Life

The Portrait : ฮาร์เลย์ ดนตรีพังก์ และแผนการเรียนชีวิตของ ‘ครูเบิร์ท’

By: GEESUCH November 20, 2023

  • ครูเบิร์ท เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาศิลปะในระดับประถมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนสรรพาวุธวิทยา
  • ครูเบิร์ทเป็นนักร้องที่เล่นกีตาร์และเขียนเพลงอยู่ในวงชื่อ Stage Clear
  • ครูเบิร์ทรักการคัสตอมรถมาทั้งชีวิต และเขาก็มีฮาร์เลย์รุ่น Chopper Harley Davidson Softail Springer 1340cc

ความเป็นพังก์ในตัวของครูเบิร์ทสะท้อนภาพตัวละคร ‘โอนิซึกะ เอคิจิ’ ในเรื่อง GTO คุณครูพันธุ์หายากแบบแทบจะแยกกันไม่ออก เขามีความมุ่งมั่นต่อการใช้ชีวิต เป็นวิธีการสุดโต่งที่ขากระโดดข้ามไปข้ามมาระหว่างกฎเกณฑ์ตลอดเวลา และสำหรับเราเขานิยามคำว่า ‘วัยรุ่นตลอดไป’ ได้ชัดเจนมาก ถ้าชีวิตม.ปลายได้เจออาจารย์แบบเขาก็คงมีสีสันฉูดฉาดไม่น้อยทีเดียว

ครูเบิร์ทเป็นคนรู้จักของรุ่นน้องกราฟิกคนใหม่ที่ UNLOCKMEN เรานัดเขาคุยที่ทำงานประจำของครูเบิร์ท โดยไม่ได้วางแผนอะไรสักอย่าง ให้หัวข้อบทสนทนาไหล ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วแต่จังหวะและความรู้สึกของตอนนั้น ก่อนที่จะพบในตอนบอกลากกันว่า เออ ชีวิตมันก็ไม่ต้องเตรียมตัวตลอดเวลานี่หว่า

** ขออภัยในภาษาที่รุนแรงไปบ้างในบทสัมภาษณ์ แต่การจะรู้จักชายคนนี้ผ่านตัวอักษรให้ได้มากที่สุด จำเป็นที่จะต้องไม่เซ็นเซอร์ใด ๆ **


UNLOCKMEN : พี่ว่าคนขี่มอเตอร์ไซต์ฮาร์เลย์เชื่อเรื่อง ‘แม่ย่านาง’ มั้ย ?

ครูเบิร์ท : บางคนก็เชื่อว่าห้ามเอาตีนไปเหยียบล้อหน้า แต่ผมไม่ได้สนใจนะ ไม่เคยรู้เลยอะ ผมไหว้พระที่คอผม และหลวงพ่อ ‘สติ’ สำคัญสุดแล้ว เวลาขี่รถอย่าห้าว ที่มันล้มมันคว่ำกันเพราะมันห้าว แล้วคนขี่ฮาร์เลย์เนี่ย ไอสัสแม่งมีตังค์แม่งยิ่งห้าว อันนี้พูดให้ฟังเฉยๆ คนขี่ดี ๆ มีเยอะแยะครับ แต่คนที่มีปัญหาผมว่าไม่เกี่ยวกับแม่ย่านางหรอกมั้ง

UNLOCKMEN : แสดงว่าจริง ๆ แล้วในวัฒนธรรมไทยเชื่อเรื่องนี้

ครูเบิร์ท : เชื่ออยู่แล้ว ! ที่นี่ประเทศไทยก็เชื่อทุกอย่าง ไอสัสออกรถเมกันวันแรกเอาพวงมาลัยแขวนเลย ผมก็เคยทำนะ ตอนนั้นเล่นรถคลาสสิคญี่ปุ่น มันเก่าแก่ช่ะ ผมก็รู้สึกว่าแม่งเหมือน ‘พระ’ ยิ่งเก่ายิ่งขลัง กูก็เอาพวงมาลัยแขวนเลยสิครับ โคตรปั่น ผมไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบหลู่นะ เพราะผมจะเชื่อ Guardian Bell มากกว่า 

Guardian Bell : เครื่องรางรูปกระดิ่งประจำรถของไบค์เกอร์ที่จะช่วยปกป้องคนขับจากสิ่งชั่วร้าย มีความเชื่อจากเรื่องเล่าในโบราณว่าจะช่วยขจัด Gremlins วิญญาณปีศาจชั่วร้ายที่จะมาก่อกวนเหล่าไบค์เกอร์ให้เกิดอันตราย และ Guardian Bell จะใช้งานได้โดยการรับต่อมาจากคนอื่นเท่านั้น

ครูเบิร์ท : บนคอผมก็แขวนพระหลวงพ่อสุดเสือเผ่น มันเหมือนอากาศ มองไม่เห็น แต่มันต้องใช้

