ในโลกของ Black Series ที่รถแต่ละคันต่างก็มีความพิเศษเฉพาะตัว และสำหรับโมเดลลำดับที่ 3 ของตระกูล – The SL 65 Black Series ก็มีความพิเศษจากการเป็น V12 รุ่นสุดท้ายของสายพันธุ์แห่งความแรงสะใจสไตล์ OG AMG เครื่องยนต์ V12 6.0L BiTurbo (M275) ให้พลังมหาศาลถึง 670 แรงม้า แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร ที่มีเท่านี้เพราะถูก ECU ล็อคเอาไว้เพื่อถนอมเกียร์ 5G-Tronic จาก torque มหาศาล ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ทำความเร็ว 0-100 km/h ใน 3.8 วินาที เป็น Black Series รุ่นสุดท้ายที่ยังดิบบริสุทธิ์ ไม่มีระบบ Hybrid ไม่มีความซับซ้อน แรงแบบ Old School ท้าทายทุกการควบคุม ความหรูและความสบายถูก
ในโลกที่ Submariner กลายเป็นนาฬิกาหรูสำหรับนักสะสม ใครจะรู้ว่ายุคหนึ่ง Rolex Submariner ถูกสร้างขึ้นเพื่อใส่ใน ‘สงคราม’ สำหรับปฏิบัติการใต้น้ำของทหารอังกฤษจริง ๆ นั่นคือ Rolex Submariner 5513 “MilSub” อีกหนึ่งสุดยอดแห่งความแรร์สำหรับนักสะสมตัวจริง ในช่วงปี 1957 ถึงปลายยุค ‘70s รัฐบาลอังกฤษ โดย Ministry of Defence (MOD) ต้องการนาฬิกาดำน้ำคุณภาพสูงสำหรับหน่วยรบพิเศษ Royal Navy จึงสั่งให้ Rolex ผลิต Submariner ที่ผ่านการดัดแปลงเฉพาะกิจขึ้นมา นาฬิกาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ขาย ไม่เคยอยู่ในแค็ตตาล็อกทั่วไป มันถูกส่งตรงจาก Rolex ไปยัง MOD เท่านั้น โดยมีทั้งหมด 4 รุ่น แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คือ Ref. 5513 เรือนนี้ และตามเอกสารยังระบุว่าเป็น standard equipment สำหรับทหารเรืออีกด้วย FUNCTION BEFORE FORM
บนหน้าปัดดำสนิทของนาฬิกาดำน้ำที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่เหนือยุคสมัย มีตัวอักษรสีแดงเพียงหนึ่งบรรทัด ที่บอกชัดเจนว่าเรือนเวลานี้ไม่เหมือนใครในโลก มันเขียนว่า “SUBMARINER” และเพียงแค่โลโก้สีแดงหนึ่งบรรทัด… ก็สามารถสร้างตำนานให้เรือนเวลาได้ Rolex เปิดตัว Submariner Ref. 1680 ในปี 1967 Submariner รุ่นแรกที่เพิ่ม ฟังก์ชันวันที่ พร้อมเลนส์ Cyclops และที่สำคัญที่สุดคือ รุ่นพิเศษที่โลกจดจำในชื่อว่า “Red Sub” มันไม่ใช่แค่ Submariner ธรรมดาที่ใส่ตัวหนังสือแดง แต่มันคือสัญลักษณ์ของ ช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคนิคและดีไซน์ ของ Rolex ที่สำคัญมาก เป็น Submariner รุ่นเดียวที่เคยใช้ตัวอักษรแดง เป็น Submariner รุ่นแรกที่มีวันที่พร้อมเลนส์ Cyclops (Sea-Dweller เป็น Dive watch รุ่นแรกที่มี date window แต่ไม่มี Cyclops) เป็น Submariner Date รุ่นเดียวที่ใช้กระจก Acrylic box-shaped พร้อม Cyclops
