ช่วงนี้ดูเหมือนว่ากระแสของเพลงร็อกเริ่มจะกลับมาคึกคักมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากวงอย่าง Three Man Down ก็เพิ่งปรับเปลี่ยนสไตล์มาเป็นป๊อปพังก์ในเพลง “น้อง” ส่วนอีกหนึ่งวงที่ภาพของความเป็นร็อกชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้นคือ Paper Planes พวกเขาเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่ช่วยปลุกกระแสเพลงร็อก ไล่มาตั้งแต่เพลง “เสแสร้ง” จนมาถึง “ทรงอย่างแบด (Bad Boy)” ที่กลายเป็นผลงานสร้างไวรัลไปทั่วบ้านทั่วเมือง ฮิตถึงขนาดเด็กอนุบาลยังต้องแหกปากร้องเพลงตาม และเพื่อไม่ให้เป็นการหลุดขอบตกกระแส Unlockmen เลยพาทุกคนมาพูดคุยกับ 2 สมาชิกของ Paper Planes ได้แก่ ฮาย-ธันวา เกตุสุวรรณ และ เซน-นครินทร์ ขุนภักดี ณ Kandee Studio ของ “อ๊อฟ Big Ass” ซะเลย “ทรงอย่างแบด (Bad Boy)” ซิงเกิ้ล “ทรงอย่างแบด (Bad Boy)” ถูกเผยแพร่ให้ฟังครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2022 มันใช้เวลาไม่ถึง 2 เดือนก็สามารถทำยอดวิวใน Youtube ได้สูงถึง 22
Zero To Hero เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ไนซ์ – ปิ่นพงศ์ ขุนกัน” หรือ AKA : NICECNX แร็ปเปอร์หนุ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าของซิงเกิ้ลฮิต “หลอก” ที่ปัจจุบันมียอดเข้าชม MV มากถึง 111 ล้านวิว แถมยังเคยผ่านเวที Show Me The Money มาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ NICECNX ยังถูกเรียกไปแจมกับศิลปินอีกหลาย ๆ คน เช่น มิว ศุภศิษฏ์, แกงส้ม, Lipta เป็นต้น แต่กว่าที่ NICECNX จะก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับ เขาก็ต้องพบจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตอะไรหลาย ๆ อย่างที่ค่อย ๆ สร้างความเปลี่ยนแปลง จนกลายมาเป็นประสบการณ์ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิต เรามาดูกันดีกว่าว่าชีวิตของ NICECNX พบเจอกับความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหนกันบ้าง เปลี่ยนจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ NICECNX อย่างที่เราเกริ่นไว้แล้วว่าเจ้าตัวคือเด็กเชียงใหม่ เขาเติบโตมาพร้อมกับความสนใจในเรื่องแฟชั่น และคลุกคลีกับซีนดนตรีที่หลากหลายทั้งร็อก, อินดี้ รวมไปถึงฮิปฮอปกับกลุ่ม 8GARAD ที่มีเพื่อนแร็ปเปอร์อย่าง
การฟังเพลงหรือฟังดนตรี นอกจากจะได้ความบันเทิงและความเพลิดเพลินแล้ว บางครั้งมันส่งผลต่ออารมณ์ของเราให้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราได้ฟังแนวดนตรีที่เราชื่นชอบ ก็ยิ่งทำให้เรามีความสุขกับท่วงทำนองที่ได้ยินง่ายดายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ทาง Unlockmen จึงขอหยิบยกประเด็นนี้มาเล่าให้ทุก ๆ คนได้ทราบกันว่าดนตรีส่งผลต่อเราได้แบบไหนกันบ้าง ดนตรีส่งผลต่อความเครียด ความเครียดไม่มีใครอยากเจอ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในชีวิตมนุษย์จริง ๆ ดังนั้นเราทุกคนจึงต้องคอยหาวิธีรับมือกับความเครียด เพื่อไม่ให้มันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราจนป่วยทั้งกายและใจ ซึ่งดนตรีก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี แถมยังใกล้ตัวที่สุด ส่วนแนวเพลงที่เหมาะกับการฟังให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น เพลงคลาสสิก ที่จะช่วยปรับอารมณ์ของคุณให้สงบมากยิ่งขึ้น หรือจะลองฟังเป็นแนวเพลงดรีมป๊อป ก็น่าจะช่วยให้คุณเคลิบเคลิ้มไปกับเมโลดี้ได้เช่นกัน แต่หากคุณเป็นคอเพลงหนักกระโหลกอย่างเฮฟวี่เมทัล แม้ตัวเพลงจะรุนแรง แต่หากมันคือสิ่งที่คุณชอบแถมยังตรงจริต ก็เปิดฟังในช่วงเครียด ๆ รับรองว่าช่วยได้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นแล้วเพลงที่มีเนื้อหาให้กำลังใจก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะทำให้คุณรู้สึกเข้มแข็งได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ดนตรีส่งผลต่อการกระตุ้นความทรงจำ เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเคยผ่านพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณเคยรู้สึกใช่ไหมหากเราได้ยินเพลงเก่า ๆ ที่เราเคยฟังในวัยเด็ก สิ่งที่ตามมาคือภาพความทรงจำในช่วงเวลานั้น ๆ จะย้อนกลับมาให้เรานึกถึงราวกับฉากในภาพยนตร์เลยทีเดียว ตัวเพลงเองก็เปรียบเสมือนลิ้นชักของความทรงจำของเรา บางครั้งมันก็กระตุ้นอดีตอันแสนสุข บางครั้งมันก็กระตุ้นวิถีชีวิตที่เราใช้ในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ในบางครั้งมันก็กระตุ้นความทรงจำเศร้าที่เราเคยพบเจอมาได้เช่นกัน ดังนั้นหากเราอยากรำลึกถึงความทรงจำไหนซักเรื่อง ลองเปิดเพลงในช่วงเวลาเหล่านั้นดู รับรองได้ว่าภาพจะแฟลชแบ็คกลับมาอย่างแน่นอน เพลงเศร้าทำให้เราหายเศร้า แม้บางคนฟังเพลงเศร้าตอนที่กำลังเศร้าอาจจะทำให้อารมณ์ดำดิ่งไปมากกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวในบางคนมันกลับให้ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกันข้าม เพลงเศร้าโดยส่วนมากที่พบเจอมักจะเต็มไปด้วยเรื่องความความผิดหวัง, การสูญเสีย หรือการจากลา ถึงแม้เนื้อหาจะชวนหดหู่ขนาดไหน
ก่อนนอนคุณสตรีมมิ่งอะไรดูเพื่อให้นอนหลับสนิทกันครับ ส่วนตัวผมนั้นเช่าหอพักอยู่กับรูมเมท ที่จะต้องเปิดเรื่องเล่าประสบการณ์ผีจากทางบ้าน The Ghost Radio ฟังทุกคืนราวกับว่าเป็นพิธีกรรมบางอย่างเพื่อให้ตาปิดได้สนิท แต่มีอยู่คืนนึงครับ ตอนเวลา 00:40 ตามเวลานัด เพื่อนคนนี้ก็เร่ง Volume ให้เสียงของพี่แจ็คได้ขับกล่อมเหมือนคืนก่อน ๆ ซึ่งผมที่กำลังพยายามข่มตาหลับถึงกับต้องเปิดตาพร้อมเงี่ยหูฟังไปด้วย เพราะเรื่องเล่าในคืนนั้นเกิดขึ้นในหอที่พวกเราทั้งคู่อาศัยอยู่ แล้วจู่ ๆ คนเล่าคนนั้นก็บอกว่าได้ยินเสียงหัวเราะทุกคืนตอนเวลา 00:40 จากห้องที่หมายเลขเดียวกับที่เราทั้งคู่นอนอยู่! ในตอนนั้นเอง ผมถึงกับสะดุ้งขึ้นมาเพื่อจะคุยกับรูมเมทว่าจะเอายังไ ง… ในเตียงนอนของรูมเมทของผมว่างเปล่า