ผู้ชายหลายคนที่อยู่บ้านกันนานจนเหงาหงอย ช่วงนี้คงมองหาสาวคู่ใจไว้เติมเต็มช่องว่างในชีวิต แต่การเดทสำหรับมือใหม่ถือเป็นเรื่องที่ challenging พอสมควร ไหนจะต้องคิดถึงการแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผม บทสนทนา ไปจนถึงเรื่องสถานที่เดท UNLOCKMEN อยากมาแนะนำ 5 สิ่งที่ผู้ชายยุคใหม่ควรทำเมื่อไปเดทกับสาว ๆ บอกเลยว่าเมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะมีประสบการณ์การเดทที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นอย่างแน่นอน มูฟออนให้ได้ก่อน ถ้าคุณเพิ่งอกหักมา หรือ จมอยู่กับอดีตที่เลวร้าย และยังมูฟออนไม่ได้ เราขอแนะนำให้คุณอย่าเพิ่งเริ่มเดทกับใครจะดีกว่า เพราะอารมณ์ร้าย ไม่ว่าจะเป็น ความเศร้า ความโกรธ หรือ ความแค้น จะทำให้เรายิ่งเจ็บปวดจากการเดทครั้งใหม่ได้ เราควรหาทางเยียวยาจากมันก่อน ไม่ว่าจะเป็น การไปเที่ยวกับเพื่อน หรือ ทำกิจกรรมผ่อนคลาย แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่จะช่วยให้เรามีเดทที่เพอร์เฟคมากกว่า อย่าถามเกี่ยวกับเรื่องโปรไฟล์คู่เดท (Dating Profile) สมัยนี้การเดทง่ายกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เพราะเรามีแอปหรือเว็ปไซต์หาคู่หลายเจ้า เช่น Tinder, Coffee Meets Bagel หรือ Bumble เป็นต้น เพียงเรากรอกข้อมูล Dating Profile ในแอปเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ ความสนใจ
ในยุคนี้เราพูดคุยกับคนแปลกหน้ากันง่ายขึ้น เพราะเรามี Social Media ที่ทำให้เราเข้าถึงคนทั่วทุกมุมโลกได้อย่างง่ายดาย แต่นอกจากจะทำให้เราคุยกันได้ง่ายขึ้นแล้ว มันยังทำให้เราจีบกันได้ง่ายขึ้น และโดน Breadcrumbing ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ความหมายของ Breadcrumbing Breadcrumbing หมายถึง พฤติกรรมการอ่อยที่คนทำไม่ต้องการพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟน แต่เพื่อล่อลวงให้อีกฝ่ายสนใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง โดย Breadcrumbing อาจมาในรูปแบบของการส่งข้อความหวาน ๆ โทรหากัน หรือ นัดเดท แต่ไม่เคยมีอะไรที่คืบหน้าไปมากกว่านั้น ซึ่งพอเวลาผ่านไป เหยื่ออาจเกิดความงุนงงในสถานะความสัมพันธ์ และอาจสะสมความเจ็บปวดเอาไว้ในส่วนลึกได้ สำหรับสาเหตุที่ทำให้คน Breadcrumbing นั่นมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น ต้องการหาคนคุยแก้เหงา อยากรักษาใครสักคนไว้เป็นทางเลือก หรือ ยังไม่พร้อมที่จะตัดความสัมพันธ์เลยยื้อไว้ก่อน ฯลฯ ถ้าเราเข้าใจเบื้องหลังพฤติกรรมของพวกเขาจะช่วยให้เรารับมือกับ Breadcrumbing ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ เราควรสังเกตคนที่เข้ามาจีบเราด้วยว่าทำให้เรารู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้รึเปล่า อีกฝ่ายไม่พยายามพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเรา เช่น เวลานัดเดท เขามักยกเลิก หรือ ไม่มาตามนัดเสมอ อีกฝ่ายทำให้เราสับสนในสถานะความสัมพันธ์ อีกฝ่ายมักทำให้เราสนใจแล้วก็หายไปแบบดื้อ ๆ เช่น ใช้เวลาตอบข้อความนาน เราไม่เข้าใจพฤติกรรมของอีกฝ่าย ถ้าคุณตอบใช่หลายข้อ คุณอาจกำลังโดน