UNLOCKMEN : เป็นความสบายใจแหละ

ครูเบิร์ท : ใช่ เหมือนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ สำคัญนะเว้ย ยกตัวอย่างบางคนยึดเหนี่ยวจิตใจกับ ‘จักรยาน’ เคยเห็นมั้ย แบบมีชีวิตเพื่อจักรยาน ตื่นเช้าเพื่อไปปั่นจักรยาน หรือบางคนก็ยึดเหนี่ยวจิตใจด้วยการ ‘วิ่ง’ อย่างเราก็มีมอเตอร์ไซค์เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะมอเตอร์ไซค์พาเราไปหาเพื่อน ส่วนจักรยานก็พาเขาไปหาเพื่อนนักปั่นด้วยกัน นักวิ่งก็พากันไปหานักวิ่ง มันคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เราเสพสิ่งนั้นและลงลึกไปกับมัน 

UNLOCKMEN : แล้วที่ยึดเหนี่ยวจิตใจสามารถมีวันที่ทำให้จิตใจเราห่อเหี่ยวได้มั้ย เคยเจอวันแย่ ๆ ตอนขี่ฮาร์เลย์มั่งปะครับ

ครูเบิร์ท : รู้จักการจอดรถ ‘แดกข้าวลิง’ มั้ย ? มันคือการที่มึงขี่รถไปไกล ๆ สองข้างทางเป็นป่าเขาแล้วรถแม่งพัง ไอสัส ! ก็ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ต้องนั่งซ่อมรถของเราไปเรื่อย ๆ ด้วยตัวคนเดียว แม่งท้อมาก บางทีสายขั้วแบตหลุด ฟิวหัก แต่เราก็ต้องจอดทำกลางป่าแล้วก็หาของแดกแถวนั้น เขาถึงเรียกว่าขโมยข้าวลิงกินไง

UNLOCKMEN :  แล้วซ่อมนานด้วยนะ

ครูเบิร์ท : นาน ยิ่งรถเก่า ๆ นะ

UNLOCKMEN : บางทีเราก็ไม่รู้ว่าพังมาจากอะไรอีก

ครูเบิร์ท : ก็ต้องนั่งไล่ตั้งแต่ไฟ น้ำมัน คือรถคัสตอมกับคนขี่อะ มันต้องบาลานซ์ 50/50 ต้องปรับตัวเข้าหากัน มึงคัสตอมรถแล้วมึงต้องคัสตอมตัวมึงเองด้วย แล้วมันจะไม่มีปัญหา – ไม่มีปัญหาคือไม่ใช่ว่ารถพังแล้วมึงจะไม่เรียกว่ารถพัง รถคัสตอมมันต้องมีบ้าง ยิ่งเก่ายิ่งพัง มีปัญหาอยู่แล้ว คิดดูนะอย่างเครื่องเล่นวีดีโอ เครื่องเล่นเทป เครื่องเล่นพวกนี้มันเลิกทำไปแล้ว แต่ทำไมพวกนี้ยังอยู่กับมึงอะ มันเก่าขนาดนั้นมึงก็ต้องรักษามัน มึงก็ต้องทำให้มันขี่ได้ มึงก็ต้อง Maintenance ต้องขี่รถเป็น ไม่ใช่แค่ขี่ออกไปข้างนอกได้ มึงต้องทำหลาย ๆ อย่างได้ด้วยตัวเองเพื่อให้ไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าโชคดีมีเพื่อนไปด้วยก็จะได้นั่งแดกข้าวลิงด้วยกัน (หัวเราะ) ชีวิตคัสตอมมันเป็นอย่างนั้นแหละ

ครูเบิร์ท : มีเรื่องออกทริปเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง – ทริปนั้นกูขี่ขึ้นน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น จังหวัดกาญจนบุรี พอไปถึงน้ำตกต้องขี่ขึ้นไปอีก 40 กิโล แล้วเป็นทางขึ้นเขาหมดเลย พอขึ้นไปถึงก็เมาเละเทะอยู่บนแพร มีความสุขกันไป ทีนี้พอตอนจะกลับบ้านก็ต้องขี่รถลงเขา ผมเป็นคนขี่รถไวนิดนึง ขี่ไปได้สักพักก็ต้องจอด เอ๊ะ ? ทำไมไอเป๋ไม่มาสักทีวะ (เพื่อนจิตรกรรมรุ่นน้องของครูเบิร์ท) ไม่ทันขาดคำก็เห็นรถไอเป๋ขี่ลงมา “แฮนด์แม่งหลุดออกมาเว้ย!” ไอเหี้ยโคตรเถื่อนอะ กูคิดแล้วว่าไอเป๋แม่งตายแน่นอน ไอตอนขาไปก็ซ่อมทีนึงแล้วคาบูหลุดออกมาทั้งอันเลย เนี่ยล่ะรถคัสตอม ชีวิตแม่งท้อจริงแต่ไม่เป็นไร ๆ ก็ซ่อมแล้วเอาใหม่

