World

THE PROFILES: ตำนานของ ‘สี จิ้นผิง’ ผู้ปลุกเร้าการต่อสู้อันแสนดุเดือดระหว่างมหาอำนาจโลก

By: TOIISAN May 22, 2019

“สงครามอาจกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งเร็ว ๆ นี้” นี่คือประโยคที่คนส่วนใหญ่พูดถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกากับจีน บางคนอาจมองว่าประโยคนี้กล่าวเกินจริง แต่หากลองฉุกคิดดูก็จะรู้ว่าสงครามไม่จำเป็นต้องยิงนิวเคลียร์หรือส่งทหารออกไปสู้รบเสมอไป

สำหรับใครที่ตามข่าวการเมืองของสหรัฐฯ จะต้องคุ้นเคยกับประโยค “Make American Great Again” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างแน่นอน เพราะเขามักจะพูดอยู่บ่อย ๆ ว่าจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งและยังแข่งขันกันทุกด้านกับประเทศขั้วตรงข้ามอย่างจีนซึ่งมีผู้นำที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครอย่างสี จิ้นผิง

การต่อสู้ที่ร้อนแรงของสองขั้วมหาอำนาจโลกทำให้ UNLOCKMEN นำเรื่องราวโดยย่อรวมถึงประวัติของ สี จิ้นผิง ชายผู้ต่อกรกับโดนัลด์ ทรัมป์อย่างสูสีมาร้อยเรียงให้ทุกคนติดตามกัน ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมผู้ชายอย่างเรา ๆ ต้องสนใจเรื่องราวการต่อสู้ของสองประเทศนี้

 

สี จิ้นผิง เป็นใคร ?

สี จิ้นผิง เป็นลูกชายของ สี จงชุน ทหารผ่านศึกคอมมิวนิสต์จีน ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองเพราะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีซึ่งใกล้ชิดกับ เหมา เจ๋อตง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน

เกริ่นมาแบบนี้หลายคนอาจคิดว่าเด็กชายผู้เติบโตท่ามกลางผู้ทรงอิทธิพลและมีพ่ออยู่ในแวดวงการเมืองควรมีชีวิตที่โชคดีและได้เปรียบเด็กคนอื่น ๆ จนน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีในวันนี้ แต่ความจริงไม่ได้ราบรื่นอย่างนั้น เพราะชีวิตของเขาพลิกผันจากเหตุการณ์ที่พ่อของเขาโดนปลดตำแหน่งอย่างสายฟ้าแลบ เนื่องจากตัดสินใจอนุญาตให้สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งตีพิมพ์หนังสือวิจารณ์ เหมา เจ๋อตง

ผลจากการตัดสินใจของสี จงชุน ครั้งนี้ไม่เพียงทำให้เขาหลุดจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่ทั้งครอบครัวต้องเปลี่ยนสภาพจากครอบครัวนักการเมืองไปเป็นกรรมกรทันที ส่วนเด็กชายจิ้นผิงก็กลายเป็นเด็กที่ถูกเพื่อร่วมชั้นกลั่นแกล้ง ครั้นเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเขาก็ยังเป็นหนึ่งในปัญญาชนจำนวน 29,000 คน ที่ถูกกวาดต้อนไปทำไร่และปศุสัตว์ช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม

nytimes

ช่วงชีวิตวัยเด็กของสี จิ้นผิงเปลี่ยนจากเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบพลิกสู่จุดต่ำสุด ถึงแม้จะมีชีวิตวัยเด็กที่แสนรันทดแต่สี จิ้นผิง ก็ไม่ยอมแพ้ให้กับโชคชะตา เครื่องยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้เขาสู้ชีวิตคือการพยายามเข้าเป็นสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยหมั่นเขียนจดหมายสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคถึง 9 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธทุกครั้ง

ถึงจะโดนปฏิเสธแต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ ในที่สุดสี จิ้นผิง ก็เข้าสู่โลกของการเมืองได้สำเร็จ ชื่อเสียงของพ่อเขาได้รับการฟื้นฟูหลังการอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตง เขาเริ่มมีสายสัมพันธ์กับคนในกองทัพ จนท้ายที่สุดหลังจากพยายามมานานหลายสิบปี สี จิ้นผิง ก็ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนมาครอบครอง เขาเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และภาพลักษณ์ชัดเจน ใจดีแต่ก็แข็งแกร่งและไม่ยอมอ่อนข้อในเวลาเดียวกัน ใส่ใจประชาชนแต่ก็ดุดันเฉียบขาด ไล่ปราบคนโกง กำจัดอำนาจมืดเก่า ๆ จนเหี้ยน และเป็นผู้นำที่ฉลาดหลักแหลมด้านการใช้สื่อควบคุมประชาชน  