กระแสของวงการ Skateboard บ้านเรา อาจเคยเป็นแค่วัฒนธรรมของคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่ ณ ตอนนี้ เราพูดได้อย่างเต็มปากว่า Skateboard เริ่มเข้ามามีบทบาทในไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะด้วยกระแสดารา กระแสปากต่อปากหรือกระแสของ Social Media ก็ตาม แต่บอกเลยว่าวันนี้ Skateboard มัน Fever มากจริง ๆ เราจึงถือโอกาสนี้พาทุกคนไปพบกับแชมป์ Surfskate หญิงคนแรกของประเทศไทย ‘พะแพง-พิมนันท์ ตันติโกสิตรัตน์’ กับเรื่องราวของความหลงใหลในกีฬาชนิดนี้ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงวินาทีที่ได้ตำแหน่งแชมป์ประเทศไทย เชื่อว่าหลายคนคงพอจะรู้จักพะแพงมาบ้างอยู่แล้ว แต่ในฐานะของนักร้อง แต่กับกีฬาชนิดเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่า เธอเริ่มต้นมาเล่นมันได้อย่างไร อยากให้พะแพงเล่าถึงจุดเริ่มต้นและ Passion ที่มีต่อกีฬา Skateboard ให้เราฟังหน่อย “มันเริ่มมาจากที่เราชอบดนตรี เราก็ฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก เราได้รับอิทธิพลจากพวกเขาตาม MV กับรายการทีวีต่าง ๆ ที่นำเสนอเกี่ยวกับกีฬาประเภทนี้ แต่แรก ๆ เราก็ยังไม่อินเท่าไรนะ พอหลัง ๆ เริ่มรู้สึกว่า เออ มันก็เท่ดีนะ อยากลองบ้าง” “แล้วเราเป็นผู้หญิงไง
ในหนึ่งชีวิตนี้เราทุกคนล้วนเคยป่วย เราอาจเคยเป็นหวัดเพราะอากาศเปลี่ยน เราอาจเคยเป็นไข้เลือดออกเพราะโดนยุงลายที่มีเชื้อกัด เราอาจเคยเป็นไมเกรนเพราะเครียดกับงานที่ทำมากเกินไป การป่วยจึงเกิดขึ้นได้กับทุกคนเป็นปกติ และอาการป่วยส่วนใหญ่รักษาให้หาย หรือหาวิธีร่วมอยู่กับอาการได้ เมื่อร่างกายป่วยได้ ก็หมายความว่าความรู้สึก จิตใจที่ผ่านการสั่งการจากสมองนั้นป่วยได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าเราจะได้เจอคนที่ป่วยใจในชีวิต บางคนเป็นโรคซึมเศร้า บางคนอาจเป็นไบโพลาร์ บางคนอาจเป็นโรคเครียด ฯลฯ แต่เมื่อคนใกล้ตัว โดยเฉพาะคนที่เรารักป่วยใจ เราคงอยากรู้ว่าเราควรเข้าใจโรคซึมเศร้าแบบไหน มีอะไรที่เราต้องยอมรับบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN ชวนทำความเข้าใจไปพร้อมกัน แง่บวกมากไปไม่ช่วยอะไร เราล้วนเลือกทำอะไร พูดอะไรกับคนที่เรารัก เพราะความหวังดี โดยเฉพาะเมื่อเขาป่วย เรายิ่งรู้สึกว่าอยากไล่เมฆหมอกแห่งความอึมครึมหม่น ๆ ที่เขารู้สึกออกไปให้พ้น เราเลยเลือกโยน “ก้อนการมองแง่บวก” ใส่เขารัว ๆ ในวันที่เขาบอกความรู้สึกว่าเศร้า