ครูเบิร์ท : อารมณ์แบบรถมึงคันละ 7 แสน รถพัง เพื่อนแม่งไปไหนต่อไหนแล้ว มึงรั้งท้ายนั่งอยู่คนเดียวต้องโทรเรียกเพื่อนกลับมาช่วยมึง เซ็งปะล่ะ แต่จะบอกให้ว่าไอความเซ็งที่สุดของการทำรถ คือ ‘ช่าง’ นี่แหละปัญหา

UNLOCKMEN : ห้ะ ทำไมปัญหาใหญ่ถึงอยู่ที่ช่างครับ

ครูเบิร์ท : ถ้าเจอช่างดีเหมือนมึงสวมมงกุฎเลยอะ กูเนี่ยเจอช่างดีแล้วและกูโคตรรักเขาเลย พี่เขาดูแลกูทุกอย่าง แต่คนที่แม่งเจอช่างเหี้ยที่ดอง ดอง ดอง ดอง แม่งเป็นปัญหาตั้งแต่กูยังเป็นเด็กยันโต ช่างเหี้ย ๆ แม่งก็ยังเป็นปัญหาไม่เลิกเลย แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดนะ แค่บางคน แต่มันถือว่าเป็นเรื่องเศร้าที่เคยเกิดขึ้นกับกูด้วย เศร้านะเว้ย จะร้องไห้ละเนี่ย นึกถึงตอนนั้นแล้วท้อเลย แต่เดี๋ยวนี้มันพัฒนาขึ้นเยอะครับ ช่างใหม่ ๆ เก่ง Mindset ก็เปลี่ยนไป รถต้องดี ของต้องดี

เมื่อก่อนในเอเชียศูนย์กลางรถคัสตอมแม่งคือประเทศไทยนะ แต่เดี๋ยวนี้อินโด มาเลแม่งมา อีกปัญหาของคนขี่รถคัสตอมคือรถแม่งแพงชิบหาย เก็บตังค์ใจแทบขาด จะแดกข้าวก็ไม่ได้ต้องไปแดกมาม่า กว่าจะได้แค่ไฟท้ายอันนึงสี่ห้าพันนะ กว่าจะได้ Sissy Bar สวย ๆ อีก

แต่เขาเรียกว่า ‘เอกลักษณ์ของเอกบุรุษ’ ขี่ไปไหนใครก็จำได้ว่าเป็นรถพี่เบิร์ท มันแปลว่ามึงคือคนคัสตอม บางคนคิดว่าเราจะต้องไม่เหมือนใครโดยการดูจากแม็กกาซีนแล้วก็บอกเอาแบบนี้เลยครับช่าง ผมอยากแตกต่าง เอ้าไอเหี้ย ! กูเข้าใจคำว่า Reference แต่การ Copy สำคัญเหมือนกันนะ มึงอย่าไปเอาของเขามาหมด เป็นตัวมึงดีที่สุด เพราะว่าสิ่งเดียวบนโลกนี้ที่ไม่มีวันถูกขโมยไปได้คือ ‘ตัวตน’ มันตัดแขนมึงไปได้ แต่มันเอาตัวตนของมึงไปไม่ได้ มันเอาสมองมึงไปไม่ได้ นั่นแหละเว่ยมันคือการคัสต้อม เป็นไง หล่อชิบหายเลยกู

UNLOCKMEN : รถคนนั้นสวยกว่า รถคันนี้สวยกว่า วงการฮาร์เลย์มีการแบ่งชนชั้นกันมั้ย

ครูเบิร์ท : จะเล่าเรื่องสนุก ๆ ให้ฟัง สมัยก่อนเนี่ยผมชอบ Yamaha XS มาก รุ่น XS650 รถญี่ปุ่น ตอนนั้นผมทำร้าน Stay Gold Cafe (ร้านสเต็กและอาหารตามสั่งกิจการของพี่เบิร์ท) ก็มีตังค์ซื้อรถละ ผมแม่งเคยได้ยินคนนินทากันว่าเจ้าของ Stay Gold แม่งยังขับรถญี่ปุ่นอยู่เล้ยยย อะ ๆ โดนเหยียดแรกคือขับรถญี่ปุ่น เสร็จ ทีนี้ก็อยากได้ Triump ก็ไปลองขี่แล้วพบว่ากูหลับแน่นอน รถสุภาพบุรุษชาวอังกฤษเกิน มีหลับแน่นอน เอาไงดีวะกู ก็เลยไปขี่ฮาร์เล่ย์ก็ได้ เลยไปดูรถของไอสตาร์บัคส์

UNLOCKMEN : จากสาระแนห้าวเป้งปะ

ครูเบิร์ท : เออ ละก็ไปลองรถสตาร์บัคส์ แม่งเด้ง แม่งมันส์ดีเว้ย พาเมียไปด้วย เมียชอบเลยสตาร์บัคส์แม่งหล่อ เมียให้ยืมตังค์ซื้อก่อนเลย เมียผมนี่บังเกิดเกล้ามาก (หัวเราะ) เสร็จแล้วปุ๊บ ก็มาขี่ Harley Davidson Sportster จากตอนแรกที่โดนล้อว่าขี่แค่รถญี่ปุ่น พอมาขี่ฮาร์เล่ย์แม่งก็บอกว่าขี่แค่สปอร์ตเตอร์รุ่นเล็กสุดของฮาร์เลย์อีก กูก็เลยขยับมาเป็นเครื่องอีโว 1340 รถใหญ่ Big Twin เลย แม่งก็บอกว่าขี่แค่ Evo ไม่ใช่เสื้อเหล็กอีก เอ้า ! สุดท้ายกูต้องขี่จรวดใช่มั้ยอีเหี้ย กูต้องบินขึ้นไปบนฟ้า ละกูต้องไปเจอกับยานบินของนาซ่ามึงถึงจะไม่ล้อกูใช่มั้ย 

เพราะฉะนั้นกูก็เลยไม่เคยแคร์ ไม่เคยสนใจเลย คนเรามันเหยียดได้ทุกอย่าง ประเทศไทยมึงจะไปซีเรียสอะไรวะ อย่าไปแคร์ ผมก็เลยทำกลุ่ม Thailand Kustom Kulture มาเพื่อซัพพอร์ตน้อง ๆ ให้ก้าวเดินต่อ มีอะไรช่วยเหลือกัน ให้คำแนะนำ รถคัสตอมของประเทศเรามันอยู่แค่นี้ เพราะว่าพวกคุณยังไม่เลิกไอกิจกรรมการเหยียดนี้กันอยู่ไง ผมเห็นมาเล อินโด ประเทศรอบ ๆ เราอย่างฟิลลิปปินส์เขาไปไหนต่อไหนกันละ แล้วพวกเขาขี่รถเล็กทั้งนั้นไม่กี่ CC แต่ทำกันยิ่งใหญ่ ทำไมพวกคุณไม่หันหลังกลับมามองรถในประเทศไทยบ้าง เราเริ่มมาค่อนข้างที่จะก่อนเขาค่อนข้างเยอะด้วยซ้ำ เราซัพพอร์ตกันดีกว่า อย่ามาด้อยค่ากันเลย

ผมก็พิมพ์สเตตัสแบบนี้ในเฟสบุ๊คส่วนตัว มีคนแชร์ไปพร้อมกับพิมพ์ว่า “พี่พูดได้ครับ ตอนแรกพูดก็ยังเชื่ออยู่นะครับ พอเข้าไปในเฟสเห็นพี่เขาขี่รถแล้ว ผมไม่เชื่อละครับ” เอ้า มึงไม่เห็นกูตั้งแต่เกิด มึงมาเห็นตอนกูมีรถฮาร์เลย์ไง มึงก็ปากดีใส่กู ก็เพราะพวกมึงนั่นแหละเว้ยมันถึงไม่ได้พัฒนา 

ไม่ใช่ว่าผมจะด่าเพื่อให้คนเหยียดนะ ไอคนที่ไม่ให้กำลังใจกันหรือไอคนที่มาด้อยค่าคนอื่น มึงอย่าเอาความจนมาเป็นตัวประกัน มันไม่มีจน ไม่มีรวย ไม่มีไรทั้งนั้น เราขี่รถเหมือนกัน เราคัสตอมเหมือนกัน เราเลื่อยหั่นเฟรมรถเหมือนกัน เราขี่ด้วยกัน ไอเหี้ยลมพัดหน้าเหมือนกัน ลมยางอันเดียวกันปะวะ ไม่เกี่ยว อย่าไปซอรี่ เอ้ย อย่าไปซีเรียส มีความสุขกับการขี่รถก็พอ แต่คำตอบก็คือมีการแบ่งชนชั้นแน่นอน 


UNLOCKMEN : การใช้หลักแนวคิดที่ไม่แคร์เสียงรอบข้างแบบนี้ พี่เบิร์ทบาลานซ์ความเป็นครูงานประจำที่ดูเหมือนว่าต้องฟังเสียงรอบข้างและอยู่ในขนบตลอดเวลาอย่างไร

