอ่านก่อน เพราะว่ามันยาก คือถ้าแต่งงานแล้วก็เกิดภาวะจำยอม ซึ่งก็ง่ายไปอีกแบบนะ คนจำนวนมากก็ชอบแบบนี้นะ แบบที่ชอบไม่ชอบก็ต้องอยู่กันไป”
“มันเหมือนคนซื้อบ้าน อย่างเราเราไม่ชอบซื้อบ้านสำเร็จรูป เราอยากออกแบบบ้านเอง เราไม่ชอบงานบิลต์อินสำเร็จรูปมาตั้ง ๆ เราก็จะต้องผ่านการทดลองเยอะหน่อย ลองผิด ลองถูก
ในขณะที่บางคนก็พร้อมซื้อเลย ดูโบว์ชัวร์แล้วก็ซื้อได้เลย เพราะไม่อยากเสียเวลาลอง ซื้อแล้วก็สามารถปรับตัวให้อยู่ได้ ก็ดูแค่คร่าว ๆ ว่าทำเลได้ไหม ราคาได้ไหม โพรไฟล์ที่ทำบ้านเชื่อถือได้ไหมก็จบ น้ำไหล ไฟสว่าง ก็พอ แม้จะมีหลายอย่างที่ไม่ชอบในบ้านหลังนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราปรับตัวได้”
“คนเราไม่เหมือนกัน เราจะไปบอกว่าวิธีของเราดีกว่าก็ไม่ได้”
“คนเราไม่เหมือนกัน เราจะไปบอกว่าวิธีของเราดีกว่าก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นบางคนก็อาจจะรู้สึกว่าถ้าไปลองก่อนแล้วเกิดไม่ชอบขึ้นมาแล้วชีวิตกูยาก กลัวที่จะต้องเจอของที่ไม่ชอบไปเรื่อย ๆ สู้ ไปเสี่ยงหลังแต่งงาน แล้วมัน No Way Out ก็มีแต่จะต้องปรับตัวเข้าหากัน ซึ่งว่าไม่ได้นะคะ มันก็ไม่ใช่วิธีที่แย่”
“ก็แค่ถามตัวเองว่าชอบแบบไหน ชอบซื้อบ้านสำเร็จรูป หรือชอบออกแบบบ้านทั้งหมดเอง หรือจะเป็นแนวอยู่คอนโดไปเยอะ ๆ ก่อน จนประสบการณ์เยอะ เช่าบ้านอยู่หลาย ๆ แบบแล้วกูรู้แล้วว่าบ้านแบบไหนที่กูอยากอยู่แล้วไปสร้างเอง”
นิยามก็คือนิยาม แต่เมื่อเนื้อต้องเนื้อ เรือนร่างแนบเรือนร่าง เซ็กซ์ที่ดีและเซ็กซ์ที่รื่นรมย์ตามทัศนะส่วนตัวของเธอจะเป็นแบบไหน? เราถามซื่อ ๆ แอบหวังจะได้ฟังคำตอบโลดโผน
แต่เธอเปรียบเทียบเรียบง่ายว่าความต้องการของมนุษย์มันก็เหมือนระบบ IOS นั่นแหละ ใครจะไปบอกแทนคู่ใครได้ เธอมองว่าแต่ละคู่ต้องสื่อสารกันเป็นประจำ ต้องคอยอัปเดต IOS เรื่องเซ็กซ์ต่อกันและกันเสมอ เพื่อไม่ให้ตกหล่น ตกรุ่น
“ยังไงถึงเรียกว่ารื่นรมย์? ทีนี้เราก็ไม่รู้ว่ารื่นรมย์ของเรากับรื่นรมย์ของคนอื่นไง เพราะฉะนั้นแต่ละคู่ต้องไปหาเอาเอง มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะคุยกัน
คนเราไม่ได้เหมือนเดิมทุกวันไอ้สิ่งที่มันเคยสร้างความรื่นรมย์เมื่อ 5 ปีที่แล้ว กับสิ่งที่ทำให้เรารื่นรมย์วันนี้ก็อาจไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแต่ละคู่หรือจะคี่ หรือเป็นพหูพจน์เยอะ ๆ เลยก็ได้ สำหรับคนที่มีเซ็กซ์ กับคนหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกัน
ต้องทบทวนกันบ่อย ๆ ว่าเดี๋ยวนี้เราอาจไม่ได้ชอบแบบนี้แล้วนะ เราเปลี่ยนไปแล้ว เดี๋ยวนี้จุดเสียวเราย้ายไปที่อื่นแล้วนะ มันก็ต้องทบทวนกันบ่อย ๆ มันก็เหมือนระบบ IOS ก็ต้องอัปเดตกันบ่อย ๆ”
“เดี๋ยวนี้เราอาจไม่ได้ชอบแบบนี้แล้วนะ เราเปลี่ยนไปแล้ว เดี๋ยวนี้จุดเสียวเราย้ายไปที่อื่นแล้วนะ มันก็ต้องทบทวนกันบ่อย ๆ มันก็เหมือนระบบ IOS ก็ต้องอัปเดตกันบ่อย ๆ”
“มันต้องเช็กกันตลอด เราก็ต้องทำความรู้จักร่างกายของตัวเอง บางทีวัยเปลี่ยนฮอร์โมนก็เปลี่ยน หรือความเครียดเพิ่มขึ้น เวลาน้อยลง มีเวลานอนน้อยลงเพราะด่าการเมือง เพราะใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการด่าการเมือง ก็ต้อง Adjust ว่ามีเซ็กซ์ยังไงดี มีหนี้สินเพิ่มขึ้น ภาระเพิ่มขึ้น จุดที่เรียกว่ารื่นรมย์คือตรงไหน”
“แต่สำหรับบางคู่จุดที่รื่นรมย์ ก็คือ 3 เดือนมึงอย่ามายุ่งกับกู อันนี้มันก็คือความรื่นรมย์ของเขา ก็ได้เรามาทำอย่างอื่นกันนะคะ
คือพี่กลัวอย่างนี้ เวลาพี่พูดเรื่องเซ็กซ์ที่รื่นรมย์ พี่กลัวว่าคนจะไปตีความว่า ตายแล้ว ฉันไม่มีอารมณ์จะนอนกับผัวมาสองอาทิตย์แล้ว นี่คือความผิดของฉัน ฉันทำให้เซ็กซ์ในชีวิตคู่ของฉันมันเฉาหรือเปล่า ไม่จำเป็นเลย”
“ความรื่นรมย์แปลว่าเมื่อเราไม่อยากมีเซ็กซ์ เราต้องมีสิทธิที่จะไม่มี เราต้องไม่ถูกบังคับให้มี ผู้ชายเองก็เช่นกัน ผู้ชายมันก็ไม่ใช่จะจู๋แข็งหื่นตลอดเวลา คนชอบคิดว่าผู้ชายจะต้องอยากได้อยากมีอยากเอาตลอดเวลา ถึงต้องไปใช้ไวอากร้าไง เพราะคิดว่าแย่แล้ว กูเป็นผัวที่แย่เหลือเกิน จู๋ไม่ตั้งมาสองเดือนแล้วนี่ แย่ ๆ ๆ เซ็กซ์ในครอบครัวเราไม่รื่นรมย์แล้ว เราต้องกินยา แต่จริง ๆ แล้ว ไม่อยากมีก็คือไม่มี ถ้าไม่อยากมีเซ็กซ์แล้วไม่ฝืนนั่นแหละคือความรื่นรมย์”
“จู๋ไม่ตั้งมาสองเดือนแล้วนี่ แย่ ๆ ๆ เซ็กซ์ในครอบครัวเราไม่รื่นรมย์แล้ว เราต้องกินยา แต่จริง ๆ แล้ว ไม่อยากมีก็คือไม่มี ถ้าไม่อยากมีเซ็กซ์แล้วไม่ฝืนนั่นแหละคือความรื่นรมย์”
นอกจากเซ็กซ์รื่นรมย์แล้ว อีกสิ่งที่เราสนใจคือนิยามของเซ็กซ์แบบพื้นฐานที่สุดที่คนทุกคนควรเข้าใจ ซึ่งเธอก็ตอบได้อย่างครบถ้วน