เราก็ดันไปบอกเขาว่าอย่าคิดมากเลย มีคนลำบากตั้งเยอะ, เศร้าทำไม ชีวิตมีสิ่งสวยงามอีกมาก แม้เราจะพยายามชวนให้เขามองโลกในแง่บวกเพราะเจตนาดี แต่อย่าลืมว่าการทำมากไป หรือบ่อยไป มันไม่ต่างจากการที่เรามองข้ามสิ่งที่เขารู้สึก หรือบอกว่าเขาผิดเองที่ไม่มองโลกในแง่บวก ดังนั้นคุณต้องอย่าลืมว่าเขาไม่ได้อยู่ ๆ อยากเศร้าหรือห่อเหี่ยวแบบนี้ แต่มันคืออาการของโรค เหมือนเวลาเป็นหวัดแล้วน้ำมูกไหล เราห้ามน้ำมูกไม่ได้ เช่นเดียวกับที่จะไปห้ามเขาเศร้าไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือการพยายามรับฟังเวลาเขาบอกว่าเขารู้สึกอะไร โดยไม่ตัดสินสิ่งที่เขารู้สึก ยืนเคียงข้างทุกเป้าหมายของเขา สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้าคือการขาดแรงจูงใจ
ความรัก ความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่ความหอมหวานราบรื่น ถึงตอนจีบกันใหม่ ๆ ดูจะใช่ไปหมด น่ารักไปทุกสิ่ง แต่ทันทีที่มนุษย์สองคนต้องใช้ชีวิตร่วมกัน (โดยเฉพาะเมื่อต้องย้ายมาอยู่ด้วยกัน) ความน่ารักโรมแมนติกสวยหรูที่เคยฉาบไว้ตอนต้น ก็จะค่อย ๆ หลุดร่อนเผยให้เห็นแก่นแห่งความสัมพันธ์ บางเรื่องก็ยังน่าหลงใหล แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ชวนให้เบือนหน้าหนี จึงเป็นเรื่องปกติที่เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไป หลายคู่เข้ากันได้ดีกว่าเดิม แต่อีกหลายคู่ที่ไปกันไม่รอด แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคู่ก็เห็นทะเลาะกันแสนจะบ่อย มีเรื่องให้ต้องถกเถียงกันก็หลายครั้ง แต่ยังไม่เลิกกันสักที? แถมบางหนคู่ที่ดูทะเลาะ ๆ กันนี่แหละดันคบกันยาวยิ่งกว่าคู่ที่ดูราบรื่นเสียอีก? ผลสำรวจชิ้นหนึ่งระบุว่าคู่ที่ทะเลาะกันอย่างมีประสิทธิภาพมีแนวโน้มที่จะมีความสุขกับความสัมพันธ์มากกว่าคู่รักที่ไม่ทะเลาะกัน 10 เท่า! ถ้าอ่านเผิน ๆ คงรู้สึกว่าจะเป็นไปได้ไง? คนทะเลาะกันก็ต้องแปลว่ามีเรื่องคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือมีอะไรขัดแย้งกันสิ มันจะมีความสุขกว่าหรือคบกันนานกว่าได้ด้วยเหรอ? แต่การทะเลาะกันอาจไม่ได้เป็นแบบที่เราเข้าใจเสมอไป การเติบโตมาในสังคมที่ทำให้เข้าใจว่าความขัดแย้งหรือการคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องไม่สงบ แต่จริง ๆ แล้วการที่เรารู้สึกไม่พอใจแล้วเลือกบอกอย่างตรงไปตรงมา หรือคิดเห็นไม่ตรงกันแล้วเลือกแลกเปลี่ยนกันให้ชัดเจนนั้น ถือเป็นการทะเลาะกันอย่างมีประสิทธิภาพที่จะทำให้เราเข้าใจกันได้มากขึ้น ในขณะที่การเงียบ นิ่งเฉย ไม่เคยทะเลาะกันเลย (ถ้าเป็นไปเพราะเข้ากันได้ทุกเรื่องก็นับเป็นกรณีหนึ่ง) แต่จริง ๆ แล้วมีปัญหาสารพัด เรื่องไม่พอใจหลาย ๆ แบบ แล้วเลือกซุกซ่อนปัญหานั้นไว้ใต้พรม สักวันหนึ่งความไม่พอใจเล็ก ๆ เหล่านั้นก็จะสะสมจนเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไม่ได้อีกต่อไป คู่รักหลาย ๆ