ครูเบิร์ท : ผมจะตื่นมาเป็นครูตั้งแต่ 06:00 แล้วก็เลิกงานตอน 16:30 วันไหนมีเวรก็เลิก 17:15 หลังจากนั้นผมใช้ชีวิตของผมอย่ามายุ่งเกี่ยวกัน ผมเต็มที่กับงานทุกอย่าง ผมทำงานขาดใจเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่ผมจะเล่นจะใช้ชีวิตก็ต้องสุดยอดเหมือนกัน จะต้องไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวกับผม ผมเล่นดนตรี ผมขี่รถ เพราะว่ามันคือชีวิตของผม มันคือบางสิ่งบางอย่างที่มาหล่อเลี้ยงชีวิตให้ผมได้ทำงานตอนเช้าให้พวกคุณได้ เพราะฉะนั้น คุณต้องปล่อยให้ผมได้ใช้ชีวิต เพราะเช้ามาผมมาทำงานให้คุณเต็มที่อยู่แล้ว ผมถึงไม่มีปัญหาอะไรเลยกับการทำงาน เพราะผมเต็มที่ที่สุด

UNLOCKMEN : ทำไมถึงเลือกมาเป็นครู 

ครูเบิร์ท : เพราะว่ามันได้ทำให้ผมเห็นเด็ก ผมมีความสุขกับสิ่งนี้ ผมไม่ได้บอกให้เด็กเป็นคนดี ผมสอนให้เด็กใช้ชีวิต ไม่ต้องเหมือนคนอื่นหรอก แต่มึงเอาตัวรอดในสังคมนี้ได้ ผมพูดตรง ๆ ว่าผมก็ไม่ได้เป็นคนดีนะ แต่ผมไม่ได้เป็นคนเลว ผมรับประกันว่าผมสอนให้เด็กเป็นคนดีได้ด้วยการที่เป็นผมเนี่ย บางคนอาจจะสอนศีล 5 ผมเอาความจริงมาสอนมากกว่า โตขึ้นมึงจะเจออะไรบ้าง อย่างแรกเลยมึงเจอคนอย่างกูก่อน ไปให้รอดก่อน (หัวเราะ) ผมว่าผมก็ทำเด็กดี ๆ เยอะนะ เจริญเติบโตกันไป มันเจริญรุ่งเรืองผมก็ดีใจ แค่นั้นแหละ ผมไม่ได้ต้องการให้กลับมาวันครูเพื่อมาไหว้ หรือต้องมายึดถือว่าครูเป็นคนสร้างเธอขึ้นมาอะไรแบบนั้น

UNLOCKMEN : เชื่อเรื่องนั้นมั้ย ?

ครูเบิร์ท : ไม่เชื่อ มึงไม่ต้องเอาพวงมาลัยมาไหว้กูเลย มึงแค่คิดถึงกูก็พอแล้ว วันครูเนี่ยตื่นเช้ามาคิดถึงครูวิเดียว “กูรู้จักครูเบิร์ท” จบ มึงเป็นเด็กเสียตังค์ซื้อดอกไม้แพง ๆ มาไหว้ครูไร้สาระ ผมไม่ชอบ มึงแค่คิดถึงกูพอแล้ว ว่ากูเคยเล่นตลกกับมึง เป็นเพื่อนกับนักเรียนทุกคนครับ

คุณครูทุกคนอย่าสร้างกำแพงระหว่างครูกับนักเรียนเลย อย่าสร้างกรอบให้มันเลย ครูอย่าเอากฎระเบียบมาตั้ง มากั้นไว้ คือสุดท้ายแล้วมันก็เป็นมนุษย์ ครูก็เป็นมนุษย์ เรามาเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ไปด้วยกันดีกว่า  สำคัญมากนะเรื่องนี้ ผมพูดตรง ๆ ตอนเด็ก ๆ ผมเจอครูมาทุกรูปแบบ แต่แบบผมไม่ค่อยมีหรอก ผมเลยคิดว่าถ้ามีครูแบบผมอะ น่าจะเข้าใจกันมากกว่า-มากกว่าคุณครูที่มานั่งดุ นั่งตี นั่งฟาดเด็ก ผมยาวก็เอาปัดตาเลี่ยนโกน คืออะไรวะ ? ผมยาวมันจะดูดสมองออกไปเหรอ ผมไม่อินกับอะไรพวกนี้เลย เด็กเอาเสื้อออกนอกกางเกง ถ้ามันเล่นกีฬาอยู่ คุณจะบอกให้มันเอาใส่ทำไม มันแค่เป็นเรื่องธรรมชาติที่มึงก็รู้ ตอนที่มึงเป็นนักเรียนมึงก็เอาออก 

ผมสนใจแค่งาน แค่สิ่งที่เราแลกเปลี่ยนกัน แต่ใครจะบอกว่ากฎระเบียบไม่เอาเลยก็ไม่ได้นะ มันก็ต้องมีกฎระเบียบของสังคม ใช่ปะ มันก็เหมือนกฎหมายอะครับ แต่มันไม่ควรจะเกินเลยความเป็นมนุษย์ไป เพราะมนุษย์คือมนุษย์ มึงอย่าเอากฎมาครอบทำให้มนุษย์กลายเป็นอะไรไม่รู้ เข้าใจปะ คนก็คือคนไม่ใช่หุ่นยนต์ ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ ถ้าทุกคนคิดเหมือนกันประเทศนี้มันไปไหนต่อไหนแล้ว 