มีเพียงเสียงหัวเราะที่ไม่มีต้นตออย่างน่ากลัวอยู่ตรงนั้น เป็นยังไงบ้างครับกับเรื่อง (แต่ง) ผีของผม ถ้าได้โทรไปเล่าให้ฟังเองจะน่ากลัวกว่านี้อีกนะ นี่ล่ะที่เขาเรียกว่าถ้าเราโตขึ้นมาในประเทศไทยที่มี Soft Power เรื่อง ‘ผี’ เราก็จะมีทักษะในการเล่าเรื่องผีติดตัวไปโดยปริยาย แต่ต้องบอกก่อนนะครับถึงผมจะสนใจเรื่องผี แต่ตัวเองก็กลัวผีมาก ๆ แล้วเรื่องผีในบ้านเรานี่มีทุกรูปแบบ และเยอะแบบไม่จบไม่สิ้นจริง ๆ ลองดูจากข้อมูลปี 2018 ที่ The MATTER ทำเอาไว้ ก็จะเห็นว่าเพียงรายการผีรายการเดียวในไทย ก็มีเรื่องเล่าที่ไม่ซ้ำกันเต็มไปหมด เอาจริง ๆ การเล่าเรื่องผีให้น่ากลัวก็เป็นศิลปะแบบเดียวกับอาชีพ Comedian
อกหักที่ว่าเรื่องใหญแล่ว แต่การมูฟออนจากการอกหักได้นี่สิเรื่องใหญ่กว่า แต่ในวิกฤติอะไรก็ตามแต่มักจะมีความหมายดี ๆ ซ่อนอยู่เสมอ ซึ่งมีหลัก ๆ ด้วยกัน 3 ข้อดังต่อไปนี้ ความล้มเหลวจากอดีตคือบทเรียนชั้นดี คงจะมีน้อยคนมากที่สามารถประสบความสำเร็จด้านความรักได้ตั้งแต่แฟนคนแรกในชีวิต (ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะโชคดีไม่น้อย) เพราะส่วนมากมักจะต้องผ่านประสบการณ์มากพอสมควร หรือบางคนก็โชกโชนมากกว่าที่จะได้พบจุดลงตัวการคำว่า “ชีวิตคู่” จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะต้องพบเจอความล้มเหลวในเรื่องของความรักกันมาบ้าง เมื่อคุณต้องอกหัก, เสียใจ และผิดหวังจากความรักที่ไม่ได้เป็นไปดั่งใจคิด สิ่งที่เราควรทำคือไม่ใช่มัวแต่มานั่งโทษตัวเอง หรือเอาแต่บอกว่าตัวเราผิดพลาดอย่างนู้น ผิดพลาดอย่างนี้ เพราะจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือหนึ่งในประสบการณ์เรียนรู้ที่สำคัญของชีวิต เช่น เราอาจจะได้เห็นอีกมุมของตัวเองในการใช้ชีวิตคู่ หรืออาจจะได้เรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตคู่จริง ๆ แล้วเราควรจะปรับอะไรได้บ้างในความสัมพันธ์ครั้งใหม่ พอเราสามารถคิดในมุมบวกได้ เชื่อได้เลยว่าคุณจะสามารถเยียวยาความทุกข์ได้เร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ใช้ความล้มเหลวเป็นแรงผลักดัน อย่าปล่อยให้ความเสียใจมาทำร้ายโอกาสดี ๆ ที่จะตามเข้ามาในชีวิต แต่ต้องปรับเปลี่ยนมันให้เป็นพลังในการพัฒนาศักยภาพตนเองให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมแทน เพราะเวลาที่เดินหน้าไปแล้วไม่มีวันย้อนกลับมาได้ หลาย ๆ คนมองว่าความรักคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ซึ่งคุณต้องตีความให้ออกด้วยว่าความรักไม่ได้มีให้เฉพาะแฟน หรือภรรยาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีพ่อ, แม่, ครอบครัว รวมถึงตัวเราเองที่ต้องการความรักด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นแทนที่เราจะมามัวแต่นั่งซึมเป็นเดือน ๆ สู้เอาช่วงเวลาเหล่านี้ออกไปสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับตัวเองยังดีกว่า อย่าลืมว่าปัจจัยที่ควบคุมยากที่สุดก็คือมนุษย์ และุคุณเองก็ไม่สามารถคาดหวังกับอะไรได้ตรงตามต้องการ
ภาพยนตร์หรือซีรีส์ แน่นอนว่ากว่าจะเกิดขึ้นมาเป็นภาพที่เราได้รับชมมันจะต้องประกอบไปด้วยทีมงานหลายชีวิต ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง, ผูู้กำกับ, ช่างภาพ, ช่างไฟ และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ภาพเคลื่อนไหวที่ปรากฏออกมาจะไม่สมบูรณ์แบบเลย หากขาดซึ่งสกอร์หรือซาวด์ประกอบเพื่อช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ภาพยนตร์หรือซีรีส์ ตอบโจทย์อารมณ์ของแต่ละฉากได้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเผลอมองข้ามความสำคัญของอีกหนึ่งตำแหน่งเบื้องหลังที่สำคัญไป แต่ไม่ต้องห่วง เพราะวันนี้ Unlockmen จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ต๋อย-เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน” เจ้าของ อาณาจักร Banana Sound Studio ผู้ผลิตสกอร์ให้กับภาพยนตร์และซีรีส์ชื่อดังมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เลือดข้นคนจาง, เด็กหอ, สี่แพร่ง, ห้าแพร่ง, วัยรุ่นพันล้าน, ขุนพันธ์ภาค 1 และ 2, 4Kings รวมไปถึงการร่วมงานกับ Jay Chou ซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังจากประเทศไต้หวันในภาพยนตร์เรื่อง “Secret” การทำงานของผู้ผลิตสกอร์จะสนุกขนาดไหน มาติดตามไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ จากนักดนตรีกลางคืนสู่ผู้ทำสกอร์แบบไม่คาดฝัน “ต๋อย-เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน” เดิมทีไม่เคยมีความคิด หรือแม้แต่มีความฝันในเส้นทางการผลิตซาวด์ประกอบอยู่ในหัวมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่กำลังเรียนปี 2 ณ
ชีวิตการทำงานแน่นอนว่าต้องมีซักวันจะเราต้องเผชิญกับอาการ “เบื่อหน่ายงาน” ซึ่งปัจจัยก่อตัวมาจากหลายสาเหตุ เช่น การได้ทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จำเจ, งานเยอะเกินไปจนทำไม่ทัน หรืออะไรก็แล้วแต่ มันทำให้เราลืมความรู้สึกตื่นเต้นตอนที่ได้สมัครเข้ามาทำงานวันแรกจนหมดสิ้น หากเราปล่อยมันไว้แบบนั้น มีหวังไฟในการทำงานก็จะพลอยมอดลงไปเรื่อย ๆ จนหมดสิ้น ดังนั้นหากคุณกำลังมีความรู้สึกอย่างที่ได้เกริ่นมา ก็ควรรีบจัดการแก้ปัญหามันซะให้เรียบร้อย ซึ่งทาง Unlockmen ก็มีวิธีมาแนะนำทุกคนดังนี้ วิเคราะห์หาสาเหตุที่ทำให้หมดไฟ เมื่อปัญหาเกิด ก็ต้องจัดการปัญหาให้ถูกต้อง ค้นหาต้นตอของมันให้เจอ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือลองคิดย้อนกลับไปว่าทำไมคุณถึงรู้สึกหลงรักงานที่คุณกำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตัวแบรนด์ของบริษัท, ตัวชิ้นงาน หรือเป็นที่หัวหน้าองค์กร รวมไปถึงลองคิดดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่เคยกระตุ้นให้คุณตื่นเต้นที่ได้ทำงาน ใช่โปรเจกต์ที่น่าสนใจหรือไม? หรือเป็นเพื่อนร่วมงาน? การคิดแบบนี้จะช่วยนำความรู้สึกดี ๆ ในการทำงานกลับมาได้ไม่มากก็น้อย