เตือนภัยสำหรับผู้ชายทุกคน เพราะ Covid-19 ที่ว่าอันตรายแล้ว ยังมีการค้นพบอาการ Long COVID ที่น่ากลัวยิ่งกว่า นั่นคือมันอาจมีผลทำให้สมรรถนะทางเพศเสื่อมอีกด้วย นักวิจัยจาก University of Miami Miller School of Medicine ได้ทำการตรวจสอบผู้ป่วยเพศชาย 2 ราย ที่เคยติดเชื้อ Covid-19 และทำการรักษาจนหายดีแล้ว กลับพบว่าร่างกายยังมีผลกระทบระยะยาว นั่นคือน้องชายไม่สู้โดยไม่มีสาเหตุ ทั้งที่ก่อนหน้าก็ยังใช้การได้ดีเป็นปกติ เพื่อทำการรักษาให้น้องชายกลับมาแข็งแรง ผู้ป่วย 2 รายจึงปรึกษาแพทย์เพื่อทำการผ่าตัด และระหว่างวิเคราะห์เนื้อเยื่อจากอวัยะเพศ ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่ามีเชื้อไวรัสโควิดที่ยังมีชีวิตอยู่ ปะปนอยู่ในเนื้อเยื่อดังกล่าวแม้ระยะเวลาจะผ่านมาแล้ว 7-9 เดือน นับตั้งแต่หายจาก Covid-19 นักวิจัยสรุปในบทความที่ตีพิมพ์ใน World Journal of Men’s Health ว่าการติดเชื้อ Covid-19 อาจทำให้เลือดอุดตัน จนกระทบการไหลเวียนของเลือดที่ส่งไปเลี้ยงอวัยวะเพศ เมื่อเลือดไปเลี้ยงไม่ได้ จึงเกิดเป็นปัญหาทำให้น้องชายไม่ขันนั่นเอง ในรายงานระบุด้วยว่า นอกจากอวัยวะเพศที่เสี่ยงต่อการอุดตันของเลือดจาก Covid-19 ส่วนอื่น ๆ ในร่างกายก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน
แสงสี / ปาร์ตี้อันเย้ายวนใจ / ความเมามาย และเสียงเชียร์กระหึ่มเมื่อทีมบอลในดวงใจคว้าชัยชนะ อาจจะกลายเป็นเพียงภาพในอดีตที่ไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้อีกต่อไป เนื่องจากอุตสาหกรรมไนท์คลับในอังกฤษกำลังถึงกาลอวสาน ทั้ง ๆ ที่เปิดประเทศไปแล้ว ไม่ใช่เพียงบ้านเราเท่านั้นที่ธุรกิจกลางคืนไม่ได้รับการเหลียวแลจากภาครัฐ เพราะขนาดประเทศอังกฤษ เมืองที่มีผับ บาร์ และไนท์คลับคับคั่งประเทศหนึ่งในโลก ต่างก็กำลังเผชิญวิกฤตปิดตายไม่ต่างกัน ทั้ง ๆ ที่ธุรกิจกลางคืนนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจชั้นดีเสมอมา เกิดอะไรขึ้นกับประเทศที่สามารถเล่นคอนเสิร์ตและผู้ชมสามารถถอดแมสค์เพื่อรับชมคอนเสิร์ตได้ ไหนจะรับวัคซีนจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว แต่ทำไมธุรกิจกลางคืนยังไม่สามารถกลับมาเปิดได้ ซ้ำร้ายยังถูกหลายสื่อฟันธงว่า “มันถึงจุดสิ้นสุดของยุค และธุรกิจไนท์คลับได้ถูกทำลายอย่างย่อยยับไปแล้ว” ทำไมธุรกิจไนท์คลับถึงไม่สามารถกลับมาได้เหมือนเดิม ? เว็บไซท์ของสำนักข่าว Bloomberg ได้ตั้งคำถามถึงวิกฤตขอวธุรกิจสถานบันเทิงเอาไว้อย่างน่าสนใจ สืบเนื่องจากอังกฤษได้ยืนกรานที่จะคืนเสรีภาพและการใช้ชีวิตของผู้คนให้เป็นปกติ โดยใช้วันดีเดย์คือวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาเป็นวันแห่งเสรีภาพ หรือ Freedom