น้ำตา บาดแผล และความเจ็บปวดจากการเลิกราถือเป็นความเจ็บปวดที่รับมือได้ยากแสนยากอันดับต้น ๆ คล้ายสมองจะเข้าใจดีว่าเขาต้องจากไป แต่เหมือนหัวใจมันไม่รับรู้ด้วย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่เคยใช้เวลาร่วมกันมานาน กินของอร่อยมาด้วยกัน ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่มาด้วยกัน ทุกคราวที่ของอร่อยเข้าปากน้ำตาจึงร่วง ทุกครั้งที่วนกลับไปเที่ยวที่เก่าความรู้สึกภายในก็กรีดร้องอย่างทรมาน ความเจ็บปวดที่ยากจะรับมือลำพังชนิดนี้ จึงมักผลักดันให้เรารู้สึกว่า “กูไม่อยากอยู่คนเดียวให้ต้องคิดถึงมึงให้เจ็บอีกแล้วโว้ย!” ตัวแรกอันดับต้น ๆ ของการพยายามลืมความปวดเจ็บและหนีปัญหาจากรักที่ผ่านพ้นไป (หรือแม้ประทั่งที่ยังระหองระแหงยื้อกันอยู่) จึงเป็นการ “มีใหม่ เพื่อลืมเก่า” หลายคนสนับสนุนวิธีนี้ แต่อีกหลายคนก็เคลือบแคลงสงสัยว่ามันช่วยได้จริงหรือ? การมีคนใหม่สำหรับบางคนไม่ได้หมายความถึงแค่การลืมคนเก่าเท่านั้น แต่อาจหมายถึงความสัมพันธ์ปัจจุบันที่กำลังร่อแร่เต็มที เราวนมาเจอกับปัญหาซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่ทะเลาะกันเป็นรอบที่ร้อย และเรารู้สึกว่าถ้าเลิกกัน ถ้าเปลี่ยนคนใหม่ เราอาจจะไม่ต้องเผชิญปัญหาซ้ำซากนี้ก็เป็นได้ แต่เพราะสิ่งที่เราคิดหรือรู้สึกอาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเสมอไป (Eventual) stability and change across partnerships. จึงเป็นงานวิจัยที่ไขข้อสงสัยนี้ด้วยระเบียบวิธีให้เราได้ โดยงานศึกษาครั้งนี้ใช้เวลา 8 ปี รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 554 คน งานวิจัยนี้มุ่งสำรวจปัญหาในระยะยาว โดยนักวิจัยได้สำรวจผู้คนใน 4 ช่วงเวลา คือ 1 ปีก่อนที่ความสัมพันธ์เดิมของพวกเขาจะสิ้นสุดลง,
ความสุขมีมากมายหลายรูปแบบ กิจกรรมหวามไหวก็เป็นอีกหนึ่งความสุขที่คลายเครียดทั้งกายและใจให้เราได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเซ็กซ์แล้ว การประกอบกิจกรรมย่อมทำได้ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป (ใครจะมากกว่านั้นก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล) ดังนั้นเซ็กซ์ที่สมบูรณ์แบบจึงควรเป็นเซ็กซ์ที่อิ่มเอมกันทุกฝ่าย ไม่ใช่พอใจอยู่ฝ่ายเดียว เรื่องง่าย ๆ ที่ผู้ชายหลายคนไม่รู้จึงเป็นเรื่องของจังหวะอารมณ์ที่ไม่เท่ากัน ผู้ชายอาจจุดติดง่ายไฟลุกโชติช่วง ทันทีที่มีอารมณ์ก็พร้อมจะกระโจนเข้าสมรภูมิได้เลย แต่ผู้หญิงไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคน ผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องการการกระตุ้นเร้าที่เหมาะสม เพื่อจุดไฟรัญจวนให้ติด “การเล้าโลมจึงมีความหมาย” และนี่คือ 5 สิ่งที่เราอยาก UNLOCK วิธีคิดผูายสายจุดติดไวทั้งหลายว่าการมีเซ็กซ์ไม่ใช่แค่สอดใส่ แต่เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องเรียนรู้ร่วมกัน เพราะความหวามไหว เริ่มต้นตั้งแต่นอกห้องนอน เราไม่สามารถเอาความรู้สึกตัวเองไปสวมแทนความรู้สึกคนอื่นได้ เซ็กซ์เองก็เช่นกัน ต่อให้เรารู้สึกทะลักล้นปริ่ม ๆ มาตลอดวันเพียงใด ตกกลางคืนเจอหน้าเธอที่เรารัก แล้วกระโจนเข้าใส่ โดยหวังให้เธอมีอารมณ์ทะลักล้นระดับเดียวกันจึงเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เพราะแบบนี้การเล้าโลมจึงมีความหมาย และจงจำให้ขึ้นใจว่าการเล้าโลมเริ่มได้ตั้งแต่นอกห้องนอน! ไม่ต้องรอให้ขึ้นเตียงแล้วค่อยเริ่ม แต่เราสามารถส่งขอ้ความหวามไหว ไปกระตุ้นเร้าเธอได้ตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เจอกัน เช่น “คิดถึงจัง อดใจรอการจะได้เจอคุณคืนนี้ไม่ไหวแล้ว”, “อยากสัมผัสคุณจะแย่แล้ว แค่นึกถึงเรียวขาคุณก็แทบอดใจไม่ไหว” หรือประโยคอื่น ๆ ที่เป็นตัวเองกว่านี้ เต็มไปด้วยอารมณ์กว่านี้ และเป็นการสื่อสารกับเธออย่างจริงใจว่าคุณรู้สึกอยากกระโจนเข้าใส่เธอแค่ไหน การส่งข้อความนำไปก่อน เป็นทั้งการบอกความรู้สึกของคุณ เป็นการปรับระดับอารมณ์ของเธอให้มาอยู่ในระดับเดียวกัน รวมถึงกระตุ้นให้เธอรู้สึกมากขึ้น จินตนาการมากขึ้น ถ้าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
ในวันที่กระแสส่วนใหญ่บนโลกใบนี้เชื่อว่ายิ่ง “หนัก” อาจหมายถึงยิ่งดี คนทำงานหนักกว่าได้รับการยกย่องมากกว่า คนแบกรับภาระมากกว่าหมายถึงรับผิดชอบมากกว่า “ความเบา” กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนหลงลืมกันไป ในวันที่โลกทั้งใบเชื่อในสิ่งหนัก ๆ แต่ใครบางคนอาจเชื่อในความบางเบา คล่องตัว ยืดหยุ่นและพร้อมรับความหลากหลาย แต่ก็ยังมีไลฟ์สไตล์ที่เต็มไปด้วยคุณภาพทุกอณู “ฟ้า-ษริกา สารทศิลป์ศุภา” ยูทูเบอร์สาวก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอเคยลองเป็นนักร้อง รับงานนักแสดง มีธุรกิจเป็นของตัวเอง รวมถึงไลฟ์สไตล์และความสนใจที่หลากหลายจนเราอดสงสัยไม่ได้ว่า “ทำทั้งหมดได้อย่างไร?” ความเบา ความคล่องตัวอยู่ตรงไหนในชีวิตที่ทั้งประสบความสำเร็จและมีความสุขนี้? เบากว่า ตรงเป้ากว่า: เพราะชีวิตไม่จำเป็นต้องหนัก แค่ต้องปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็น โลกตอนนี้อาจบีบบังคับให้เราต้องทำหลาย ๆ สิ่งพร้อมกัน และต้องทำอย่างหนักเพื่อให้ทุกสิ่งออกมาดีที่สุดด้วย ตอนแรกฟ้าเองก็เชื่อแบบนั้น แต่คำถามก็คือ “ชีวิตคนเราต้องหนักขนาดนั้นไหม?” นั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่ฟ้าเริ่มมองว่า ความเบาอาจเติมเติมเต็มเธอได้มากกว่า จนเธอตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อทำสิ่งที่เธอรัก “ช่วงมัธยมฟ้าเริ่มเป็นศิลปินฝึกหัด เริ่มมีงานถ่ายแบบเป็นงานในวงการเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรายังทำได้ในช่วงนั้น แต่พอใกล้เข้ามหาวิทยาลัย มันเริ่มหนักจริง เราอยากทำธุรกิจของตัวเอง อยากทำอะไรใหม่ ๆ และเป็นช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย เลยเหนื่อยและหนักเป็นพิเศษ” “ช่วงที่หนักที่สุดคือตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เราเริ่มเรียนรู้ระบบมหาวิทยาลัยว่ามีสอบ มีส่งงาน ตอนนั้นเราเป็นนักร้องอยู่ด้วย
“กระอักกระอ่วน” คงไม่มีใครชอบหรืออยากเผชิญความรู้สึกนี้ โดยเฉพาะเรื่องชวนหน้าแตก อับอายที่เกิดขึ้นระหว่างกิจกรรมที่ควรจะเซ็กซี่ยวนใจที่สุดอย่างกิจกรรมบนเตียง แต่เพราะเซ็กซ์คือกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างเรือนร่าง 2 เรือนร่าง (หรือมากกว่านั้น) เราจึงไม่สามารถควบคุมร่างกายของเราและของเธอให้อยู่ในบรรยากาศชวนพิศวาสดังใจได้เสมอไป อย่างไรก็ตามการมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นระหว่างมีเซ็กซ์ แม้จะไม่ตรงกับที่เราคาดหวัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องผิดปกติเสมอไป ดังนั้นมาทำความเข้าใจบรรดาเรื่องชวนกระอักกระอ่วนระหว่างกิจกรรมสวาทให้ถี่ถ้วน พร้อมวิธีคร่าว ๆ ว่าเราจะรับมือกับเรื่องชวนเขินตอนมีเซ็กซ์เหล่านั้นอย่างไร เพื่อให้เราไม่ดูตื่นตระหนกเกินเบอร์ หรือทำให้อีกฝั่งรู้สึกแย่จนหมดอารมณ์ เพราะบางเรื่องก็เกิดขึ้นได้จนแทบจะเป็นปกติ ขอแค่เราเข้าใจมันเท่านั้น น้องสาวผายลมได้ ไม่ต้องตกใจ อารมณ์กำลังขึ้นสูงสุด จังหวะร่างกายโหมกระหน่ำระรัวตามอารมณ์ไปติด ๆ แต่แล้วก็ “ปุ้ด!?” เสียงลมดันตัวแทรกผ่านช่องแคบ ๆ ออกมา จะว่าเราเผลอตดก็ไม่น่าใช่ “ปุ้ด!?” อีกรอบ คราวนี้เราจึงมั่นใจว่านี่คือเสียงลมที่ออกมาจากอวัยวะส่วนนั้นของเธอเป็นแน่ ก่อนอื่นจงเข้าใจไว้ว่าการที่น้องสาวของเธอมีลมผุดออกมาระหว่างมีเซ็กซ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้แปลว่าน้องสาวเธอตดออกมาเหมือนการตดที่ออกมาจากก้นแต่อย่างใด แต่เกิดจากการเสียดสีเอาอากาศเข้าไป ส่วนนั้นของเธอจึงขับลมออกมา ซึ่งอาจหมายความว่าเราใช้แรงมากและเร็วเกินไปจนอากาศเข้าไปมากก็เป็นได้ วิธีรับมือก็เพียงแต่ปล่อยให้มันเป็นไป เพราะมันไม่ต่างอะไรจากการมีเซ็กซ์แล้วเหงื่อออก มีเซ็กซ์แล้วเหนื่อยหอบ ไม่ต้องเอ่ยปากถามเธอ ไม่ต้องทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน ปฏิบัติให้คล้ายกับว่าเรามีบางอย่างปกติธรรมดาเกิดขึ้น การรับมือแบบนี้นอกจากจะไม่ทำให้สาว ๆ รู้สึกสูญเสียความมั่นใจ (ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียความมั่นใจใด ๆ อยู่แล้ว) ยังทำให้เราดูเข้าอกเข้าใจสรีระ และไม่เป็นมนุษย์ที่ช่างตัดสินอีกด้วย ถุงยางอนามัยเจ้ากรรม ทำพิษ!
ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่ว่ากันว่าจากนี้ไปโลกจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม นอกจากนั้นหลายสิ่งหลายอย่างจะถูกแบ่งออกเป็นยุค Pre-COVID-19 และ Post-COVID-19 เพราะสรรพสิ่งจะพลิกกลับตีลังกาหงายหน้าหงายหลังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอันเนื่องมาจาก COVID-19 ทั้งไลฟ์สไตล์ วิธีการทำงาน วิธีการเดินทางท่องเที่ยว การรักษาสุขอนามัยส่วนตัว ไปจนถึง “เรื่องบนเตียง” เซ็กซ์ของผู้คนก่อน COVID-19 มาถึงเป็นอย่างหนึ่ง และหลังจากนี้หลายสิ่งหลายอย่างอาจเปลี่ยนไปจนเราตกตะลึง ความปลอดภัยมาก่อน “ความโหยหา” โลกยุค Pre-COVID-19 โหยหาเมื่อใด ต้องการความอบอุ่นจากร่างกายใครสักคนตอนไหน เราก็แค่เข้าแอปพลิเคชันสักแอปปัดซ้ายย้ายขวาไม่กี่หนก็ได้ใครสักคนที่ถูกใจแล้ว ปัจจัยในการตัดสินใจ “มีเซ็กซ์” นั้นมีเพียงแค่โหยหาใครสักคน ถูกใจ ไปกันต่อ แล้วเรื่องราวก็อาจจบลงภายในคืนนั้น (หรือไม่กี่ชั่วโมงนั้นด้วยซ้ำ) หรือจะสานต่อความสัมพันธ์กระชับความสัมพันธ์บนเตียง หรือรูปแบบอื่นต่อก็ย่อมได้ ทว่าโลก Post-COVID-19 ไม่ได้เป็นแบบนั้น ความโหยหา ความต้องการยังคงมีเต็มเปี่ยม แต่วิธีเรื่องความปลอดภัยของเราจะเปลี่ยนไป เราไม่สามารถนัดเจอมนุษย์ทุกคนที่เราอยากเจอได้ หรือแม้แต่หนึ่งคนที่อยากเจอที่สุดก็ไม่มีอะไรการันตีอีกต่อไปว่าเขาคนนั้นจะไม่นำความเสี่ยงมาให้ รวมไปถึงการเดินทาง สุขอนามัยของสถานที่ที่ใช้เป็นสมรภูมิรักอีกต่างหาก หากเทียบกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีวิธีการป้องกัน และรณรงค์กันมาหลายทศวรรษ เลือกใช้ได้ทั้งถุงยางอนามัย การกินยา Pre ยา Prep การไม่สัมผัสสารคัดหลั่ง ฯลฯ แต่กับ COVID-19
“โลกเปลี่ยนไปแล้ว” ในหลากหลายมิติ วิธีการเดินทางของเรา รูปแบบการทำงานของเรา การกิน การใช้เงิน ไปจนถึง “การตกหลุมรัก” COVID-19 ทำให้เราหมดโอกาสเจอใครสักคนที่ชอบในบาร์เดิมที่ไปทุกวันศุกร์ COVID-19 ทำให้ Dating App ที่เคยปัดซ้าย ปัดขวา ได้เจอใครสักคนคลายเหงาอย่างน้อยเดือนละคนสองคนกลายเป็นศูนย์ COVID-19 ทำให้คอนเสิร์ตที่เคยไปโยกหัวมองหาสาวที่อินกับเพลงเดียวกันกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไปอีกนานแสนนาน การตกหลุมรักแบบที่เราคุ้นเคยจึงเปลี่ยนรูปแปลงร่างตามหลายอย่างในชีวิตเราไปด้วยเช่นกัน การตกหลุมรักออนไลน์เข้ามาแทนที่ แต่ไม่ใช่การแทนที่แบบโต้ง ๆ (เพราะเราก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ก็เดตออนไลน์อยู่เยอะแล้ว) แต่การตกหลุมรักออนไลน์จะเปลี่ยนไปถึงราก