หลังจากเริ่มค้นหาจุดเริ่มต้นได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือจัดการสาเหตุที่ทำให้อาการหมดไฟเกิดขึ้น เริ่มแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหามันมีก็หลาย ๆ อย่างที่สามารถช่วยคุณได้ หรือในบางครั้งสิ่งเดียวอาจจะต้องใช้วิธีการแก้ไขปัญหาหลายอย่างมาซัพพอร์ต ตัวอย่างเช่น ปัญหา “คอขวด” (งานกองมากเกินไปทำให้เกิดความล่าช้า) ให้เราลองมองหาแผนการที่พอจะเป็นไปได้ในการเข้ามาจัดการ เช่น การเรียงลำดับความสำคัญของงานให้ถูกต้อง ในช่วงเช้าเลือกทำงานที่ดูยากที่สุดก่อน พอมาในช่วงบ่ายมันก็จะช่วยให้เรามีพลังทำงานมากขึ้นหลังจากทานมื้อเที่ยง และแน่นอนว่าถ้างานที่ง่ายเราก็ย่อมทำเสร็จได้ไวกว่า พอเราสามารถจัดการปัญหาของงานได้แล้ว ความรู้สึกสบายใจ และความสุขก็จะค่อย
ตามปกติทั่วไปแล้วการตั้งชื่อร้านหรือชื่อบริษัทในบ้านเราโดยมากมักจะคำนึงถึงเรื่องโชคลาง ต้องตั้งชื่อแล้วรู้สึกมีกำลังใจ หรือตั้งแล้วรู้สึกได้ถึงความเจริญรุ่งเรืองที่จะเกิดขึ้นกับกิจการของตัวเอง แต่ไม่ใช่กับอู่ Harley-Davidson ของ คุณพัลลภ จำเนียรกาล หรือ “โนล (อ่านว่าโนน เพราะเจ้าตัวสะดวกแบบนี้ ฮ่า ๆๆๆ)” ที่ตั้งชื่อให้กิจการของตัวเองสุดกวนบาทาว่า “บรรลัยการาจ พังพินาศการช่าง” ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสวนสาธารณะและสวนพฤกษชาติ ศรีนครเขื่อนขันธ์ หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันในชื่อบางกระเจ้า เรามาทำความรู้จักกับผู้ชายอารมณ์ดีคนนี้ กับการให้บริการภายใต้คอนเซปต์ “แพงและนานคือมาตรฐานของเรา!” เริ่มต้นด้วยชีวิตนักดนตรี เดิมทีคุณโนลไม่ได้มีอาชีพเป็นช่างมาตั้งแต่ตอนแรก เพราะสมัยก่อนเขาใช้ชีวิตในฐานะนักดนตรีกลางคืนด้วยการเล่นเบสมาก่อน และก็เป็นช่วงนี้เองที่เขามีจักรยานยนต์เป็นของตัวเองคันแรก ซึ่งจะว่าไปมันก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มได้ศึกษาการซ่อมรถด้วยเช่นกัน “ตอนนั้นผมเล่นดนตรีกลางคืนอยู่ ผมจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปแต่พ่อไม่ให้ซื้อ ผมก็เลยเอาเงินไปซื้อรถโบราณมาเลยโดยยังไม่บอกเขา พอซื้อมา พ่อออกมาเห็น คำแรกที่พ่อพูดคือ ‘ซื้อมาทำไมรถจับกัง’ รถที่ผมซื้อคือ MZ ทรงหยดน้ำ ตอนนั้นผมก็งงทำไมพ่อพูดอย่างนั้น พ่อเลยขึ้นบ้านไปเอารูปสมัยก่อนตอนขี่รถอังกฤษมาให้ผมดู คือผมก็รู้นะว่าพ่อผมเคยขี่มอเตอร์ไซด์ เคยฟังจากลูกน้องพ่อผม พวกทหารจะเรียกรถพ่อผมว่าเป็นชอปเปอร์ แต่ผมก็ไม่รู้ ผมก็นึกว่าพ่อขี่ชอปเปอร์ทั่วไป แต่จริง ๆ มันคือพวกรถอังกฤษที่พ่อผมขี่สมัยวัยรุ่น ทีนี้ก็ค่อย ๆ ศึกษามาเรื่อย ๆ เลย ช่วงนั้นประมาณอายุ 18
คุณมองเสน่ห์สีสันของ ‘ชีวิตกลางคืน’ (night life) เป็นแบบไหน คือสีของแสงจากเสาไฟที่สาดถนนอันว่างเปล่า สีของไฟแช็คที่จุดขึ้นก่อนถูกกลบอบอวลด้วยควันของบุหรี่ หรือสีของแก้วเหล้าที่ถูกรังสรรค์ส่วนผสมในการชงอย่างดีจากบาร์เทนเดอร์คนโปรด เหตุผลข้อหลังสุดพาเรายืนอยู่หน้าร้าน WYNN WOOD florist studio ในซอยทองหล่อ 61 ร้านซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของ Midsummer Night’s Dream Bar บาร์ค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบทละครโศกของ Shakespear ทั้งชื่อเดียวกัน การตกแต่ง ไปจนถึงเครื่องดื่มที่ถูกคิดสูตรมาอย่างดี เรานัดเจอกับ ‘ออย-วรีวรรณ ยอดกมล’ ผู้เป็น Bar Manager ของที่นี่ และเธอเพิ่งได้รับคำพ่วงชื่อต่อท้ายอันใหม่ด้วยคำว่า ‘คนไทยคนแรกที่สามารถเข้ารอบ 2 ของการแข่งขัน Hennessy My Way ปี 2022’ ก่อนที่จะได้แข่งชงค็อกเทลกับบาร์เทนเดอร์ฝีมือฉกาจ 400-500 คนจากทั่วทุกมุมโลกใน Hennessy My Way 2022 คุณออยเป็นบาร์เทนเดอร์มากว่า 15 ปีแล้ว เธอหลงใหลในชีวิตกลางคืน
ตอนอายุ 17 ปี คุณกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนมากคำตอบก็น่าจะหนีไม่พ้น “การเรียน” ซึ่งมันก็คือเรื่องปกติของทุก ๆ คนที่ต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่สำหรับ “สไปรท์ – ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ” แร็ปเปอร์วัยเยาว์เจ้าของเพลง “ทน” (ร่วมกับ GUYGEEGEE) ที่ฮิตติดชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยท่อนฮุค “พี่ไม่มี Louis Vuitton มีแต่หนี้ก้อนโต” ปัจจุบันเขามีอายุ 17 ปีเช่นกัน แต่สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นศิลปินอาชีพได้ในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังกลายเป็นผู้นำครอบครัว ซื้อบ้านหลังใหญ่ให้พ่อกับแม่ได้แล้ว แต่ความฝันของสไปรท์กว่าจะได้มาไม่มีคำว่าง่าย อะไรที่เป็นสิ่งผลักดันให้หนุ่มน้อยจากจังหวัดฉะเชิงเทราประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ มาติดตามเรื่องราวของแร็ปเปอร์ตัวจี๊ดคนนี้กันครับ พรสวรรค์การร้องเพลงเกิดขึ้นในห้องน้ำ สไปรท์ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่ถึงแม้จะดูแสบแต่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ มีความซื่อซื่อแบบตรงไปตรงมา เขาได้เล่าให้ฟังถึงที่มีมาที่ไปของชื่อตัวเอง ซึ่งไม่ได้มาจากการที่พ่อแม่ชอบดื่มน้ำอัดลมแต่อย่างใด “ผมเคยถามพ่อผมอยู่เหมือนกันครับ พ่อผมบอกว่าตอนเด็ก ๆ (ตอนแรกเกิด) ผมอยู่ในตู้อบในโรงพยาบาล พ่อผมบอกว่าผมตัวขาวมากก็เลยตั้งเป็นสไปรท์ เพราะน้ำสไปรท์มันขาว ก็เลยมาเป็นสไปรท์ครับ” สไปรท์ เติบโตมาไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป คือใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปโรงเรียน เล่นสนุกไปเรื่อยเปื่อย
‘การรอคอย’ เป็นสิ่งที่แย่เสมอ ไม่ว่าระยะเวลานั้นจะสั้นหรือยาวขนาดไหน เพราะเป็นการกระทำที่มาพร้อมกับความคาดหวังของมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดเดดไลน์อย่างตายตัวเป็นเวลานัดกันแล้ว แต่ความผิดพลาดของการไม่ตรงเวลาก็สามารถเกิดขึ้นได้อยู่ดี และสิ่งที่แย่กว่าการรอคอยอย่างไม่รู้จุดหมาย คือการรอคอยที่ถูกสั่งให้รออย่างไม่เต็มใจแม้สักวินาทีเดียว “การรอคอยเป็นระยะเวลา 8 ปีเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมากแค่ไหน?” UNLOCKMEN