DESIGN

THE PROFILES: สดุดีแด่ KARL LAGERFELD ยอดดีไซเนอร์ผู้สร้างตำนานจนยากจะลืมให้กับโลกแฟชั่น

By: TOIISAN February 21, 2019

ช่วงนี้ข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสุดยอดดีไซเนอร์เปลี่ยนโลกอย่าง Karl Lagerfeld ผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นเต็มหน้าฟีดโซเชียลทั้งไทยและเทศ บุรุษอายุ 85 นี้คือใคร ทำไมวงการการออกแบบและแฟชั่นถึงออกมาร่วมไว้อาลัย ถ้ายังคิดไม่ออกว่าเขาคือใคร ภาพติดตาของดีไซน์เนอร์ของแบรนด์ Chanel ที่ชอบใส่สูทสีดำ ไว้ผมยาวสีขาวโพลนรวบหางม้า และสวมแว่นกันแดดตลอดเวลาด้านล่าง คงทำให้ต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน

UNLOCKMEN ขอนำทุกคนไปทำความรู้จักกับชายผู้สร้างสีสันให้กับโลกแฟชั่น เพื่อสดุดีถึงผลงานที่ทำมาตั้งแต่ช่วง 50’s ที่โดดเด่น ไม่ธรรมดา และกินใจผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน

fashion industry broadcast

ก่อนที่ Karl Lagerfeld จะเป็น Creative Direction ให้กับแบรนด์แฟชั่นสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Chanel และแบรนด์ดังจากอิตาลี Fendi รวมถึงก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นในชื่อของตัวเองว่า Karl Lagerfeld จนเกรียงไกร เขาต้องพบกับขวากหนามมากมายที่ต้องพยายามฝ่าฟันนับครั้งไม่ถ้วนจนได้สิ่งที่หวัง

เรื่องราวชีวิตก่อนมีชื่อเสียงโด่งดังของ Karl เริ่มต้นจากเด็กชายชาวเยอรมันที่ย้ายมาตามความฝันใน “ปารีส” มหานครแห่งแฟชั่น  ทุ่มเวลากับสิ่งที่ชอบด้วยการเรียนรู้เรื่องผ้าอยู่ 2 ปี จากนั้น Karl ในวัย 17 ปี จึงได้ลองส่งผลงานชิ้นแรกของตัวเองคือแบบสเก็ตช์เสื้อโค้ตเข้าประกวดในปี ค.ศ. 1954 และได้รับรางวัลชนะเลิศ

Fashionsizzle

dw

ผลงานชิ้นนี้ของ Karl เข้าตา Pierre Balmain ดีไซเนอร์ชื่อดังแห่งยุค จนนำแบบจากกระดาษมาตัดเสื้อผ้าออกขายจริงและรับเข้าทำงานตำแหน่งผู้ช่วย นับเป็นก้าวแรกที่ชื่อของ Karl Lagerfeld ได้รับการจารึกไว้ในแวดวงแฟชั่น

สิ่งที่ทำให้ Karl โดดเด่นแตกต่างจากเหล่าดีไซเนอร์คนอื่น ๆ ในยุคเดียวกันมาจากการฉีกกฎเกณฑ์ดีไซเนอร์ยุคนั้นด้วยการออกแบบผลงานหลายประเภท เรียกง่าย ๆ ว่าถ้าคนอื่น ๆ ทำอาชีพดีไซเนอร์ พวกเขาจะวนเวียนอยู่กับการออกแบบเสื้อผ้าเท่านั้น ไม่ข้ามไปจับวงการน้ำหอม หรือเครื่องประดับอย่างปัจจุบัน แต่กรอบความคิดนั้นใช้ไม่ได้กับ Karl

การร่วมงานกับแบรนด์ Chloé ในฐานะดีไซเนอร์อิสระ Karl สร้างค่านิยมและปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการแฟชั่นในช่วงเวลานั้น เพราะเขาเป็นดีไซเนอร์คนแรกที่ออกแบบและผลิตน้ำหอมให้กับ Chloé จากผลงานในครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Karl เป็นชายผู้มีหัวสมัยใหม่และคิดนอกกรอบเดิม ๆ

ต้องยอมรับว่า Karl คือชายมากความสามารถและความทะเยอทะยาน ในปี 1983 เขาเข้ามาเป็นผู้กุมบังเหียนของห้องเสื้อที่ชื่อว่า Chanel ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาไม่น่ามาทำเลย เพราะขณะนั้น Chanel อยู่ในช่วงวิกฤตและเป็นแบรนด์ที่หลายคนกล่าวกันว่า “ใกล้ตาย” แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน Karl จะตอบคำถามนี้ในใจว่า ‘ชอบใจที่ผู้คนคิดแบบนี้ และเดี๋ยวก็จะได้รู้กัน’