หนึ่งในตำนานที่หาดูได้ยากที่สุดสำหรับ JDM: CODE RARE นี่คือรถ Demo เพียงคันเดียวที่แม้แต่ HKS Co., Ltd. เองยังยอมรับว่ามีหลักฐานหลงเหลืออยู่เพียงแค่รูปถ่ายใบเดียวเท่านั้น “This isn’t just a build, it’s a statement.” HKS RX-7 RS รถต้นแบบโรตารี่ที่เกือบไม่มีใครเคยเห็น แต่ใครเห็นแล้วจะไม่มีวันลืม เปิดตัวในงาน Tokyo Auto Salon ปี 1993 เป็นอีกครั้งที่ HKS นำรถคันหนึ่งที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาตั้งโชว์กลางบูธใหญ่ มันคือ Mazda RX-7 FD3S ร่างทอง ทำทั้งคันแบบสุดทางในแบบที่ไม่มีวางขายตามท้องตลาด ทั้งภายนอก ภายใน ไปจนถึงใต้ฝากระโปรง ฝากระโปรงหน้าถูกดีไซน์ใหม่ให้เชิดขึ้น กระจกหลังเอียง เส้นหลังคาแบบ Fastback และแนวบอดี้ที่ถูกแกะใหม่ทั้งคันด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ เครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงยังคงเป็น 13B-REW Twin-Rotor ใส่ของแต่งจัดเต็มระดับสนามแข่ง HKS GTIII-4R Turbocharger, Intercooler
Testarossa คือ Ferrari ที่นิยามยุค 1980s ด้วยเสียงเครื่อง Flat-12, ช่องดักลมข้างตัวถังที่กลายเป็นสัญลักษณ์ และความมั่นใจแบบชายในสูท Classic Italian มันมีทุกอย่างที่ซูเปอร์คาร์ในฝันควรมี แต่สำหรับ Willy König แค่นี้มันยังแรงไม่พอ Willy König เป็นอดีตนักแข่งและนักธุรกิจชาวเยอรมันที่มีความหลงใหลในความเร็ว เขาเคยคว้าแชมป์ German GT Championship และรถคันแรกที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาลก็คือ Ferrari 365 GT4 BB เมื่อขากลับรู้สึกว่ามัน “ช้าเกินไป” และ “ขาดความดิบ” แบบที่เขาเคยสัมผัสจากสนามแข่ง Willy จึงเริ่มโมดิฟายรถคันนี้ด้วยตัวเอง ผลงานที่ยอดเยี่ยมกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดสำนัก Koenig Specials GmbH ในปี 1977 ที่มิวนิก ประเทศเยอรมนี ด้วยแนวคิดที่ว่า “ถ้ารถจากโรงงานยังไม่พอ… เราจะสร้างมันขึ้นใหม่เอง” Koenig Specials เริ่มสร้างชื่อจากการโมดิฟาย Ferrari Berlinetta Boxer ด้วยวิธีการที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “สุภาพ” พวกเขาไม่สนใจว่าแบรนด์จะคิดอย่างไร
แม้แต่แฟนพันธุ์แท้ Nissan GT-R ยังอาจไม่รู้จักตัวละครลับคันนี้ นี่คือ R32 GT-R ที่ HKS บอกว่า ‘ถ้า Nissan ไม่ทำ เราทำเอง’ ในยุคที่ GT-R R32 ครองตำแหน่ง “Godzilla” แห่งสนาม Group A ทั่วโลก สำนักแต่งระดับบิดาแห่งวงการซิ่งญี่ปุ่นอย่าง HKS กลับมองว่ายังไม่พอ พวกเขาไม่แค่โมเครื่อง หรือใส่บูสต์เพิ่ม… พวกเขาคิดใหญ่กว่านั้น — “ถ้า Nissan ไม่กล้าสร้าง GT-R ที่สมบูรณ์แบบ…งั้นเราจะทำเอง” และมันคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อ HKS ZERO-R Zero-R ไม่ใช่โปรเจกต์ธรรมดา แต่มันคือ การ Re-engineering รถทั้งคันจากศูนย์ ไม่ใช่การแต่ง, ไม่ใช่ชุดบอดี้คิท, ไม่ใช่เวอร์ชันลิมิเต็ดของ Nissan แต่มันคือรถที่ HKS “สร้างใหม่” โดยใช้โครงของ GT-R R32 เท่านั้น