รวบรวมประวัติศาสตร์ของระยะเวลา 8 ปี (บวกลบนิดหน่อย) ที่เกิดขึ้นในหลากวงการมาให้ดูกัน ว่าจะสามารถเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และโลกสามารถดีขึ้นได้มากแค่ไหน ถ้าเวลาถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่า .. แล้วทำไมต้อง 8 ปี ก็เพราะเขาคนนั้นไม่รักษาสัญญาอะไรเลยยังไงล่ะ Before Trilogy : หนังรักที่ถ่ายทำทุก 9 ปี ถ้าให้ยกตัวอย่างชื่อของผู้กำกับหนังที่คอนเซ็ปต์งานสร้างจัดที่สุดของโลกภาพยนตร์ เราขอเอาชื่อของ Richard Linklather ส่งเข้าประกวด นอกจากพรสวรรค์ที่เข้าใจชีวิตของมนุษย์ในมุมที่คนอื่นไม่เห็น พร้อมถ่ายทอดออกมาแบบ Slice Of Life แล้ว ผู้กำกับคนนี้ยังบ้าคลั่งเรื่องการเล่นกับไทม์ไลน์ของการสร้างหนังเอามาก ๆ อย่างหนังเรื่อง Boy Hood ของเขาก็ใช้เวลาถ่ายทำทั้งหมด 12 ปี เพื่อให้ตัวละครเติบโตจริงแบบไม่ใช้เทคนิคหรือนักแสดงแทน แล้วตัวหนังก็งดงามจนได้เข้าชิงออสการ์ปี 2015 จนเกือบชนะมาแล้ว (ในปีนั้น
เคยสังเกตุมั้ยครับ สำหรับผู้ชื่นชอบความกลัวและกลิ่นคาวเลือดทั้งหลาย ทำไมถึงตื่นเต้นกันเสมอเมื่อฟังเรื่องราวของคดีฆาตกรรม ดูหนังที่มีฆาตกรต่อเนื่อง หรือติดซีรีส์สืบสวนสอบสวนอย่างเอาเป็นเอาตาย เรื่องนี้วิทยาศาสตร์มีคำตอบให้ แต่ต้องขอบอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้เชิดชูการฆาตกรรมว่าเป็นสิ่งสวยงามแต่อย่างใด และเราเข้าใจดีว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงเหล่านั้น มีความสูญเสีย และมีผู้ได้รับผลกระทบ แต่เพราะความสนใจของมนุษย์นั้นมีหลากหลายแบบ เราจึงอยากมาคุยเหตุผลของความสนใจนี้มากกว่า UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปดูหลากเหตุผลนา ๆ ที่คดีฆาตกรรมอยู่ในความสนใจของมนุษย์มาโดยตลอด ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องของความเป็นความตายซึ่งเกิดขึ้นใกล้ตัวเรามากที่สุด พร้อมกับชี้เป้ารายการคดีฆาตกรรมในยุคสมัยใหม่ ให้คนที่ชื่นชอบได้ติดตามฟังกันด้วย เพราะความเป็นนักล่าในตัวเราเรียกร้อง เหตุผลของความหลงใหลในเรื่องราว True Crime หรือ Murder Story ของมนุษย์นั้น ถูกนักจิตวิทยาเชิงวิวัฒนาการ (Evolutionary Psychologists) ให้คำอธิบายเอาไว้ว่า มันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เราเริ่มสถาปนาตัวเองเป็น ‘นักล่า’ ในหมู่สัตว์ด้วยกันในยุคดึกดำบรรพ์แล้ว การฆาตกรรม การข่มขืน การโจรกรรม มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่ช่วงโบราณกาล เรียกว่าในแง่หนึ่งมันคือ ‘เรื่องธรรมชาติ’ เพราะเราต้องปรับตัวให้เข้ากับความรุนแรงเหล่านี้ และหาเหตุผลของที่มาที่ไปของคดีฆาตกรรมเหล่านั้น เพื่อที่เราจะได้ปกป้องตัวเองและครอบครัวได้ดีที่สุดด้วย งานวิจัยในปี 2010 ของ University of Illinois พบสิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติมในเรื่องนี้ ‘ผู้หญิง’ มักเป็นเพศที่สนใจในเรื่องราวอาชญากรรมมากกว่าผู้ชาย! และผู้หญิงสนใจ