“อันดับแรกต้องเป็น Consent เซ็กซ์ที่เกิดจากความยินยอมพร้อมใจ อันดับที่สองต้องปลอดภัย ปลอดภัยในที่นี่หมายถึงปลอดโรค ถ้าไม่พร้อมที่จะมีลูกก็ต้องพร้อมที่จะป้องกัน เอาแบบเป๊ะ ๆ ก่อนนะอันนี้คือเซ็กซ์ที่ดีสำหรับพี่ ควรจะอยู่บนฐานของ 2 ข้อนี้ ความยินยอมพร้อมใจ ความปลอดภัย ความพร้อม พร้อมที่จะมีลูก หรือพร้อมที่จะไม่มีลูก ความรู้ที่จะรับมือสถานการณ์หลังจากมีเซ็กซ์
เช่น ขณะที่มีเซ็กซ์อาจจะไม่พร้อม แต่หลังจากมีเสร็จแล้วรู้ตัวว่าไม่พร้อมจะจัดการกับตัวเองได้อย่างไร ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับเซ็กซ์ที่ดีอย่างไร? เกี่ยวกับสภาพจิตใจ แปลว่าเราพร้อมที่จะมีความสุขกับเซ็กซ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะเรารู้ว่าเราสามารถรับมือสถานการณ์ได้หลังจากผ่านความสุขชั่วครั้งชั่วคราวนั้นไปแล้ว”
เซ็กซ์หนึ่งคำแสนสั้น แต่ลึกลงไปกลับมีหลากรสนิยม หลายความพึงพอใจ สารพัดสารพันรูปแบบที่อยู่เบื้องหลังคำ ๆ นี้ แต่บางหนเซ็กซ์ก็ถูกยัดเยียดว่าต้องมาพร้อมกับความรักเท่านั้น ต้องมาพร้อมกับการมีครอบครัวเท่านั้น หรือต้องมาพร้อมกับการแต่งงานเท่านั้น (ซึ่งก็อย่างที่เธอยืนยัน จะคิด เชื่อ ทำเช่นนั้นก็ย่อมได้ ไม่ผิด) แต่เซ็กซ์ที่ = รัก ครอบครัว การแต่งงาน หรือเซ็กซ์แบบไหน ๆ ก็ไม่ใช่สัจธรรมสูงสุดตายตัว
เซ็กซ์มันลื่นไหล เปลี่ยนแปลงได้ และต้องการอินโนเวชันที่เหมาะกับแต่ละคน!
“พี่ว่าเพราะเราไปคิดว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าสัจธรรมเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ แล้วเราก็ไปทึกทักว่าสถาบันครอบครัวเป็นสิ่งที่มีแบบฉบับของความถูกต้องอยู่หนึ่งรูปแบบ แล้วมันอยู่ยงคงกระพัน เป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พันปีที่แล้วมันเป็นแบบนี้ อีกพันปีข้างหน้ามันก็จะเป็นแบบนี้”
“แล้วโดยความหลงลืมสำรวจตัวเอง จึงทำให้เรากลายเป็นหุ่นยนต์ที่พยายามจะดัดแปลงตัวเราให้ไปอยู่ในรูปแบบสัจธรรมนั้นให้ได้ แต่เราลืมคิดไปว่าสัจธรรมก็เรื่องหนึ่ง รูปแบบก็เรื่องหนึ่ง”
“เหมือนเราซื้อหม้อหุงข้าวมา มันก็มีคู่มือมาให้ วิธีการใช้อันนี้ หุงข้าวกล้องกดปุ่มนี้ หุงข้าวขาวกดปุ่มนี้ เอ๊ แต่ถ้าชั้นอยากต้มมาม่าล่ะ? ถามว่าหม้อหุงข้าวใช้ต้มมาม่าได้มั้ย? อันนี้เป็นสิ่งที่เราอย่าไปเป็นเหยื่อของคู่มือที่ให้มา คู่มือเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เราเห็นภาพกว้าง ๆ เออ มันมีประมาณนี้นะ 1 2 3 4 ที่นี้เราต้องกลับมาดูว่าถ้าเราต้องการมากหรือน้อยกว่านั้น เราจะ Adjust เครื่องมือที่มีอยู่นี้อย่างไร?”