วิธีที่เราเลือกคนมองคน ไปจนถึงการออกเดต และการคบกัน เราตามหารักแบบไหนช่วง COVID-19 COVID-19 ทำให้เราตัดหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตออกไปได้ชัดเจนขึ้น บางอย่างเราเคยคิดว่าถ้าไม่มีมันแล้วเราคงอยู่ไม่ได้ แต่เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ เราก็ยิ่งเข้าใจว่า “อะไรที่เราต้องการจริง ๆ” ไม่ต่างจากการตกหลุมรัก การจีบกัน และการเดต ในช่วงเวลาปกติผู้คนรู้สึกว่าจะจีบทิ้งจีบขว้าง นัดแล้วนัดอีกกี่รอบก็ได้ แต่เมื่อเราไม่สามารถออกไปไหนได้อย่างเสรี การจะตกหลุมรักและทุ่มเวลาช่วงนี้ให้ใครสักคน จึงต้องรอบคอบและใส่ใจที่คุณภาพมากกว่าปริมาณอย่างที่เป็นมา Helen Fisher นักมานุษยวิทยาชีวภาพประจำ Kinsey Institute ระบุว่าพฤติกรรมการเดตของผู้คนและวิธีการมองความโรแมนติกจะเปลี่ยนไป เราจะจัดลำดับความสำคัญทางความสัมพันธ์ใหม่ เพื่อที่จะหาว่าอะไรกันแน่ที่มีความหมายกับเราจริง ๆ ในขณะที่
“นักสู้”ในจินตนาการคุณเป็นแบบไหน? ผู้ชายเจนโลกร่างกายแข็งแกร่งดุดัน บุรุษกล้ามหนาที่พร้อมบุกดะไม่ยั้ง หรือหนุ่มอายุน้อยปราดเปรียวว่องไวสักคน แต่น้อยคนนักที่จะจินตนาการ “นักสู้” ออกมาเป็นมนุษย์ผู้หญิง โดยเฉพาะมนุษย์ผู้หญิงหน้าตาชวนมองที่ใครต่อใครก็พาลตัดสินไปแล้วว่าเธอไม่เหมาะกับคำว่านักสู้ในความเข้าใจของคนทั่วไปเอาเสียเลย แต่หากการเป็นนักสู้ ไม่ได้วัดที่เพศ รูปร่าง หน้าตา หรือแม้แต่พละกำลัง แต่การต่อสู้วัดกันที่ “สมอง” และ “หัวใจนักสู้” ส่วนที่เหลือคือส่วนผสมของความพยายาม การฝึกซ้อมหนักหน่วง ควบรวมกับใจรัก ถ้าเช่นนั้นทำไม่ผู้หญิงหน้าตาสะสวยสักคนจะเป็นนักสู้ที่เก่งกาจไม่ได้? เราคงไม่ต้องพิสูจน์ให้มากความ เพราะบนโลกใบนี้มีผู้หญิงสวยและต่อสู้เก่งสมกับคำว่า “นักสู้” อยู่จริง โดยหนึ่งในนั้นที่เรายินดียกตำแหน่งนักสู้ให้อย่างภาคภูมิใจคือ “ริกะ อิชิเกะ” นักสู้แบบผสมหญิงชาวไทยคนแรกในสังเวียน MMA ระดับอาชีพ ที่ใครหลายคนอาจคุ้นกับฉายา Tiny Doll ของเธอ เธอคือนักมวย MMA ในรายการ ONE championchip ที่ไม่ได้ผ่านแค่การต่อสู้บนสังเวียนมาอย่างดุเดือดเท่านั้น แต่การต้องเป็นนักสู้หญิงอย่างเด็ดเดี่ยวท่ามกลางคำสบประมาทและการฝึกซ้อมที่มีข้อจำกัดนั้นก็ไม่ง่ายเลย แต่เธอทำได้ ทำได้ด้วยฝีมือ ความพยายาม การฝึกซ้อมล้วน ๆ นี่จึงเป็นบทสนทนาที่เราอยากชวนทุกคนมารู้จัก “นักสู้” ใจแกร่งอย่างเธอ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น จุดเปลี่ยน จุดเดือด จุดแข็ง ไปจนถึงจุดต่อไปจากนี้ที่เธอกำลังมุ่งหน้าไป จุดเริ่มต้น: