World

THE PROFILES: CARAVAGGIO นักเลงเหลวแหลกสู่จิตรกรเอก และผลงานคลั่งทำให้หวนคิดถึงชีวิต

By: TOIISAN June 5, 2019

ถ้าพูดถึงศิลปะ หลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องของอารมณ์งานสร้างสรรค์ หรือสุนทรีย์ที่เข้าไม่ถึง แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวสุดระห่ำรวมถึงความเหลวแหลก และความตายก็เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะด้วยเช่นกัน วันนี้ UNLOCKMEN สนใจเรื่องราวของจิตรกรผู้แต่แผ่ความดิบเถื่อนออกมาเป็นรูปภาพของมิเกลลันเจโล คาราวัจโจ ศิลปินใจนักเลงผู้นิยมความรุนแรง และถ่ายทอดมันออกมาเป็นศิลปะ 

Dog-Eared Passport

Michelangelo Merisi da Caravaggio คือชื่อเต็มที่แสนจำยากของคาราวัจโจ จิตรกรชาวอิตาลีที่โลดแล่นอยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เดิมทีเขาเป็นชายตัวคนเดียวเพราะพ่อเสียชีวิตด้วยกาฬโรคตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนแม่ก็เสียตามไปอีก ถึงแม้จะเป็นเด็กกำพร้าแต่ก่อนหน้านี้คาราวัจโจคลุกคลีอยู่กับสีและผืนผ้าใบ เพราะก่อนแม่เสียชีวิตเคยส่งเขาไปเรียนศิลปะเป็นเวลาเกือบ 4 ปี และได้เทคนิคเกี่ยวกับศิลปะติดตัวมาด้วย 

ปี 1592 คาราวัจโจวัย 21 ปี เดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อหางานทำตามแบบศิลปินหน้าใหม่ด้วยสภาพตัวเปล่า ไร้เงิน ไร้งาน และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินโดยการเป็นผู้ช่วยของจิตรกรที่มีชื่อในช่วงเวลานั้น และรอวันที่สปอตไลต์จะฉายแสงมายังเขา 

 

แสงเงาสื่ออารมณ์รุนแรง การสร้างสรรค์ที่จิตรกรในยุคเดียวกันไม่กล้าทำ 

The Cardsharps : Photo by ArtStack

สามปีหลังจากเป็นผู้ช่วยจิตรกรอยู่กรุงโรม คาราวัจโจเริ่มสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากการวาดภาพสีน้ำมัน บอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของผู้คน แต่สิ่งที่ทำให้งานของเขาโดดเด่นขึ้นมาเพราะการบอกเล่าชีวิตสุดธรรมดาแต่ใช้เทคนิคสุดพิเศษด้วยแสงและเงาบนผลงานของเขานั้นคม จับใจ และสื่ออารมณ์อย่างรุนแรง 

ผลงานยุคเริ่มต้นของเขามีหลายชิ้นที่ได้รับความสนใจ โดยเฉพาะกับภาพ The Cardsharps ที่เก็บรายละเอียดครบถ้วน เช่น หน้าตาสื่ออารมณ์ของคนในวงไพ่ที่พยายามเล่นกลโกงอะไรบางอย่าง และเน้นรายละเอียดไปยังรอยขาดบนถุงมือ นักวิจารณ์หลายคนกล่าวว่าผลงานชิ้นนี้มีความซับซ้อนทางจิตวิทยาเป็นอย่างมาก แถมผลงานของเขายังเข้าตาจิตรกรชื่อดังในโรม และอนุญาตให้คาราวัจโจไปนั่งทำงานที่บ้านของเขาเมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กหนุ่มต้องการอีกด้วย 

fineartamerica

The Calling of Saint Matthew : Photo by wildwalls

หลังจากจุดเริ่มต้นที่ประสบความสำเร็จจากการเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของผู้คน สิ่งต่อมาที่คาราวัจโจทำคือการวาดภาพเกี่ยวกับศาสนาแต่เล่าในมุมที่ไม่ซ้ำใคร เน้นเส้นสีสะเทือนอารมณ์ และดึงศาสนาที่เป็นเรื่องสูงส่งแตะต้องไม่ได้กลับลงมาสู่สามัญ ผลงานของเขาแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าก็มีเลือดเนื้อ มีอารมณ์ความรู้สึก มีเรื่องความลับไม่ต่างจากคนธรรมดาอย่างเรา ๆ