ในโลกของคนคลั่งความเร็ว มีไม่กี่สิ่งที่เทียบเท่าความเร้าใจจากการรวมพลังของสองตำนานแห่งอิตาลี – Ducati และ Lamborghini การโคจรมาพบกันของพวกเขาครั้งนี้ คือ Ducati Panigale V4 Lamborghini มอเตอร์ไซค์ลิมิเต็ดอิดิชั่นที่ไม่ได้แค่แรง ไม่ได้แค่สวย แต่มันคือจิตวิญญาณของ Revuelto บนสองล้อ Panigale V4 Lamborghini ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Panigale V4 S ที่โด่งดังในโลกของ superbike แต่นี่ไม่ใช่แค่การใส่โลโก้ Lamborghini ลงไปเฉย ๆ ทุกดีเทลของมันผ่านการออกแบบร่วมกับทีม Centro Stile ของลัมโบร์กินี เพื่อแปลงโฉมจักรยานยนต์ให้กลายเป็นผลงานที่เข้าคู่กับรถซูเปอร์คาร์พันแรงม้าอย่าง Revuelto ได้อย่างสมบูรณ์ คาร์บอนไฟเบอร์ที่ใช้รอบคัน ไม่ใช่แบบธรรมดา แต่เป็นลาย twill แบบเดียวกับตัวถังของ Revuelto มีทั้งสีเขียว Verde Scandal, เทา Grigio Telesto และ Grigio Acheso จัดวางเป็นลวดลายลิมิเต็ดที่ดูสปอร์ตแบบล้ำยุค มีความ “Lamborghini
วันก่อนเราพูดถึงรุ่นพี่อย่าง Toyota Supra A80 “TRD 3000GT” Complete Car ไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน จิตวิญญาณจากรถแข่งที่ถูกแปลงเป็นรถบ้าน นั่นก็คือ Toyota MR2 “TRD 2000GT” แรร์ไม่ต่างกัน แต่มีความพิเศษที่ทำให้ครอบครองได้ยากยิ่งกว่าจากการเป็น Complete Car Conversion ที่ลูกค้าต้องนำรถตัวเอง (ในที่นี้คือ MR2 SW20) ส่งไปให้ TRD ทำการ “แปลงร่าง” ให้แบบจัดเต็มทุกมุม ตั้งแต่บอดี้ ช่วงล่าง ไปจนถึงภายในเครื่องยนต์ โดยที่ spec รถแต่ละคันจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของลูกค้า ไม่มี TRD 2000GT ที่เหมือนกันเลยทั้ง 35 คัน Toyota MR2 TRD 2000GT พี่น้องร่วมตระกูลของ Supra TRD 3000GT มีจุดเริ่มต้นจากสนามแข่งรายการ Japanese GT-C เหมือนกัน แต่ด้านโครงสร้างนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถ้าจะพูดถึงยุคทองของรถสปอร์ตญี่ปุ่น ไม่มีชื่อไหนโดดเด่นเท่า Toyota Supra โดยเฉพาะ gen 4 หรือรหัส A80 รถที่สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามี Supra รุ่นนึงที่ไม่ใช่แค่หายาก แต่มันคือตำนานที่แทบไม่มีใครได้สัมผัสของจริง นั่นคือ “Toyota Supra TRD 3000GT” มันเกิดขึ้นในปี 1994 — ปีที่ Toyota หวังชัยชนะในรายการ Japan Grand Touring Car Championship (JGTC) ด้วยรถแข่งที่ใช้ Supra A80 เป็นพื้นฐาน แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งคันเพื่อลงแข่งในคลาส GT500 TRD ในฐานะฝ่ายพัฒนาแข่งของ Toyota เห็นโอกาสบางอย่างที่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็น พวกเขาคิดว่า จะเป็นยังไงถ้านำสิ่งที่พัฒนา GT500 มาถ่ายทอดในรถ Supra ที่คนธรรมดาใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่แต่งหล่อให้ดูคล้ายรถแข่ง แต่เปลี่ยนมันทั้งคันให้กลายเป็นรถแข่งที่ขับบนถนนได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ TRD 3000GT รถที่ไม่ใช่แค่ติดชุดแต่ง TRD แต่มันถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างแท้จริง