Day ด้วยการคลายมาตรการรับมือกับเชื้อโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการไม่จำกัดจำนวนคนในการชุมนุม ไปจนถึงสามารถถอดหน้ากากอนามัยได้อย่างเสรี หากแต่ธุรกิจไนท์คลับนั้นกลับไม่สามารถเปิดได้แบบปกติ 100% เพราะเหตุผลหลายประการ ประการแรกคือ การติดเชื้อที่ไม่มีวันลดลง แม้อังกฤษจะเปิดประเทศด้วยการพยายามตอกย้ำว่า “เราต้องอยู่กับโรคระบาดนี้ให้ได้” แต่จำนวนผู้ป่วยนั้นกลับมาอยู่ที่ระดับ 50,000 รายต่อวันอีกครั้ง ซ้ำยังเป็นสายพันธุ์เดลต้า สายพันธุ์ล่าสุดที่แม้จะรับวัคซีนครบ
เกม เป็นอีกสื่อสะท้อนความคิดและวัฒนธรรมของผู้คนในยุคนั้น ๆ ได้ดี ตัวละครนึงที่เป็นจุดเปลี่ยนและกระบอกเสียงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้หญิงในยุค 90’s ที่อิทธิพลเพศชายถือไพ่เหนือกว่าก็คือ “Chun Li” นักสู้สาวสุดสวยจาก Street Fighter II: The World Warrior Chun Li ถือกำเนิดขึ้นในปี 1991 เป็น Playable Female Fighter ตัวละครหญิงตัวแรกที่ถูกสร้างขึ้นในยุคนี้ นักสู้สาวผู้เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ของจีน และยังเป็นตำรวจสากลนอกเครื่องแบบ บนเวทีการต่อสู้แบบ 1-on-1 ที่มีแต่นักสู้ชายสุดแกร่ง นักมวยปล้ำร่างยักษ์ หรือแม้แต่นักโยคะพ่นไฟได้ ความนิยมของ Chun Li นั้นอยู่ในกลุ่มหัวแถวเท่ากับพระเอกอย่าง Ryu หรือ Ken ทำให้บทบาทของเธอได้ถูกส่งต่อไปยังภาพยนตร์ live-action เช่น Street Fighter: The Legend of Chun-Li (2009), Animation หรือแม้แต่ในเพลง Hip Hop
การออกมาส่งเสียงเรียกร้องความยุติธรรม และความถูกต้องมันเป็นสิทธิที่มนุษย์ทุกคนควรมี โดยเฉพาะในดินแดนที่ใช้ระบอบประชาธิปไตยด้วยแล้ว เสียงของคนส่วนใหญ่นั้นคือสิ่งสำคัญ และเมื่อมีอะไรไม่ถูกต้องหรือข้อสงสัย ผู้คนก็ควรที่จะออกมาส่งเสียงทักถึงประเด็นที่ควรแก้ไขนั้นได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เพศอะไร รวยหรือจน คนก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องความถูกต้องและการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าได้ ยกตัวอย่างเช่น ศิลปินคนดังระดับโลกมากมายตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันที่สามารถส่งเสียงได้ดังกว่าและไกลกว่าคนทั่วไป เมื่อต้องการเรียกร้องความถูกต้อง เราจึงเห็นการออกมาเป็นกระบอกเสียง หรือที่เราเรียก ‘Call Out’ จากคนมีชื่อเสียงกันเป็นเรื่องปกติ แต่ในยุคปัจจุบัน เรากลับได้เห็นผู้มีอำนาจสั่งให้ศิลปิน สื่อ หรือเหล่าคนดังหุบปาก ห้ามออกมาวิจารณ์ และห้ามแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ ที่กระเทือนภาพลักษณ์ของรัฐบาล