ผลงานที่หลายคนลงความเห็นว่าทำให้ตัวเขาทะยานสู่จุดสูงสุดนั้นเกิดขึ้นเมื่อคาราวัจโจได้รับการว่าจ้างให้วาดภาพขนาดใหญ่เพื่อใช้ตกแต่งในโบสถ์ ซึ่งเขาสามารถเอกลักษณ์อย่างโดดเด่นด้วยการใช้แสงและเงาอีกครั้งในภาพ The Calling of Saint Matthew และ Martyrdom of Saint Matthew 

fineartamerica

ภาพเขียนของเขาล้ำสมัยและไม่เหมือนใคร นำเสนอมุมมองที่ไม่มีจิตรกรคนไหนกล้าหยิบมาเล่าเรื่อง จากนั้นจึงแต่งแต้มปลายพู่กันเร้าอารมณ์ของคนดูด้วยการใช้แสงและเงา แฝงอารมณ์ลึกลับชวนให้ค้นหา กระตุ้นให้ผู้คนที่ผ่านมาดูควานหาความลับดำมืดและขุดคุ้ยมันขึ้นมา 

 

จิตรกรผู้โด่งดังที่สุดในโรมสู่จุดตกต่ำด้วยคดีฆาตกรรม 

Play Napes

การสร้างสรรค์ผลงานจากการหยิบสิ่งที่คนในช่วงเวลานั้นไม่กล้าทำสร้างความโดดเด่นให้กับคาราวัจโจ ทว่าเมื่อมีคนกล้าทำอะไรใหม่ ๆ  ก็มักจะเกิดความคิดเห็นทั้งเชิงบวกและเชิงลบ คนจำนวนมากชื่นชมผลงานเขาและยกย่องว่าคาราวัจโจคือศิลปินแห่งยุคผู้มาชุบชีวิตศิลปะอีกครั้ง แต่ก็มีศิลปินจำนวนไม่น้อยมองว่าผลงานของเขาเป็นเสมือนปีศาจบั่นทอนศาสนา ไม่เหมาะสมจะเป็นศิลปะและน่ารังเกียจ แต่ด้วยนิสัยของคาราวัจโจ ทำให้เขาไม่สนใจคำวิจารณ์เหล่านั้นและสร้างสรรค์ผลงานต่อไป 

fineartamerica

การวิจารณ์ผลงานด้านลบทำอะไรเขาไม่ได้ แต่สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตของคาราวัจโจคือนิสัยส่วนตัวแย่ ๆ ของเขาเอง เดิมทีคาราวัจโจเป็นเด็กกำพร้าที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่น โดนตำรวจจับหลายครั้งด้วยเหตุทะเลาะวิวาท บางครั้งเขาก็หนีรอดพร้อมกับรอยแผล และเป็นผู้ชายที่ขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่บ่อยครั้ง

movingtraditions

เมื่อคาราวัจโจโด่งดังขึ้นแทนที่เขาจะเปลี่ยนนิสัยอารมณ์ร้อนของตัวเองแต่กลับทำตรงกันข้าม จากเด็กกำพร้าสู่ศิลปินที่มีเงินทองและชื่อเสียง คาราวัจโจวัยหนุ่มเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง รวมถึงมีเหล่าศิลปินชื่อดังที่คาราวัจโจเป็นผู้ช่วยก็มักจะคอยให้ท้ายช่วยไกล่เกลี่ยคดีทะเลาะวิวาทของเขาอยู่เสมอ ทำให้เขานิสัยเสียกว่าตอนที่ยังเป็นเด็กกำพร้าไร้ชื่อเสียอีก 

fineartamerica

เหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตของเขาเกิดขึ้นกลางดึกคืนหนึ่ง มีพยานเล่าว่านิสัยส่วนตัวสุดแปลกของคาราวัจโจหลังจากวาดรูปเสร็จคือการถือมีดดาบออกไปเดินเล่นยามค่ำคืนและหาเรื่องคนที่เดินสวนกัน เขาโต้เถียงรุนแรงกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งด้วยปัญหาเรื่องหนี้พนัน สุดท้ายคาราวัจโจพลั้งมือฆ่าเด็กหนุ่ม เปลี่ยนชีวิตตัวเองจากศิลปินดาวรุ่งสู่ฆาตกรชั่วข้ามคืน 

 

คาราวัจโจผู้เร่ร่อนไปทั่วยุโรป 

Pixels

คาราวัจโจผู้มีตราบาปต้องรีบหนีออกจากโรมมาหลบอยู่ในเมืองเนเปิลส์ ใช้ชีวิตระหกระเหินไม่ปักหลักที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป หลังจากอยู่เนเปิลส์สักพักหนึ่งเขาก็ย้ายไปยังประเทศมอลตาทางตอนใต้ของอิตาลี พร้อมกับสร้างสรรค์ผลงานศิลปะและสร้างเรื่องวุ่นวายไปพร้อมกัน