ถ้าคุณคิดว่า McLaren F1 คือผู้เปลี่ยนเกมของ Le Mans ปี 1995 คุณคิดถูกครึ่งเดียว—อีกครึ่งคือผลสะเทือนที่กระตุ้น Porsche ให้ตื่นจากการหลับไหล พอ McLaren ขึ้นโพเดียม 1-2-3 ทั้งในคลาสและอันดับรวม Porsche ก็ประกาศลั่นว่า “พอแล้วกับการฝากรถแข่งไว้กับ Dauer ถึงเวลาสร้างรถของตัวเองอีกครั้ง” พวกเขาจึงสั่งให้ Norbert Singer วิศวกรตำนานของแบรนด์ สร้างรถใหม่จากศูนย์ โดยตั้งเงื่อนไขเดียวว่า ต้องยังเป็น 911 อยู่ในทางเทคนิค เขาจึงใช้ด้านหน้าของ 993 ผสมกับด้านท้ายของ 962 สร้างเฟรมใหม่แบบ mid-engine และวางเครื่องยนต์ flat-six twin-turbo 3.2 ลิตร 600 แรงม้า ไว้กลางลำใต้ฝา carbon fiber ที่โคตรล้ำ นี่คือกำเนิดของ 911 GT1 ตัวแข่ง GT1 เปิดตัว Le Mans
ในโลกของ Panerai ทุกครั้งที่แบรนด์นี้ขยับ มักไม่ใช่แค่เรื่อง “เวลา” แต่มันคือการเล่าเรื่องของตัวตนที่ไม่เหมือนใคร — และที่ Watches & Wonders ปีนี้ PAM01575 ก็เดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ แต่เปล่งรัศมีบางอย่างที่ทำให้คนรักกลไกหยุดมอง นี่คือ Panerai Luminor Perpetual Calendar GMT Platinumtech PAM01575 ภาคต่อของ PAM01269 รุ่น Goldtech สุดเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อปี 2022 ที่ออกมาเพียง 33 เรือนทั่วโลก — ครั้งนั้นมันเปิดเกมด้วยหน้าปัด smoked sapphire ที่โปร่งใสจนเผยให้เห็นจักรกลใต้ผิวเรือนเวลาได้อย่างเร้าใจ ขณะเดียวกันก็ยังคง DNA ของ Panerai ไว้อย่างครบถ้วน PAM01575 หยิบแนวคิดเดียวกันกลับมาอีกครั้ง แต่แทนที่จะแต่งทอง ก็เปลี่ยนวัสดุหลักมาเป็น Platinumtech — โลหะผสมเฉพาะของ Panerai ที่ถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งกว่าแพลตตินั่มปกติถึง 40% ด้วยกระบวนการบ่มพิเศษภายในแบรนด์เอง ส่งผลให้ตัวเรือนขนาด
ถ้า Porsche 911 คือรากฐานของความสปอร์ตเยอรมันที่คลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง RUF CTR3 ก็คือรถที่ฉีกทุกกรอบนั้นทิ้ง แล้วสร้างคำตอบใหม่ขึ้นมาด้วยความเชื่อว่า “ของแท้ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร” CTR3 คือรถรุ่นแรกของ RUF ที่ไม่ได้ใช้โครงสร้างของ Porsche แบบเดิมอีกต่อไป แต่วางพื้นฐานใหม่ร่วมกับบริษัท Multimatic จากแคนาดา ทีมเดียวกับที่ผลิต Ford GT รุ่นใหม่ผู้ชนะ Le Mans เส้นสายของ CTR3 ยังคงกลิ่น Porsche แต่กล้ามชัดขึ้น ฐานล้อยาวขึ้น 11 นิ้ว กว้างขึ้นอีก 5 นิ้วเพื่อรองรับเครื่องยนต์วางกลางลำ มันดูใกล้เคียงกับ Carrera GT และ 918 Spyder มากกว่า 911 ที่เราคุ้นตา และมันก็ไม่ได้พยายามจะเป็นอะไรที่คุ้นเคยด้วย เครื่องยนต์ที่อยู่กลางลำคือบล็อก 3.8 ลิตร flat-six พื้นฐาน Porsche แต่ผ่านการอัปเกรดแบบจัดเต็มด้วยเทอร์โบคู่จาก KKK ให้แรงม้าสูงสุด 682