ความพิเศษของช่อง GAP.BUMSEEKER คือความเป็นมนุษย์ที่มันธรรมชาติมาก-มากซะจนเมื่อได้พบกับแก๊ปตัวจริงซึ่งนั่ง Grab มาถึงสเปซของ UNLOCKMEN ในบ่ายวันทำงานที่เปรี้ยงมาก ๆ พร้อมท่าทางเดินคล่องแคล่วจับสายสะพายของกระเป๋าเดินทางคู่ใจ (ซึ่งเราเป็นคนขอให้เขาเตรียมมา) เขาดูเป็นแก๊ปที่เรารู้จักจากในคลิปที่ได้เห็นมาโดยตลอด จนถึงวันที่เราได้สัมภาษณ์แก๊ป หลาย ๆ คนก็ได้แทบจะรู้ทุกเรื่องของเขาไปหมดแล้วล่ะ ศุภกาญจน์ จริยพิเชษฐ์ / เรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากร / เรียนตรีอักษรศาสตร์เอกภาษาอังกฤษ-เรียนโทเอกภูมิศาสตร์ / อายุ 26 ย่างเข้า 27 / นอนกับตาลีบัน / กลับอีหร่านเพราะว่าต้องมาง้อแฟน / เรียกตัวเองว่าเป็นคน Introvert … หลังเครื่องหมาย / เราก็เชื่อว่าเด็กหนุ่มที่ผ่านโลก ก็ยังมีแง่มุมที่น่าสนใจเพื่อ UNLOCK คนอ่านของเราอยู่แน่นอน บทสัมภาษณ์นี้เราเลยขอแก๊ปคุยความหมายของการเดินทางที่มีระหว่างทางสำคัญกว่าปลายทาง การอยากเข้าใจมนุษย์เพราะดูหนังกับอ่านหนังสือ และการเลี้ยงแมวตุรกี (อันสุดท้ายดูไม่เกี่ยวแต่ลองอ่านก่อนนะเพราะมันเกี่ยว) แก๊ปบอกกับเราว่าอยู่ไทยมาจะครบหนึ่งเดือนแล้ว เอาจริงในการกลับบ้านครั้งนี้เขาไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่หรอก และเหตุผลก็เดาได้ไม่ยาก แน่นอนว่าเพราะว่าเขาโดนจีบไปสัมภาษณ์ตามสื่อ ราวกับว่าทริปนี้ของ GAP.BUMSEEKER เป็นการเดินทางเพื่อให้สัมภาษณ์ให้คนได้รู้จักเขามากขึ้น ‘เด็กหนุ่มที่นอนบ้านตาลีบัน’ ใครต่างก็จดจำเขาด้วยชื่อนำหน้าแบบนี้ไปแล้ว ณ ตอนนี้
หลายคนอาจรู้จัก ‘มาริโอ เมาเร่อ’ ในฐานะนักแสดงหนุ่มอารมณ์ดี พ่วงด้วยดีกรีพระเอกพันล้าน แต่อีกด้านของชีวิตผู้ชายคนนี้มีงานอดิเรกคือการเป็นนักสะสมของเก่าชนิดหาตัวจับยาก ไม่ว่าจะเหรียญเก่า ธนบัตรเก่า สแตมป์เก่าทั้งของไทย ของนอก รวมไปถึงเสื้อผ้าวินเทจ ฟิกเกอร์ ของเล่น รถเก่า และสกู๊ตเตอร์เก่าอย่าง Lambretta ซึ่งจิตวิญญาณความเป็นนักสะสมแบบเข้าเส้นได้ถูกปลูกฝังโดยคุณพ่อของเขามาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย สำหรับใครที่มีงานอดิเรกในวันว่าง น่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการได้อยู่กับตัวเอง ใช้เวลาไปกับสิ่งที่หลงใหลหลังจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักหน่วง มันคือการเติมพลัง และเติมเต็มชีวิตให้มีความหมาย ซึ่งผู้ชายคนนี้ก็คือหนึ่งในนั้น สามารถหมดเวลาเป็นวัน ๆ ไปกับการตามหาของเก่า ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และไม่เคยมองว่ามันคือการผลาญเงิน หรือการเผาเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ มาริโอเคยพูดถึงประเด็นนี้ว่า “ของสะสมถ้ามันอยู่กับคนที่ไม่เห็นค่า เขาจะรู้สึกว่ามันไม่ได้เรื่อง มองเห็นก็แค่ข้อเสียของมันเท่านั้น แต่สำหรับตัวผมจะเห็นคุณค่าในแง่ที่ว่า เฮ้ย เราได้ขับรถปี 1960 แบบที่พ่อเคยขับ ได้ขี่แลม 2 ที่เราถูกใจตั้งแต่เจอรุ่นพี่ขี่ ได้ดูแล ได้ซ่อมรถเอง ได้หาของแต่ง ได้ไปเจอเพื่อน ๆ คอเดียวกัน มันคือความสนุก คือความสุขที่ช่วยเติมเต็มอีกด้านของชีวิตที่ไม่ได้มีแค่เรื่องงาน” ที่สำคัญความชอบในสกู๊ตเตอร์ Lambretta ยังเป็น “แลม… บันดาลใจ” ที่ปลุกไฟ