“เช่นเดียวกัน มันมีรูปแบบของความสัมพันธ์สำหรับคนที่ขี้เกียจ ก็ทำตามรูปแบบหรือคู่มือได้ ไม่มีปัญหา ชีวิตก็จะเรียบง่าย แต่ก็ไม่ได้รับประกันนะว่าทำตามคู่มือแล้วจะดีกว่า
ปัญหาคือคนจำนวนมากไม่รู้ว่าตัวเองต้องการมากกว่านั้น หรือน้อยกว่านั้น ก็จะทรมาน เพราะฉะนั้นปัญหามันเกิดจากที่เราคิดว่าเซ็กซ์ต้องทำตามคู่มือ และคู่มือคือสัจธรรมสูงสุดเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
“ปัญหามันเกิดจากที่เราคิดว่าเซ็กซ์ต้องทำตามคู่มือ และคู่มือคือสัจธรรมสูงสุดเปลี่ยนแปลงไม่ได้”
เธอกำลังบอกว่าเพราะใครหลายคนคิดว่าเซ็กซ์คือสัจธรรมสูงสุด แบบไหนที่คู่มือ (หรือสังคม) บอกว่าดีงามก็ทำตามโดยหลงลืมไปว่าแต่ละคนมีความต้องการส่วนตัวที่ไม่เหมือนกันเลย ถ้าเราลองวางสัจธรรมหรือคู่มือที่เราเชื่อลง แล้วหันมาถามตัวเองให้มากขึ้น เมื่อนั้นอินโนเวชันแห่งเซ็กซ์ของเราก็จะถือกำเนิดขึ้น
“ต้องหมั่นตรวจสอบตัวเองว่าเราชอบอะไรกันแน่ ถ้าจะกินส้มตำไม่ชอบมะละกอ เอาเปลี่ยนเป็นแอปเปิ้ลได้ไหม คนเราสามารถเปลี่ยนวัตถุดิบ หรือดัดแปลงได้ ไม่ชอบเปรี้ยวแบบมะนาว แล้วจะใช้อะไรแทน? หมั่นคิด หาคำตอบ แล้วหา ซัพพลายเมนต์มาแทนที่สิ่งที่เราคิดว่าไม่ใช่
แล้วเราก็จะพบว่าเออว่ะ เราก็ทนกินส้มตำมะละกออยู่ได้เนอะ ทั้ง ๆ ที่เราชอบตำกะหล่ำปลี แล้วถ้าคนอื่นมาเห็นเรากินส้มตำกะหล่ำปลี เขาก็อาจจะ อี๋ แหวะ กินไปได้ยังไง?”
“เอ้า ก็กูชอบ แล้วทำไมกูต้องชอบเหมือนมึง? อันนี้คือพูดแบบไม่ต้องใช้ทฤษฎีเลยนะ มันง่ายมากเลยถ้าเราเลิกมีภาพจำว่าส้มตำ หรือเซ็กซ์ต้องเป็นแบบนี้ มันก็จะมีอินโนเวชั่น เซ็กซ์ก็ต้องการอินโนเวชั่นของมันตลอดเวลา”
“มันง่ายมากเลยถ้าเราเลิกมีภาพจำว่าส้มตำหรือเซ็กซ์ต้องเป็นแบบนี้ มันก็จะมีอินโนเวชั่น เซ็กซ์ก็ต้องการอินโนเวชั่นของมันตลอดเวลา”
“แล้วอินโนเวชั่นนั้นจะเกิดได้อย่างไร? ทำไมโลกนี้ถึงมีไอศกรีมทอด? ก็เพราะคิดไง ต้องสำรวจตัวเองบ่อย ๆ ทำความรู้จักตัวเองบ่อย ๆ ทำความเข้าใจความต้องการของตัวเองบ่อย ๆ แล้วพึงรู้ว่าการที่เราชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร แล้วความชอบของเราไม่เหมือนคนอื่น ไม่ผิด แล้วก็ไม่แปลกด้วย”
“มันไม่ต่างจากการที่เราชอบกินไข่ดาวสุก เธอชอบกินไข่ดาวดิบ ง่ายจะตาย พี่ก็เลยไม่เข้าใจว่ามันเข้าใจง่ายยากตรงไหนเหรอคะ? เขาขายไข่ปิ้งยังมีความสุกตั้ง 7 ระดับเลย คนไปเข้าคิวกินกันเยอะแยะ เห็นไหมคนมันยังไม่ได้ชอบไข่ปิ้งความสุกระดับเดียวกันทั้งหมด คนขายไข่ปิ้งความสุก 7 ระดับก็เลยขายดีไง”
เซ็กซ์ ๆ รัก ๆ มาพอสมควร เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับมนุษย์ไร้รัก ไร้เซ็กซ์ ไร้ความสัมพันธ์ หรือมนุษย์ที่เพิ่งอกหักมาหมาด ๆ ในช่วงวันแห่งความรัก คำ ผกาอยากบอกอะไรกับคนอกหัก?
“การอกหักเป็นโอกาสดีที่จะได้มีคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม หรือแย่กว่าเดิมก็ไม่รู้นะ แต่มันคือสิ้นสุด เหมือนการเกิดใหม่ โลกไม่ได้แตกตามคนที่บอกเลิกมึงเลย เพราะว่ามันมีคนที่ดีกว่านั้นอีกเยอะ อยู่ข้างหน้าให้แสวงหา แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรานี่มันจริง มันจริง เชื่อป้า”
“ป้าก็เพิ่งมาตระหนักว่า ถ้าคนนั้นมันไม่ทิ้งฉัน ฉันก็ไม่ได้เจอคนนี้ ถ้าคนนี้มันไม่ได้ทิ้งฉัน ฉันก็จะไม่ได้เจอคนนั้น แล้วคนที่เราเจอใหม่จะยิ่งดีกว่าคนเก่าเรื่อย ๆ
จงดีใจรู้มั้ย ดีใจที่อกหัก เราจะได้ไม่จมปลัก เราจะได้ไม่ดักดานอยู่กับอะไรเก่า ๆ จะได้เจอโลกใหม่ไปเรื่อย ๆ มันดีออก คนไม่เคยอกหักนี่น่าสงสาร ถ้าให้พี่เลือกพี่ก็อยากมีชีวิตที่ได้เกิดใหม่ตลอดเวลามากกว่า”
“ถ้าอยากดึงเขาไว้แล้วมีความสุขก็ทำ ถ้าทำแล้วมีดราม่าให้ชีวิต มีสีสันนิดนึง คนเรามันก็ต้องการความเจ็บปวดบ้าง ชีวิตมันก็ต้องการความเจ็บปวด มันต้องเผ็ด ๆ ทุกครั้งที่อกหักพี่ก็จะได้เขียนหนังสือ นึกออกป้ะ
“เราต้องให้เวลากับตัวเองในการฟูมฟาย”
เราต้องให้เวลากับตัวเองในการฟูมฟาย ช่วงอกหักจะเป็นช่วงที่เขียนหนังสือดี ภาษาสวย ฟ้าเฟ้อก็มีสีสันในแบบที่เราไม่เคยเห็น การอกหักก็เป็นวัตถุดิบที่ดีในการสร้างสรรค์ การอกหักเป็นแรงขับเคลื่อนให้เราสร้างงาน ผลิตงาน ทำหนัง เขียนนิยาย เขียนเรื่องสั้น
การอกหักเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ อย่ารีบ Move On มันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ นะ กว่าจะมีแฟน กว่าจะเลิกคบ แล้วกว่าจะมาถึงจุดอกหัก เราต้องกอบโกยความรู้สึกในขณะที่เราอกหักให้เต็มอิ่มก่อน เศร้าให้อิ่ม เพ้อให้อิ่ม เขียนให้อิ่ม ผอมด้วย กินไม่ลงอีก โอ๊ย สนุก พาเพื่อนไปทะเล จงดื่มด่ำกับความเศร้าจากการอกหักให้เต็มคราบ แล้วค่อย Move On”
มาถึงจุดสิ้นสุดของบทสนทนา แต่ความคิดในหัวเราคล้ายโลดแล่นไม่สิ้นสุด เซ็กซ์คืออะไร? ความรักคืออะไร? แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นแบบไหน นี่ไม่ใช่กระดาษคำตอบที่เราต้องส่งให้ใครตรวจเพื่อพิพากษา พอ ๆ กับที่เราเองก็ไม่ควรพิพากษาตัวเองหรือใคร
เซ็กซ์วันนี้ของเราอาจมีนิยามอย่างหนึ่ง ความเสียวซาบซ่านของเราเมื่อห้าปีก่อนอาจมีนิยามอย่างหนึ่ง แต่เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัจธรรมสูงสุดอันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราจึงต้องสำรวจตัวเองและคุยกับคนที่เรายินยอมพร้อมใจจะมีเซ็กซ์ด้วยอยู่เสมอ
อย่างที่เธอบอกไว้นั่นแหละ “มันง่ายมากเลยถ้าเราเลิกมีภาพจำว่าเซ็กซ์ต้องเป็นแบบนี้ มันก็จะมีอินโนเวชั่น เซ็กซ์ก็ต้องการอินโนเวชั่นของมันตลอดเวลา”
PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibut