ถ้าเราลองเปิดบันทึกประวัติศาสตร์โศกนาฏกรรมดู จะพบว่ามีหลายต่อหลายครั้งที่ต้นเหตุของเรื่องน่าเศร้านั้นเกิดแค่จากการขาดสติของมนุษย์ ‘เหยียบกันตาย’ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว และคงไม่มีใครคาดคิดว่าสักวันหนึ่งเหตุการณ์นี้จะเกิดกับตัวเอง ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุขึ้นมาจริง ๆ จึงไม่มีใครทราบว่าควรปฏิบัติตัวยังไง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงมักกลายเป็นเรื่องเศร้า แต่ถ้าเราลองทบทวนดี ๆ แล้วจะพบว่าในชีวิตประจำวันนั้นเต็มไปด้วยสถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การเหยียบกันได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวผับบาร์, คอนเสิร์ต, งานสินค้าลดราคา และอีกมากมาย วันนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธีการเอาตัวรอดเบื้องต้นไม่ให้ลงไปจมกองตีนกองเท้าของฝูงชนเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ถึงจะไม่ 100% แต่รับรองว่าอย่างน้อยคุณก็มีโอกาสรอดมากขึ้นแน่นอน มองหาทางหนีทีไล่ ก่อนอื่นเมื่อคุณเข้าไปอยู่ในสถานที่ซึ่งแออัดด้วยผู้คนสิ่งที่ควรทำเป็นอย่างแรกคือการมองหาทางเข้าออกว่าอยู่ตรงไหนบ้าง มีทั้งหมดกี่ทาง ทางไหนอยู่ใกล้กับคุณที่สุด ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นควรออกทางไหน จดจำมันให้ขึ้นใจ อย่าคิดเข้าข้างตัวเองว่างคงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก เพราะถ้ามันเกิดขึ้นมาทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้นรอบคอบไว้ก่อนดีกว่าประมาทแล้วมาเสียใจทีหลัง หาที่กำบัง ถ้าเหตุโกลาหลนั้นเกิดจากความแตกตื่นเพียงอย่างเดียว (ไม่ใช่ไฟไหม้, ตึกถล่ม, หรือภัยพิบัติอื่น ๆ ) เราก็ไม่จำเป็นต้องรีบหนีออกจากอาคารแต่อย่างใด เพียงแต่เราจำเป็นต้องหลบคลื่นฝูงชนที่หลั่งไหลเท่านั้นเอง ดังนั้นลองมองไปรอบ ๆ ตัว หาอะไรที่พอจะใช้กำบังตัวเองได้ อาจจะเป็นตู้เก็บของ เคาน์เตอร์ หรืออะไรที่น่าจะรองรับน้ำหนักตัวคุณไหว จากนั้นก็เข้าไปซ่อนตัวในนั้นหรือปีนขึ้นไปด้านบนรอให้ความแออัดเบาบางลง เพียงเท่านี้คุณก็ปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนแล้ว จงเคลื่อนไหวอย่าหยุดยั้ง ถ้าคุณไม่สามารถหาที่กำบังได้ ทางเลือกที่เหลือคือการเคลื่อนไหวตามฝูงชน พยายามไหลไปตามแรงผลักเพื่อเป็นการถนอมแรงเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น แต่ที่สำคัญคือห้ามคุณหยุดเคลื่อนไหวเด็ดขาด พยายามแทรกตัวตามช่องว่างเพื่อเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะการที่คุณเบรกแล้วหยุดอยู่กับที่นั้นมีความเสี่ยงสูงที่คุณจะโดนแรงผลักจากด้านหลังดันคุณจนล้มไปจมกองสหบาทาได้ กางศอกสร้างอาณาเขต
ก่อนจะเริ่มอ่านคอนเทนต์นี้ เราอยากให้ทุกคนลองมองไปรอบ ๆ ตัวและลองนับจำนวนวัสดุอุปกรณ์ที่ทำมาจากพลาสติกดู คุณจะพบในทันทีว่าพลาสติกมีบทบาทกับชีวิตประจำวันของคนเรามากแค่ไหน โลกใบนี้เต็มไปด้วยพลาสติกจำนวนมหาศาล และอยู่ในทุกที่ทุกสิ่ง คิดภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพลาสติก โลกใบนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วมันยังไงล่ะ? คุณอาจจะคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะพลาสติกเมื่อใช้เสร็จก็จะมีหน่วยงานเก็บไปรีไซเคิลกลับมาให้ใช้ได้ใหม่อีกครั้ง อาจจะคิดว่าการเพียงแค่แยกขยะให้ถูกต้องก็เพียงพอแล้ว โลกจะไม่โดนทำร้าย โดยไม่รู้ตัวเลยว่าชุดความคิดเหล่านี้กำลังทำร้ายโลกอย่างช้า ๆ จากผลกระทบเล็กน้อยเช่นการปนเปื้อนมลพิษในอากาศ นำไปสู่ภาวะโลกร้อนขั้นหายนะในท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลอังกฤษจะเพิ่งประกาศว่ากำลังพิจารณาวิธีรีไซเคิลพลาสติกรูปแบบใหม่ แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ช่วยอะไรเลย เหตุผลสำคัญที่การรีไซเคิลค่อนข้างจะไร้ประโยชน์ เนื่องจาก 2 ใน 3 ของพลาสติกรอบตัวคุณนั้นเป็นพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ ถ้าคุณสังเกตบนผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะมีข้อความว่า “Not currently recyclable” กำกับเอาไว้ ความเป็นจริงที่ทุกคนไม่อยากรับรู้คือพลาสติกที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้จะมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่การถูกฝังกลบในบ่อขยะ ดังนั้นสำหรับวัตถุอื่นการรีไซเคิลอาจเป็นแนวทางที่ได้ผล แต่นั่นตรงกันข้ามกับพลาสติกโดยสิ้นเชิง ถ้าจะพูดว่าสำหรับพลาสติกแล้วการรีไซเคิลแทบจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงก็ไม่ผิดนัก การรีไซเคิลไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลหรือองค์กรการกุศลทำเพราะความหวังดีห่วงใยสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด แต่มันคืออุตสาหกรรมที่มีมูลค่านับแสนล้านเหรียญทั่วโลก อย่างไรก็ตามการลดลงของราคาน้ำมันหรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศจีนส่งผลให้การรีไซเคิลพลาสติกมีกำไรลดลง ดังนั้นพลาสติกกว่า 70% ในยุโรปจะลงเอยด้วยการถูกฝังกลบในบ่อขยะ พลาสติกแตกต่างจากแก้วหรือโลหะที่สามารถรีไซเคิลได้อย่างไม่จำกัด และนอกจากจะยุ่งยากในการรีไซเคิลแล้ว การย่อยสลายก็ใช้เวลานานหลายศตวรรษ ขวดน้ำพลาสติกขวดหนึ่งสามารถอยู่บนโลกได้ถึง 450 ปีเลยทีเดียว และต่อให้การรีไซเคิลพลาสติกจะทำได้ง่ายเหมือนแก้วหรือโลหะก็ตาม แต่ขั้นตอนในการรีไซเคิลพลาสติกนั้นก็สร้างมลพิษมากมายทั้งกับสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ ดังนั้นจึงค่อนข้างชัดเจนว่าทางออกของปัญหาพลาสติกล้นโลกไม่ใช่การรีไซเคิล แต่คือการหยุดผลิตพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว พลาสติกแบบใช่ครั้งเดียวควรโดนแบนอย่างเด็ดขาดจากทั่วโลก หรืออย่างน้อยก็ตั้งกำแพงภาษีให้สูงสำหรับผู้ผลิต เช่นเดียวกับภาษีสุรา ยาสูบทั้งหลาย
ในเวลานี้คงไม่มีเรื่องไหนจะน่ายินดีและถูกพูดถึงมากไปกว่าเรื่องของเด็ก ๆ และโค้ชของทีมฟุตบอล ‘หมูป่า FC’ รวม 13 คนที่โดนภัยธรรมชาติเล่นงานจนต้องติดอยู่ในถ้ำหลวงฯ จังหวัดเชียงรายถึง 10 วัน แต่หลังจากการทุ่มกำลังค้นหาอย่างเต็มที่จากหลายหน่วยงานทั้งไทยและเทศ ในที่สุดความพยายามก็ประสบความสำเร็จ และทั้ง 13 คนปลอดภัยดี แต่นี่ไม่ใช่การรอดชีวิตราวปาฏิหาริย์จากภัยธรรมชาติครั้งแรก เพราะที่ผ่านมาก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ประสบเหตุการณ์ร้ายแรงไม่ต่างจากทีมหมูป่าเลย แต่ทั้งหมดก็มีตอนจบ Happy Ending เหมือนกัน และนี่คือเรื่องราวของเหล่าคนดวงแข็ง Queen Of The Sea นี่คือเรื่องราวการรอดชีวิตราวปาฏิหาริย์ของชายซึ่งมีอาชีพเป็นเจ้าของร้านอาหารชาวศรีลังกานาม Daya Wijaya Gunawardana เมื่อปีพ.ศ. 2547 เขานั่งรถไฟจากศรีลังกามุ่งสู่อินเดีย แต่ระหว่างทางขณะที่วิ่งผ่านชายฝั่งทะเล รถไฟขบวนดังกล่าวโดนคลื่นสึนามิซัดเข้าใส่อย่างแรงจนทั้ง 8 ขบวนตกจากรางและจมอยู่ในน้ำ แม้เขาจะยังรอดปลอดภัยแต่ก็ติดอยู่ภายในรถไฟที่จมอยู่ในน้ำร่วมชั่วโมงและพลัดหลงกับลูกชาย เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงกว่าที่ Gunawardana จะเจอลูกชาย ทั้งคู่ช่วยกันหาทางออก จนในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจกระโดดหนีออกทางหน้าต่างก่อนที่คลื่นลูกที่ 2 จะซัดมาอย่างหวุดหวิด พวกเขารอดชีวิตออกมาได้ราวปาฏิหาริย์ แต่โชคร้ายที่ผู้โดยสารอีก 1,700 คนไม่โชคดีอย่างพวกเขา เหตุการณ์ Queen Of The Sea จึงกลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ภัยพิบัติทางรถไฟที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ The Cloud