Chloe

voxsartoria

เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องเสื้อ Chanel เขาสร้างความสดใหม่แต่ยังคงมาตรฐานความคลาสสิกให้แก่แบรนด์ด้วยการนำโลโก้ที่ Coco Chanel ผู้ก่อตั้งที่ได้ออกแบบไว้ตั้งแต่ปี 1925 มาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง จนกลายเป็น Iconic ที่เมื่อใครก็ตามต่อให้ไม่ใช่คนที่สนใจแฟชั่นมากนักได้เห็นสัญลักษณ์นี้ก็จะรู้ได้ทันทีว่านี่คือ Chanel จากแบรนด์ที่ใครหลายคนค่อนแคะว่าใกล้ตาย Karl มีส่วนอย่างมากที่เข้ามาชุบชีวิตให้กลายเป็นแบรนด์แฟชั่นชั้นนำของโลกและยืดหยัดอยู่จนถึงปัจจุบัน

การร่วมงานกับผู้คนหลากหลาย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองที่น่าสนใจของแฟชั่นอยู่เสมอ ทำให้เขาได้ร่วมงานกับแฟชั่นเฮ้าส์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดแบรนด์หนึ่งของอิตาลีอย่าง Fendi โดยมีหน้าที่เป็น Creative Direction ตั้งแต่ปี 1965 รับผิดชอบในการดีไซน์คอลเลกชันไอเทมเฟลอร์ เสื้อผ้า และแอคเซสเซอรี่ และเมื่อลองคำนวณเวลาดูแล้วเท่ากับว่าปู่ Karl ดำรงตำแหน่งนี้มากว่า 54 ปีแล้ว!

pursuitist

เมื่อกลายเป็นผู้กุมทิศทางของสองแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก เขาทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงกับความสามารถและจินตนาการนำผู้อื่นอยู่หนึ่งก้าวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความฮือฮาด้วยการเนรมิตรันเวย์ให้กลายเป็นป่าใจกลางเมือง หรือจัดแฟชั่นโชว์บนเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว พร้อมกับแสดงผลงานดีไซน์ด้วยสไตล์ที่โดดเด่นจากการผสมผสานกลิ่นอายของความคลาสสิกร่วมกับความโมเดิร์น ก่อให้เกิดความเท่สไตล์ Rock-Chic-Edge ที่ไม่เหมือนใคร

Scoopnest

Scoopnest

ด้วยประสบการณ์ที่มากมาย การลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน และฝีมือการดีไซน์ที่หาตัวจับยากในคติความคิดแบบ Karl ที่ไม่เชื่อว่าเสื้อผ้าคอลเลกชันเดียวจะทำให้เราประสบความสำเร็จแบบถาวร เพราะทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับคอลเลกชันหน้าต่างหาก แสดงให้เห็นว่า Karl มักคิดล่วงหน้าไปก่อนทุกครั้ง และไม่ยอมหยุดอยู่กับที่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาได้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลของวงการแฟชั่นยาวนานหลายสิบปี โดยที่ผู้คนในแวดวงก็ยอมรับผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขา

นอกจากเรื่องของการดีไซเนอร์ไอเทมแฟชั่น Karl ยังซุกซ่อนความเป็นอัจฉริยะด้านอื่น ทั้งการถ่ายภาพที่ผู้คนได้สัมผัสความสามารถของเขาในด้านนี้ผ่านการถ่ายทำ Campaign Shooting ในปี 1987  รวมไปถึงพรสวรรค์ด้านการวาดภาพ การเขียนหนังสือ (เขาเขียนเคล็ดลับการลดน้ำหนักของตัวเองซึ่งสร้างยอดขายกว่า 200,000 เล่ม) ที่สำคัญยังกระโดดข้ามมายังวงการตกแต่งภายใน (interior) อีกด้วย เรียกได้ว่าเขาตามไปรันได้ครบทุกวงการจริง ๆ

Thames & Hudson

grazia

ถึงแม้ตอนนี้ Karl Lagerfeld จะจากโลกใบนี้ไป แต่เขาก็ยังคงเป็นบุรุษที่ยังนำคนอื่นอยู่ก้าวหนึ่งเสมอ จากการวางแผนส่งไม้ผลัดให้ Virginie Viard คนสนิทที่เรียกได้ว่าเป็นมือขวาของ Karl เพื่อให้ทุก ๆ อย่างสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่นแม้จะไร้เขาก็ตาม เช่นเดียวกับประโยคที่เขาเคยพูดไว้ว่า “Why should I stop working? If I do, I’ll die and it’ll be all finished” หรือ “ทำไมผมต้องเลิกทำงาน ถ้าเกิดผมเลิกขึ้นมานั่นเหมือนความว่าผมตายแล้ว และทุกอย่างก็มาถึงจุดสิ้นสุด” ที่แสดงให้เห็นว่าเขาคือคนที่ทุ่มเทหัวใจและพลังงานทุกหยดที่มีกับสิ่งที่รักอย่างหมดใจจนลมหายใจสุดท้าย

behindthescenes

 

SOURCE1SOURCE2

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line