รวมถึงห้ามเป็นกระบอกเสียงเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็น่าตลกที่เวลาหน่วยงานรัฐหรือเจ้าหน้าที่ทำโครงการช่วยสังคมเพียงนิดหน่อย กลับจ้างศิลปินเหล่านี้มาช่วยกันตะโกนโปรโมทกันปาว ๆ มันช่างย้อนแย้งซะจริง ๆ การ Call Out ในอดีตเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ยกตัวอย่างเช่น การต่อต้านการเหยียดสีผิว ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ต่อต้านการเหยียดเพศ ต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ ต่อต้านสิ่งเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ที่ไม่ยุติธรรม ซึ่งไม่ได้มีเพียงแค่เหล่าศิลปินนักดนตรีเท่านั้น แต่นักกีฬาชื่อดัง นักแสดงระดับซุปเปอร์สตาร์ของ Hollywood ก็มักจะออกมาสนับสนุน และเป็นกระบอกเสียงเรียกร้องในสิ่งที่ถูกต้องกันอย่างเสรีโดยไม่มีใครมาห้าม ตั้งแต่เริ่มมีการประท้วงของชาวนาในประเทศอังกฤษที่มีต่อระบบศักดินา ไปจนถึงการประท้วงครั้งใหญ่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน คนมีชื่อเสียง ศิลปิน นักดนตรี
ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสที่ทำลายทุกวงการ โดยเฉพาะวงการภาพยนตร์ที่ต่างต้องหยุดฉายเลื่อนวันกันจนเสียขบวน จากสถานการณ์ที่ส่งผลให้โรงหนังในประเทศไทยถูกปิดอย่างไม่มีกำหนด แต่วิกฤตที่ว่าหนักหน่วงนี้ ก็ไม่อาจปิดกั้นประกายแห่งความสำเร็จและความยอดเยี่ยมของผู้กำกับสายเลือดไทย ที่ได้ออกไปสร้างชื่อเสียงความยิ่งใหญ่ในต่างแดน ในฐานะผู้นำพาความภาคภูมิใจ และประจักษ์แก่ฝีมือว่าฟิล์มเมคเกอร์ไทยนั้นมีฝีมือไม่แพ้ขาติใดในโลก UNLOCKMEN ขอนำคุณไปรู้จักกับผู้กำกับสุดยอดฝีมือทั้ง 3 ท่าน ที่มีผลงานคว้ารางวัลระดับโลก และขึ้นอันดับ 1 หนังทำเงินอย่างสมภาคภูมิ และมาดูกันว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จในครั้งนี้เกิดขึ้นจากอะไรบ้าง เพื่อเป็นกรณีศึกษาให้นำไปปรับใช้ได้สำหรับทุกคน เริ่มจากผู้กำกับที่หลักไมล์ในวงการหนังไทยอาจดูน้อยเมื่อเทียบกับผู้กำกับท่านอื่น ๆ เนื่องจากมีผลงานที่ผ่านตากับหนังเรื่องยาวเพียง 2 เรื่องเท่านั้น นั่นคือ Countdown (2012) และ ฉลาดเกมส์โกง (2017) แต่เพราะผลงานหนังเรื่องฉลาดเกมส์โกง ได้สร้างรูปแบบเฉพาะตัว จนกลายเป็นงานเปี่ยมล้นด้วยสไตล์ที่ล้ำสมัยและสื่อสารทั้งคนไทยและชาวต่างชาติได้อยู่หมัด ทำให้ชื่อของ “บาส นัฐวุฒิ” กลายเป็นฟิล์มเมคเกอร์รุ่นใหม่ที่ฝีไม้ลายมือเป็นที่กล่าวขานในระดับสากล โดยที่หนัง ฉลาดเกมส์โกง หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Bad Genius ได้สร้างชื่อเสียงในระดับอินเตอร์โดยเฉพาะประเทศจีนที่สามารถทำรายได้ระดับปรากฏการณ์ ทำให้ชื่อของบาส ทำลายกำแพงภาษา เป็นที่เตะตาของผู้สร้างระดับโลกที่อยากจะชวนเขามาร่วมงานด้วย และผู้โชคดีที่ได้ร่วมโปรเจกต์หนังเรื่องต่อมาของบาสก็คือ ผู้กำกับผู้ทรงอิทธิพลของคนยุคใหม่อย่าง หว่องการ์ไว (Wong Kar-wai) นั่นเอง ใน One for the
ขยับเข้ามาใกล้ทุกทีแล้ว สำหรับ Tokyo 2020 Olympics มหกรรมการแข่งขันกีฬาที่จะจัดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีปัญหาจากโควิด-19 คอยรบกวนการจัดงานอยู่บ้าง แต่ถ้ามองข้ามเรื่องนั้นไป ก็ยังมีความน่าสนใจเกี่ยวกับ Olympics ครั้งนี้อีกหลายอย่างที่ญี่ปุ่นทำได้ดี หนึ่งในนั้นก็คือโพเดียมรับเหรียญ ที่ผลิตแบบ 3D Prints จากขยะขวดพลาสติกจากบ้านเรือน 100% จุดประสงค์ของทีมผู้จัดงานของญี่ปุ่นคือต้องการให้ประชาชนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เราได้เห็นการผลิตเหรียญรางวัลจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่บริจาคโดยประชาชนมาแล้ว เช่นเดียวกับโพเดียมรับเหรียญรางวัลในโทนสีฟ้าเข้มนี้ ที่สร้างขึ้นจากขยะขวดพลาสติกจำนวน 400,000 ขวด ที่ชาวญี่ปุ่นนำไปทิ้งในกล่องสะสมขยะพลาสติก 2,000 จุดตามห้างสรรพสินค้าและโรงเรียนในระยะเวลา 9 เดือน “เราต้องการแสดงให้โลกได้เห็นถึงความ sustainability ในสังคมญี่ปุ่น และต้องการให้ชาวญี่ปุ่นได้มีส่วนร่วมกับ Olympics ที่ทุกคนเป็นเจ้าภาพด้วยกัน” ลวดลายบนโพเดียมได้แรงบันดาลใจมาจากโลโก้ Olympics เกิดจากลูกบาศก์สี่เหลี่ยมหลาย ๆ ชิ้นประกอบเข้าด้วยกันโดยเทคโนโลยี 3D Prints จนเป็นแท่นยืนขนาดใหญ่ที่ยาวกว่าโพเดียมปกติเนื่องจากสถานการณ์สังคมปัจจุบันที่ต้อง Social Distance และยังสามารถปรับระดับให้ลาดลงสำหรับนักกีฬา Paralympics หลัง Olympics จบลงได้อีกด้วย การปรับโลโก้ 2D ให้กลายเป็น 3D ทำให้โพเดียมมีมิติและมีระดับสีฟ้าเข้มที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแสงที่แตกต่างกัน
โลกแฟนตาซีที่ไร้ซึ่งศีลธรรม มหกรรมแห่งการโรมรันอันเร่าร้อนบนจอ Porn Movie หรือ ภาษาชาวบ้านเรียกว่า หนังโป๊ / หนังผู้ใหญ่ / หนังเอวี แม้จะอยู่ขั้วตรงข้ามกับความดีงามและความถูกต้อง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนังอินดี้ที่ประหยัดงบคอสตูม ถ่ายกันอยู่ไม่กี่คน กลับเป็นแรงผลักดันมหาศาลต่อธุรกิจความบันเทิงมานานนับศตวรรษ และปั้นเม็ดเงินจนได้ให้กำเนิดนวัตกรรมสำคัญแห่งโลกเทคโนโลยีในปัจจุบัน และเพื่อต้อนรับซีรีส์ The Naked Director 2 เรามาทำความรู้จักกับหนังแนวนี้กันทีละก้าว เพื่อรู้ว่า หนังโป๊ที่เสื่อมศีลธรรม กลับสร้างนวัตกรรมมากมาย และผลักดันเศรษฐกิจให้กับโลกใบนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนศตวรรษที่ 20 Porn Movie เรื่องแรกของโลก ย้อนกลับไป