Business Insider

ช่วงรับตำแหน่งใหม่ ๆ หลายคนมองว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนที่สามารถกุมอำนาจได้มากนัก เนื่องจากการเมืองของจีนมีระบบที่ซับซ้อน อำนาจไม่ได้เบ็ดเสร็จที่คน ๆ เดียวเพราะมีการคานอำนาจภายในกันตลอดเวลา และไม่มีทางที่จีนจะย้อนกลับไปสู่ยุคสมัยผู้นำฉายเดี่ยวแบบในอดีตได้ แต่กลายเป็นว่า สี จิ้นผิง ณ ปัจจุบันคือผู้นำที่กุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จและโดดเด่นในเวทีโลกไม่แพ้ผู้นำจากดินแดนหมีขาวอย่าง วลาดิเมียร์ ปูติน หรือผู้นำจากประเทศเสรีอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ 

นอกจากนี้สี จิ้นผิง ยังได้เพิ่มคะแนนนิยมให้กับตัวเองด้วยวลีกินใจอย่าง

“รางวัลไม่ได้ร่วงหล่นลงจากฟ้า แต่ความพยายามต่างหากที่ทำให้ฝันเป็นจริง”

คำกล่าวของผู้นำจีนครั้งนี้ทำให้ประชาชนแดนมังกรส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า เป็นคำกล่าวอวยพรปีใหม่ที่ตราตรึงและทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยออกมาจากปากของผู้นำจีน ซึ่งความสู้ชีวิตของเขาก็เป็นการการันตีได้ว่าสิ่งที่พูดไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำเท่ ๆ เท่านั้น แต่เขาได้พยายามอย่างหนักจนประสบความสำเร็จจริง ๆ

มุมมองของอเมริกาต่อจิ้นผิงก่อนการมาของโดนัลด์ ทรัมป์ 

new china

ก่อนที่สี จิ้นผิง จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน เขาเคยเดินทางมายังรัฐไอโอวา และได้พักอาศัยอยู่กับครอบครัวชาวอเมริกัน โดยทริปดังกล่าวสร้างความประทับใจให้กับสี จิ้นผิง วัยหนุ่มเป็นอย่างมาก จากเด็กหนุ่มตำแหน่งเล็ก ๆ ในพรรคคอมมิวนิสต์จีน ใครจะคิดว่าอีกเกือบ 30 ปีต่อมาเขาจะกลายเป็นรองประธานาธิบดีและกลับมาเยือนสหรัฐฯ อีกครั้ง

“พวกคุณเป็นชาวอเมริกันกลุ่มแรกที่ผมรู้จักและได้พูดคุย ความประทับใจแรกของประเทศนี้มาจากพวกคุณ และสำหรับผม พวกคุณคืออเมริกา”

คำกล่าวของสี จิ้นผิงต่อกลุ่มคนที่คอยดูแลเขาในทริปสั้น ๆ หลายสิบปีก่อนเป็นถ้อยคำที่ทำให้เกิดคำวิจารณ์ออกเป็นสองฝั่ง บางคนว่าเขาสร้างภาพ แต่บางคนก็เชื่อในสิ่งที่สี จิ้นผิง พูดว่าเป็นคำที่เอ่ยออกมาจากใจจริง

nytimes

ต่อมาไม่นานสี จิ้นผิง ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีจีนและเดินทางมาประชุมที่เมืองซันนี่แลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนมิถุนายนปี 2013 โดยประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ในช่วงเวลานั้นอย่างบารัค โอบาม่า เคยกล่าวถึง สี จิ้นผิง ว่า

“ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับสหรัฐอเมริกา”

Public Radio International

ผู้นำทั้งสองประเทศได้พูดคุยกันเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ใหม่ ไม่ขัดแย้ง พร้อมเผชิญหน้า และเคารพซึ่งกันและกัน แต่นั่นคือยุคของโอบาม่าที่ผ่านไปแล้ว และตอนนี้ผู้นำโลกเสรีคนปัจจุบันอาจไม่คิดแบบนั้น 

 

การต่อสู้ของสี จิ้นผิง และโดนัลด์ ทรัมป์ 

Defense News

หลายคนมองว่าจุดเริ่มต้นของความคุกรุ่นระหว่างสองประเทศเกิดขึ้นเมื่อประเทศจีนประกาศว่าจะขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์หรือราว 1.92 ล้านล้านบาท กับสินค้าหลายประเทศตั้งแต่ชา กาแฟ เนื้อสัตว์ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2019 ถือเป็นการโต้ตอบที่เจ็บแสบหลังจากสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์

การแข่งกันตั้งกำแพงภาษีไปมาถือว่าเป็นสงครามทางเศรษฐกิจก็ว่าได้ ถึงแม้จะไม่หันหัวรบนิวเคลียร์ใส่กันเหมือนอย่างในหนัง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นี่แหละสร้างความขุ่นเคืองใจได้ไม่น้อยกว่าการเอาปืนจ่อหน้ากัน 

businessinsider

แล้วถ้าจีนทะเลาะกับอเมริกาจริง ๆ ไทยจะไปเกี่ยวอะไรด้วย ? ทำไมเราถึงต้องตื่นเต้นตาม ? นั่นเป็นเพราะหลังจากที่สองประเทศมหาอำนาจประกาศขึ้นภาษีตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐฯ และยุโรปพากันดิ่งลงเหว ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลงกว่า 600 จุด เทียบได้ 2.25% ดัชนีแนสแดกลดลง 3.4% เอสแอนด์พี 500 ลดลง 2.49% แน่นอนว่าไทยก็จะต้องได้รับผลกระทบจากหุ้นทั่วโลกที่พากันดิ่งลงด้วยเช่นกัน

Forbes

นอกจากการค้าแล้วด้านเทคโนโลยีก็ไม่น้อยหน้ากัน เพราะประเทศจีนสามารถสร้างเครือข่ายสื่อสารไร้สายและเข้าสู่ยุค 5G อย่างเต็มตัว ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเทคโนโลยี โดยมีบริษัทชื่อดังอย่าง หัวเว่ย ร่วมพัฒนาระบบด้วย ทว่าประเทศมหาอำนาจประชาธิปไตยอย่างอเมริกาไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ขัดขาเต็มที่โดยกล่าวว่าระบบเทคโนโลยี 5G จากจีนเป็นภัยต่อความมั่นคงของทุกประเทศ พร้อมแนะนำให้ประเทศในยุโรปปฏิเสธการตกลงการค้าและเทคโนโลยีกับจีน เมื่ออเมริกาพูดขนาดนี้แล้วใครจะกล้าใครล่ะครับ ?

TNW

เท่านั้นยังไม่พอ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้สั่งกูเกิ้ลให้แบนหัวเว่ยเพื่อเน้นย้ำถึงนโยบายที่ชัดเจนของตัวเอง ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางไปยังโรงงานผลิตแร่แรร์เอิร์ธ (Rare-Earth) ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของการผลิตชิปคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รวมถึงอาวุธหลายประเภท แถมจีนยังเป็นประเทศที่ผลิตและส่งออกแร่ที่แสนสำคัญนี้ไปทั่วโลกกว่า 90% และสหรัฐฯ ก็ต้องนำเข้าแร่แรร์เอิร์ธจากจีนถึง 80% 

Bloomberg

การเดินทางไปยังโรงงานผลิตแร่ของผู้นำจีนพร้อมกับรองนายกรัฐมนตรี หลิวเหอ ผู้นำคณะเจรจาการค้าของจีนอาจเป็นการบอกอเมริกากลาย ๆ ว่า อาจใช้แร่มีค่านี้เป็นตัวต่อรองและเป็นแต้มต่อที่สำคัญของจีน แม้ว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจมีภาพลักษณ์ที่โผงผางและบางคนเรียกเขาว่าเจ้าทึ่ม แต่การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจได้ก็ต้องมีของพอสมควร

สื่อหลายเจ้าเริ่มตีข่าวว่าอเมริกากำลังฟื้นอุตสาหกรรมแร่แรร์เอิร์ธของตัวเอง พร้อมเจรจาเพิ่มเติมกับประเทศเวียดนามและเม็กซิโกที่เป็นแหล่งผลิตเช่นกัน แต่ก็ถึงอย่างนั้นเวียดนามก็เป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีนมาอย่างยาวนาน ส่วนเม็กซิโกก็กำลังมีข้อพิพาทกันเรื่องการสร้างกำแพงเม็กซิโกและการกีดกันชาวละตินของทรัมป์ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดของอเมริกาก็คงหนีไม่พ้นต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้ได้ 

Nikkei Asian Review

ผลที่ออกมาของการต่อสู้กันระหว่างสองประเทศมหาอำนาจจะจบแบบสวยงามหรือว่าทะเลาะกันหนักกว่าเดิม รูปแบบไหนล้วนสร้างรอยแผลให้กับทั้งสองประเทศแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทูตที่ส่อแววเคลือบแคลงใจกัน (จากที่ระแวงกันอยู่แล้ว) หรือการค้าที่ยังคงตั้งกำแพงภาษีกันสูงลิบ ดังนั้น เราคงทำได้เพียงแค่ติดตามข่าวต่อไปอย่างใกล้ชิด และหวังว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นต่อไปก็พอ

 

SOURCE : 1 / 2 / 3 / 4

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line