คาราวัจโจเป็นตัวอย่างดีที่ของคำว่าตัวสร้างปัญหา ไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหนหากไม่ปรับนิสัยให้ดีขึ้นก็คงจะอยู่บนโลกนี้ได้ยาก เมื่อเขามาอยู่ที่มอลตาก็ยังคงมีเหตุทะเลาะวิวาทกับคนอื่นเสมอ เขาก่อเหตุวิวาทกับอัศวินคนหนึ่งของคณะอัศวินฮอสปิทัลเลอร์ (ต่อมากลายเป็นอัศวินแห่งมอลตา) และมีการทำร้ายร่างกายคู่กรณีจนสุดท้ายถูกจับกุมและขับไล่ออกจากประเทศมอลตา 

Realm of History

เมื่ออยู่มอลตาไม่ได้แล้ว คาราวัจโจย้ายไปอาศัยอยู่ที่เกาะซีชิลิและสร้างสรรค์ผลงานทิ้งไว้หลายชิ้น แต่เพราะคดีฆาตกรรมที่ติดตัวอยู่ทำให้เขาเกิดอาการหวาดระแวง คิดอยู่ตลอดว่าจะต้องมีคนมาจับเขา หรือไม่ก็คงโดนตามมาแก้แค้นเข้าสักวัน 

ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้คาราวัจโจตัดสินใจย้ายกลับมาที่เมืองเนเปิลส์อีกครั้งในปี 1609 พร้อมกับสร้างสรรค์ผลงานช่วงสุดท้าย โดยผลงานของเขาก็ยังคงคมคายและน่าขนลุกเหมือนเคย เขาวาดผลงานชิ้นหนึ่งชื่อว่า Salome with the Head of John the Baptist ซึ่งศีรษะที่วางอยู่บนถาดก็คือใบหน้าสิ้นลมหายใจของเขาเอง 

Salome with the Head of John the Baptist

จิตใจของคาราวัจโจยึดติดอยู่กับเหตุการณ์คืนที่เขาพลั้งมือฆ่าเด็กหนุ่ม เขาส่งภาพวาดสีน้ำมัน Salome with the Head of John the Baptist ไปให้กับ Alof de Wignacourt คล้ายการสารภาพผิด รวมถึงวาดภาพอีกหนึ่งชิ้นชื่อว่า David with the Head of Goliath และใช้ใบหน้าของตัวเองแทนที่โกไลแอท และส่งไปให้กับคาร์ดินัลสคิปิโอเน่ บอร์เกเช (Scipione Borghese) หลานของสมเด็จพระสันตะปาปา เพื่อหวังว่าผู้มีอำนาจทั้งหลายในโรมจะช่วยอภัยโทษให้เขา

ปี 1610 การตัดสินใจครั้งใหญ่และครั้งสุดท้ายของคาราวัจโจคือการเดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อรับผิดทุกข้อหาและต้องการขออภัยโทษ แต่โชคร้ายที่เขาเสียชีวิตกลางทางจากไข้พิษด้วยอายุเพียงแค่ 39 ปีเท่านั้น บทสรุปของศิลปินมากความสามารถคนนี้นับว่าน่าเศร้าไม่น้อย

patheos

ถึงแม้ว่าคาราวัจโจจะจากไปแต่สิ่งที่ยังคงเหลือทิ้งเอาไว้คือเรื่องราวสุดระห่ำรวมถึงสุดยอดผลงานศิลปะที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ของเขา ทั้งเรื่องราวชีวิต ความผิดและการสำนึกผิด เทคนิคการแต้มสีน้ำมันบนผืนผ้าใบ ซึ่งผลงานศิลปะของมิเกลลันเจโล คาราวัจโจ จะยังคงเป็นทั้งต้นแบบและบทเรียนให้คนรุ่นหลังสืบไป ต้องยอมรับเลยว่าถึงแม้เขาจะนิสัยห่ามแต่ก็เป็นผู้ชายเท่ ๆ คนหนึ่งที่ก้าวตามความฝันพร้อมกับลงมือทำสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างเต็มที่ และท้ายที่สุดก็ได้สำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองได้เคยพลาดพลั้งแม้ว่าบางครั้งโอกาสที่สองของการแก้ตัวอาจจะไม่มีวันมาถึง

 

SOURCE1 2 3

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line