ตั้งแต่โลกใบนี้เพิ่งรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าภาพยนตร์ใหม่ ๆ ตั้งแต่ยุคหนังเงียบนั้น หนังที่เปลืองเนื้อหนังมังสาก็คลานตามกันมาไม่นานเช่นกัน มีข้อถกเถียงมากมายว่าหนังเรื่องไหนที่ควรนับเป็นหนังอีโรติกเรื่องแรก ถ้าเป็นการ “ถอดทีละชิ้น” เพื่อเห็นปทุมถันและของพึงสงวน หนังเรื่องแรกที่ควรได้รับตำแหน่งนั้นก็น่าจะเป็นหนังเงียบจากประเทศฝรั่งเศสเรื่อง “Le Coucher de la Mariée” ที่นักแสดงตลกสาว Louise Willy ลงทุนเปลื้องผ้าจะจะตาให้เห็นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1899 แต่ถ้าหนังอิโรติกที่มีฉากร่วมรักกันให้เห็น หนังเรื่อง
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการฟุตบอล ล่าสุด UEFA ประกาศยกเลิกกฎประตูทีมเยือน หรือ Away Goal จากการแข่งขันในระดับสโมสรทั้งลีกชาย หญิง และเยาวชน โดยจะเริ่มใช้ในฤดูกาลหน้า 2021-2022 เป็นต้นไป Away Goal คือกฎที่ใช้ตัดสินหาผู้ชนะจากการแข่งขันแบบเหย้าเยือน ซึ่งหากทั้งสองทีมมีผลประตูเท่ากัน (two-legged tie) ทีมที่มีจำนวนประตูจากการไปเยือนมากกว่า จะเป็นผู้ชนะผ่านเข้ารอบโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกฎที่ UEFA เริ่มนำมาใช้ครั้งแรกในฤดูกาล 1965-1966 Aleksander Ceferin ประธาน UEFA ออกมากล่าวว่า การตัดสินใจยกเลิกกฎประตูทีมเยือนนั้นไม่ใช่การตัดสินใจที่เอกฉันท์จาก UEFA’s Executive Committee เพราะมีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย แต่เมื่อพิจารณาจากประเด็นเรื่องความแฟร์ในการแข่งขันที่หลายคนตั้งคำถามและแนะนำให้ยุบมันทิ้งตลอดหลายปีที่ผ่านมาทั้งจากนักเตะ สโมสร หรือแม้แต่แฟนบอล วันนี้เราจึงตัดสินใจที่จะยกเลิก Away Goal rule ซะ เพื่อการแข่งขันที่สนุกสนานและเป็นธรรมมากขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังยุบกฎประตูทีมเยือนทิ้งไป คือการเปิดเกมบุกของทีมเจ้าบ้านมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเจ้าบ้านมักจะวางแผนมาอุดในนัดแรก เพื่อป้องกันไม่ให้ทีมเยือนทำประตูได้ ซึ่งจะทำให้การแข่งนัดต่อไปเหนื่อยมากขึ้นหลายเท่า ดังนั้นในฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป การแข่งขันรอบ Knock Out ถ้าทั้งสองทีมประตูเสมอกัน
ในยุคแห่งเทคโนโลยี บรรดาแกงค์อาชญากรต่างหันมาใช้วิธีสื่อสารที่ทั้งลับและตามจับได้ยาก โดยเฉพาะ chat application ที่รันบน secure smartphone ซึ่งผ่านการดัดแปลงให้ไร้สัญญาณสื่อสาร มีเพียง chat app รันบนระบบปฏิบัติการที่เขียนขึ้นมาใหม่ สำหรับรับส่งข้อความเฉพาะที่รู้กันภายในโลกใต้ดิน จึงเป็นการยากที่สายสืบจะเข้าถึงแหล่งข้อมูลเหล่านี้ แต่ล่าสุดมันกลายเป็นดาบสองคม เมื่อ FBI มาเหนือเมฆยิ่งกว่ากับปฏิบัติการ ‘Operation Trojan Shield’ หลังจับกุมและทำลาย chat application ที่เหล่าผู้ร้ายนิยมใช้สื่อสารกันลงได้หลายแห่ง ซึ่ง 1 ในนั้นคือ chat Application ชื่อ ‘ANOM’ หลังโดนดำเนินคดี เจ้าของ app เสนอกับเจ้าหน้าที่ว่าจะให้ access ในการควบคุม app แลกกับการลดโทษเหลือสถานเบา ทีม FBI ตกลงและได้เข้ามาอยู่เบื้องหลัง chat application นี้ทันที โดยทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายประเทศ ตั้งแต่ Australia, New Zealand, Europe จากนั้นก็แนะนำมันแบบปากต่อปากจากสายลับ กระทั่ง
ช่วงหลังมานี้ ชื่อของ ริชาร์ด รามิเรซ (Richard Ramirez) ชายชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน เริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากเคยกลายเป็นชื่อที่ชาวอเมริกันในยุค 80’s ส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยิน หรือได้เห็นผ่านตาสักครั้ง จากข่าวสะเทือนขวัญในเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเรื่องราวที่เคยได้ยินได้เห็น อาจเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความโหดร้ายเมื่อเทียบกับชีวิตทั้งหมดของเขาที่เรากำลังจะเล่าให้ฟัง ก็เป็นได้ ก่อนจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลื่องลือถึงความบ้าคลั่ง ริชาร์ด มีพื้นเพมาจากเมืองเอลปาโซ รัฐเท็กซัส เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน พ่อของริชาร์ดเคยเป็นตำรวจ แต่ต้องออกจากราชการเพราะถูกคนในชุมชนร้องเรียนถึงการทำเกินกว่าเหตุและมีท่าทีรุนแรง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ริชาร์ดถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคลมบ้าหมู ส่งผลให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งกองหลังทีมฟุตบอลโรงเรียน เด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งความฝัน ไม่มีเพื่อน ไม่สนใจการเรียน เริ่มติดยาเสพติด ดมกาว สูบกัญชา วัน ๆ เอาแต่เก็บตัวอยู่กับญาติห่าง ๆ นามว่า ‘ไมค์’ ชายที่ปลูกฝังสัญชาตญาณดิบให้กับริชาร์ด ไมค์ เคยเป็นทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปรบในเวียดนาม เขาชอบเล่าประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวกับการข่มขืน ทารุณ และสังหารหญิงชาวเวียดนามให้ริชาร์ดฟัง บางครั้งก็หยิบรูปถ่ายเหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกายมาให้ดู บรรยายขั้นตอนการใช้มีดกรีดเฉือนเนื้อเหยื่อให้ตายทั้งเป็น ซึ่งเด็กหนุ่มกลับชื่นชอบเรื่องราวเหนือจินตนาการเหล่านี้เป็นอย่างมาก ริชาร์ดไม่สนิทสนมกับพี่น้องแท้ ๆ ของตัวเอง เขามองไมค์เป็นเหมือนพี่ชายผู้เป็นแบบอย่าง ทว่าวันหนึ่งไมค์ถูกตำรวจจับ