เขาเรียกว่า ‘อย่าฆาตรกรรมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก’ เด็กมันคิดอะไรก็ปล่อยให้มันคิดไปเหอะครับ คุณจะเป็นคนฆ่ามันไปตลอดชีวิตก็ได้ถ้าสิ่งที่มันคิดทำให้อนาคตมันยิ่งอยากจะเจริญรุ่งเรืองอะ แต่คุณไปฆ่ามันตายตั้งแต่ตอนนั้น เด็กคนนั้นมันก็จบเหมือนกัน มันไปต่อไม่ได้นะเว้ย อย่าเอาอะไรไรโบราณเกินไปไปยัดใส่หัวมัน ให้มันเจริญเติบโตด้วยตัวของมัน ด้วยความคิดของมัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของมัน ให้มันไปของมันอย่างงั้น อย่าไปบังคับมัน เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตนี้เป็นของมันไม่ใช่ของครู

“ผมไม่ค่อยเหมือนครูเนอะ”

 

UNLOCKMEN : เล่าชีวิตดนตรีพังก์ที่มีส่วนสำคัญต่อการใช้ชีวิตให้ฟังหน่อย

ครูเบิร์ท : ผมเล่นดนตรีตั้งแต่ม.2 ตอนแรกร้องเพลงอย่างเดียว ชอบร้อง อยู่วงโฟล์คซอง จีบสาว อยากจะเฟี้ยว ก็รู้สึกว่าเพลงไทยแม่งไม่มันส์ว่ะ กูไม่ชอบอย่างงี้เลยว่ะ ก็ไปเล่นเพลงพังก์แต่ไม่มีใครเล่นด้วยเลย หาฟังยากมากนะตอนนั้น ปัจจุบันวงผม 26 ปีแล้วอะ นานปะ

UNLOCKMEN : วงชื่ออะไรครับ ?

ครูเบิร์ท : Stage Clear ผมเล่นดนตรีละก็แบบไปเจอเพื่อนชื่อ ไอจ้ำ มันก็เอาเพลงให้ฟัง เขาเรียกว่า ‘พังก์ (Punk)’ ก็เลย เฮ้ย ไอเหี้ยพังก์แม่งแจ๋วว่ะ โตมาเราชอบ Rock & Roll เราชอบเร็ว ๆ เราชอบความบ้าคลั่ง เราชอบความเกรี้ยวกราด ละเราก็ชอบความกวนส้นตีนด้วย เพราะเราเป็นคนกวนส้นตีนมากก็ตรงจริตเลย เราก็เลยสร้างวงขึ้นมากับเพื่อนสองคน สามคน สี่คน ละมือกลองวงผมแม่งโคตรเก่ง แม่งตี “ตึกตึกโป๊ะ ตึกตึกโป๊ะ ตึกตึกโป๊ะ” แบบ Skate Punk ได้เลย ผมโชคดีมากเลยนะที่เจอวงนี้ หมายถึงวงแรกนะ ก็ Stage Clear เหมือนกันแต่ตอนแรกชื่อ ‘สำเหร่บอย’ SLB ก่อนชื่อสำเหร่บอยชื่อไรรู้ป่าว เพื่อนตั้งให้ชื่อ Sex Low Balance เซ็กซ์แบบความสมดุลต่ำ ไอสัส โคตรปั่น แล้วก็เปลี่ยนเป็น Stage Clear 

เล่าแบบย่อ ๆ เลยนะครับ พอเปลี่ยนเป็นชื่อวง Stage Clear ผมก็ไปเจอกับพี่มี่ผู้เป็นเหมือนกับผู้จัดสร้างในวงการพังก์ ผมก็ไปอยู่ค่ายกับเขาชื่อ Destiny Record เมื่อก่อนมีผม มี Brand New Sunset แล้วก็มีอีกหลาย ๆ วง

เล่นมาเรื่อย ๆ เลย จนถึงวันนึงวงแม่งแตก ผมแม่งเป็นคนเหี้ยอะ ผมแบบเป็นคนแบบอีโก้มันสูงมากไง มันสูงสุด ๆ มือกีตาร์จะไปเรียนเมืองนอก มึงออกไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับกู เสร็จแล้วไล่ไอเหี้ยมือเบสที่ไม่ดีออก สุดท้ายไม่เหลือใครเลยเว้ย เหลือผมคนเดียว ละผมก็ไปคุยกับน้อง ๆ เห้ยมึงมาเล่นให้กูหน่อยดิ น้องมันก็มาเล่นให้พักนึง แม่งก็ไม่ถูกใจกันอีก ก็เลิกกันอีก วงผมมันถึงไม่ไปไหนไง ตอนนี้แม่งมานั่งคิดนะ “ทำไมกูเป็นคนอย่างนี้วะ” กูเป็นคนเหี้ยนะเนี่ย เสร็จแล้วผมก็เลิกเลย ไปขี่รถ

พอขี่รถไปเรื่อย ๆ ก็อยากกลับมาเล่นดนตรีอีก กูก็ต้องให้ชีวิตกูไม่เป็นแบบนั้นแล้วว่ะ กูจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ก็เลยกลับมาเล่นดนตรีชวนน้องอีกละ น้องก็ใจดีเล่นด้วยตลอดเลย ก็เลยเขียนเพลงชื่อเพลงบิด “บิดไปให้ถึงยังเส้นขอบฟ้า” รถมอเตอร์ไซค์นี่แหละ ในเพลงแม่งเล่าชีวิตผมหมดทุกอย่างเลย เออเสร็จ ก็เลิก ๆ ไปอีก ละก็มีงานคอนเสิร์ตเขาอยากให้วงผมไปเล่นมาก ก็หาคนเข้ามาเติม คนเก่าก็มา คนใหม่ก็มา รวมเป็น Stage Clear อย่างทุกวันนี้

ครูเบิร์ท : พวกคุณคิดว่า ‘พังก์’ หมายถึงอะไร ?

UNLOCKMEN : กบฎ / ความไม่ตามผู้อื่น / ความเกรี้ยวกราด

ครูเบิร์ท : คนที่อธิบายว่าพังก์คืออะไรได้สุดตีนที่สุดเลยคือ Billie Joe Armstrong มือกีต้าร์/นักร้องนำ Green Day นักข่าวถามว่า “พังก์คืออะไร?” บิลลี่โจยืนขึ้น เตะขวดเบียร์ ปุ้ง ! เสร็จ นักข่าวก็เลยทำตาม ยืนขึ้นเตะ ละบอกว่าพังก์ยัง บิลลี่บอกว่า “มึงไม่ใช่พังก์ มึงลอกเลียนแบบกู”

สำหรับผมพังก์คือทุกอย่าง พังก์ไม่ใช่ว่าต้องกบฎ เราสรรค์หาสิ่งที่ดีกว่าได้ พังก์คือการรวมอยู่กับคนประหลาดแบบนี้ กูก็เป็นคนเหมือนมึงไง พังก์คืออิสระในการแสดงออก แต่ไม่เหยียบหัวใคร ไม่ต่อต้านถ้ามันถูกต้อง พังก์คือคนมีตำหนิครับ ผมก็เขียนไว้ในเพลง ชื่อเพลงมีตำหนิ (หัวเราะ) อิสรภาพโดยไม่เบียดเบียนกัน นั่นคือพังก์ “Punk Is Freedom” Kurt Cobain บอกไว้ 

UNLOCKMEN : พังก์มีความเกี่ยวพันธ์กับชีวิตของพี่เบิร์ทอย่างไรบ้าง

ครูเบิร์ท : เกี่ยวครับ พังก์มันคือดนตรี มันคือการดำรงชีวิตที่อิสระ และมอเตอร์ไซค์ แค่คุณสตาร์ทและขี่ออกไปมันคืออิสระเหมือนกัน มันคืออิสระที่เราจะโบยบิน อิสระทุกตารางนิ้วเลย เพราะว่าเราคิดว่ามันอิสระเราจะทำไงกับมันก็ได้ ความคิดผมนะ แต่คนอื่นอาจจะไม่คิดแบบผมก็ได้ แล้วผมอะมันเสือกชอบขี่รถมาตั้งแต่เด็ก ผมก็เลยชอบเสพติดกับความอิสระจนผมเป็นพังก์เลยมั้ง มอเตอร์ไซค์คือสิ่งที่สร้างผมทุกวันนี้ Punk Rock คือสิ่งที่สร้างผมทุกวันนี้ ให้เป็น แบเบิร์ทเตลิดป่า ชื่อนี้รุ่นน้องตั้งให้ เวลาผมมีปัญหา ผมเตลิดเข้าป่าเลยครับ ขี่รถดีกว่า มอเตอร์ไซค์กับดนตรีทำให้ผมเป็นครูด้วย เกี่ยวปะวะ เกี่ยวดิ ถ้าไม่เป็นครูก็ไม่มีตังซื้อรถเนอะ (หัวเราะ)

UNLOCKMEN : ความเป็นพังก์กับครู พี่เบิร์ทสามารถเอามาบาลานซ์กันยังไง เมื่อกี้พี่บอกว่าความเป็นพังก์คือการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น เลยอยากรู้ว่าพังก์ของพี่กับความเป็นครู ทำไมมันสามารถไปด้วยกันได้ หรือว่าพี่สวิทซ์ชีวิตได้

ครูเบิร์ท : ไม่ใช่ว่าสวิทช์ได้ คือพังก์กับครูเนี่ย ฟังดูเหมือนแยกออกจากกันเลยนะ แต่ถ้าเราลองคิดดูดี ๆ ในโรงเรียนมันจะมีพวกโดนบุลลี่ พวกขี้แพ้ ไอตัวประหลาด นั่นแหละมันคือคนที่เราเข้าใจที่สุด เพราะ Punk Rock มันคือคนที่โดนกดจนแสดงออกแบบระเบิดออกมา ผมถึงเข้าใจคนพวกนี้ไง เพราะผมก็เป็นแบบนั้น ผมก็ตัวประหลาดในโรงเรียนตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ผมคือคนนอกเส้น เขาจะไปเส้นตรง ผมเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่นั่นแหละ เพราะผมกำลังตามหาอยู่

เด็กพวกนี้มันอาจจะเป็นอัจฉริยะก็ได้นะเว้ย มันขาดแค่คนเข้าใจ ผมนี่แหละคือคนเข้าใจพวกมัน คนบ้าคนบอที่ทุกคนบอก ความเป็นพังก์มันคือความเข้าใจ เราเข้าใจเด็กมากกว่าที่ทุกคนเข้าใจรึป่าว เราพูดไม่ได้ แต่เราค่อนข้างเข้าใจเด็กที่มันต้องการจะแสดงออก ที่มันต้องการจะกบฎ แล้วเราช่วยแค่ตบให้มันถูกทาง

ผมไม่เคยให้เด็กสอบตกนะ เด็กผมเนี่ยมีแค่เกรด 4 กับ 3.5 แบบสุด ๆ เลยคือ 3 ใครส่งงานผมให้ 4 แน่นอน เพราะผมไม่ตัดสิน ผมชอบคนส่งงานตามเวลา งานที่ไม่ส่งคือ 3.5 กับ 3 เข้าใจผมปะ วาดอะไรก็ได้ครับ ให้มันตรงตามหลักการที่ผมบอก คือมันต้องมีหลักการนิดนึง ผมเป็นคนสบายสุด ๆ ตื่นเช้ามานั่งกินกาแฟ รอเด็กมา เราเป็นแบบนี้ ผมจะบอกว่าผมเป็นพังก์รึเปล่ามันก็ไม่รู้ ผมอาจจะไม่ได้พังก์ก็ได้นะ แต่เขาบอกผมเองว่าผมเป็นแบบนี้ ใช่ ถ้าคุณจะพังก์คุณต้องไม่ตะโกนบอกคนอื่นว่าคุณเป็นพังก์ไง แต่ผมพูดเพราะคนอื่นเขาพูดว่าผมเป็น


“แบเบิร์ทก็คือคนธรรมดาที่มีความเห็นแก่ตัวเหมือนพวกคุณทุกคน และแสดงออกมาพอสมควร แต่แบเบิร์ทก็ชอบเล่นดนตรี ชอบฟังเพลง และแบเบิร์ทก็ชอบขี่มอเตอร์ไซค์มาก แบเบิร์ทเสพติดลมที่มันกระทบหน้า แบเบิร์ทชอบทุกอย่างเลยที่มันเป็นอิสระ และแบเบิร์ทก็เป็นครู ซึ่งโคตรขัดแย้ง

แบเบิร์ทอาจจะทำได้ดีบ้างบางอย่าง อาจจะทำได้ไม่ดีบ้างบางอย่าง แต่มันก็คือชีวิตนะครับ ถ้าทุกอย่างมันดีหมดมันก็ไม่เหลือจุดอ่อนให้เราพัฒนาเลยดิ มันก็จะไม่สนุก 

สรุปผมคือคนที่ชอบขี่รถมาก และชอบเล่นดนตรีมาก และก็ชอบเป็นครูด้วย ผมว่าผมแค่อยากถ่ายทอดสิ่งเนี้ย สิ่งที่ผมเป็นเนี่ยให้เด็กมันรู้ว่าในสังคมมันไม่ได้มีแค่เส้นตรงอย่างเดียวนะ ผมอาจจะเลี้ยวซ้าย ผมอาจจะเลี้ยวขวา และสุดท้ายผมก็จะเลี้ยวกลับมาในทางที่ถูกต้อง และก็ตรงไปถึงจุดหมายพร้อมกับผู้คนที่เขาตรงอย่างเดียวก็ได้ เพราะฉะนั้นอิสระให้ที่สุด และจะได้รู้ว่าการโดนจำกัดอิสระมันทรมานแค่ไหน”

UNLOCKMEN : โห อย่างหล่อ แต่เมื่อกี้รอบซ้อม ขอพูดแบบเดิมเป๊ะ ๆ อีกครั้งครับ

ครูเบิร์ท : ไอเหี้ย กูจะพูดยังไงวะเนี่ย !


Photographer : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line