หลายคนเคยได้ยินเรื่องเล่าว่า นาฬิกา Cartier รูปทรงที่บิดเบี้ยวเพราะไฟไหม้จากอุบัติเหตุรถยนต์ กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ Jean-Jacques Cartier สร้าง Crash ออกมา หรืออีกเรื่องเล่าที่ว่ามันมาจากนาฬิกาในภาพเขียนของ Salvador Dalí “The Persistence of Memory (1931)” ฟังดูเป็นเรื่องโรแมนติกดีใช่ไหม? แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เรื่องจริง ความจริงคือ Cartier Crash เกิดจาก “การออกแบบอย่างตั้งใจ” Jean-Jacques Cartier และดีไซน์เนอร์ Rupert Emmerson จงใจหยิบ Cartier Baignoire ดีไซน์ทรงรี (oval) ที่เรียบหรู เอามาบิดให้เบี้ยวอย่างตั้งใจกลายเป็น Cartier Crash ตาม request ของ Stewart Granger ดาราชื่อดังชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วง Swinging sixties ที่มีการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างกว้างขวางในช่วงยุค ’60s – 70s พูดเหมือนง่าย แต่วิธีทำ Cartier
โลกของ Patek Philippe เคยสงบ เรียบหรู และอยู่สูงเกินเอื้อม เป็นโลกของทองคำ ความบางเฉียบ และความซับซ้อนในเชิงช่างที่ไร้ที่ติ จนกระทั่งปี 1976 — พวกเขารู้ตัวว่าถ้าไม่เปลี่ยนอะไรซักอย่าง อาจจะโดนแบรนด์ที่เคลื่อนไหวไวกว่าอย่าง Audemars Piguet ทิ้งห่างไปแบบถาวร Nautilus จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 ด้วยรหัส Ref. 3700/1 โดย Genta คนเดิม ชายผู้เปลี่ยนทั้งโลกของนาฬิกาหรูด้วยปลายปากกาชั่วข้ามคืน และครั้งนี้ ภายใน 5 นาที Nautilus จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 ด้วยรหัส Ref. 3700/1 ชายผู้เปลี่ยนทั้งสองแบรนด์ด้วยปลายปากกาภายในเวลาไม่กี่ปี Genta ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า ดีไซน์ไอเดียของ Nautilus เกิดขึ้นระหว่างที่เขานั่งอยู่ในร้านอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง เขาหันไปเห็นผู้บริหาร Patek Philippe กำลังทานข้าวอยู่ในอีกมุม ว่าแล้วก็เกิดไอเดีย บรรเลงแบบร่างลงในกระดาษเช็ดปากตรงนั้นจนเสร็จภายใน 5 นาที ไอเดียของ Nautilus คือการผสมความ sport
ในโลกที่ Submariner กลายเป็นนาฬิกาหรูสำหรับนักสะสม ใครจะรู้ว่ายุคหนึ่ง Rolex Submariner ถูกสร้างขึ้นเพื่อใส่ใน ‘สงคราม’ สำหรับปฏิบัติการใต้น้ำของทหารอังกฤษจริง ๆ นั่นคือ Rolex Submariner 5513 “MilSub” อีกหนึ่งสุดยอดแห่งความแรร์สำหรับนักสะสมตัวจริง ในช่วงปี 1957 ถึงปลายยุค ‘70s รัฐบาลอังกฤษ โดย Ministry of Defence (MOD) ต้องการนาฬิกาดำน้ำคุณภาพสูงสำหรับหน่วยรบพิเศษ Royal Navy จึงสั่งให้ Rolex ผลิต Submariner ที่ผ่านการดัดแปลงเฉพาะกิจขึ้นมา นาฬิกาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ขาย ไม่เคยอยู่ในแค็ตตาล็อกทั่วไป มันถูกส่งตรงจาก Rolex ไปยัง MOD เท่านั้น โดยมีทั้งหมด 4 รุ่น แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คือ Ref. 5513 เรือนนี้ และตามเอกสารยังระบุว่าเป็น standard equipment สำหรับทหารเรืออีกด้วย FUNCTION BEFORE FORM
ในปี 1967 โลกของการดำน้ำลึกไม่ได้อยู่ในการท่องเที่ยวหรือ content creation แต่มันคือโลกของนักสำรวจ นักปฏิบัติการ และวิศวกรใต้น้ำที่ต้องทำงานใต้แรงดันมากกว่า 600 ฟุต และนาฬิกาที่เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมือให้กับคนเหล่านั้นก็คือ Rolex Sea-Dweller และถ้าจะพูดถึงเวอร์ชันที่ทั้งนักสะสมและนักดำน้ำตัวจริงยกย่องมากที่สุด มันก็คือ “Double Red Sea-Dweller” หรือที่รู้จักกันในนาม DRSD ย้อนกลับไปในยุคที่ Rolex กำลังพัฒนา Submariner สำหรับดำน้ำลึก พวกเขาเจออุปสรรคเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมแรงดันสูง และเปลี่ยนระดับความดันอย่างรวดเร็ว กระจกหน้าปัดจะถูก “ดันหลุด” เพราะก๊าซ helium สะสมในตัวเรือนนาฬิกา วิศวกรของ Rolex จึงพัฒนา Helium Escape Valve (HEV) — ช่องระบายแรงดันที่ฝังอยู่ด้านข้างของตัวเรือน และ Sea-Dweller คือนาฬิกาเรือนแรกที่ใส่ระบบนี้เข้าไป “Double Red” คือชื่อเล่นของนาฬิกาเรือนนี้ มีที่มาจากตัวอักษรสีแดงสองบรรทัด SEA-DWELLER และ SUBMARINER 2000 พิมพ์ไว้บนหน้าปัด มันบ่งบอกถึงยุคเปลี่ยนผ่านที่ Rolex
บนหน้าปัดดำสนิทของนาฬิกาดำน้ำที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่เหนือยุคสมัย มีตัวอักษรสีแดงเพียงหนึ่งบรรทัด ที่บอกชัดเจนว่าเรือนเวลานี้ไม่เหมือนใครในโลก มันเขียนว่า “SUBMARINER” และเพียงแค่โลโก้สีแดงหนึ่งบรรทัด… ก็สามารถสร้างตำนานให้เรือนเวลาได้ Rolex เปิดตัว Submariner Ref. 1680 ในปี 1967 Submariner รุ่นแรกที่เพิ่ม ฟังก์ชันวันที่ พร้อมเลนส์ Cyclops และที่สำคัญที่สุดคือ รุ่นพิเศษที่โลกจดจำในชื่อว่า “Red Sub” มันไม่ใช่แค่ Submariner ธรรมดาที่ใส่ตัวหนังสือแดง แต่มันคือสัญลักษณ์ของ ช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคนิคและดีไซน์ ของ Rolex ที่สำคัญมาก เป็น Submariner รุ่นเดียวที่เคยใช้ตัวอักษรแดง เป็น Submariner รุ่นแรกที่มีวันที่พร้อมเลนส์ Cyclops (Sea-Dweller เป็น Dive watch รุ่นแรกที่มี date window แต่ไม่มี Cyclops) เป็น Submariner Date รุ่นเดียวที่ใช้กระจก Acrylic box-shaped พร้อม Cyclops
ย้อนกลับไป 25 ปีก่อน CHANEL สร้างคลื่นลูกใหม่ในวงการเรือนเวลาด้วย J12 สีดำเซรามิก ความสปอร์ตที่พกดีเอ็นเอแฟชั่นเต็มขั้น วัสดุไฮเทคอย่างเซรามิกที่เคยถูกมองเป็นแค่ของทนทาน กลายเป็นวัสดุล้ำค่าขึ้นมาได้อย่างมีคลาสในมือของ CHANEL และในปี 2025 นี้ J12 ยังคงกลายพันธุ์ได้อย่างสง่างาม กับการเปิดตัว J12 BLEU รุ่นลิมิเต็ดที่มาพร้อมกับเฉดสีใหม่ที่ CHANEL ใช้เวลากว่า 5 ปีพัฒนา — “น้ำเงินจนเกือบดำ ดำจนเกือบน้ำเงิน” เฉดสีที่พูดน้อยแต่ทรงพลัง เป็นสีของคนที่ไม่ต้องการเสียงดังเพื่อให้ใครมองเห็น ตัวเรือนขนาด 38 มม. รังสรรค์จากเซรามิกแมตต์สีน้ำเงินผสมเหล็กเคลือบดำด้าน จับคู่กับสายเซรามิกโทนเดียวกัน ให้สัมผัสเบา นุ่ม เย็น ลื่นอย่างประณีต เป็นวัสดุที่ไม่ได้แค่หรู แต่ให้ประสบการณ์สัมผัสที่เหนือชั้นทุกครั้งที่สวมใส่ ขอบตัวเรือน (bezel) ลาย baguette-cut ถูกฝังลงบนเซรามิกแมตต์ได้อย่างกลมกลืน เม็ดมะยม screw-down ฝังหัวด้วยเซรามิกสีน้ำเงิน พร้อม crown guard กันกระแทกเนียนตา รองรับการกันน้ำลึกถึง 200 เมตร
ในโลกของ Panerai ทุกครั้งที่แบรนด์นี้ขยับ มักไม่ใช่แค่เรื่อง “เวลา” แต่มันคือการเล่าเรื่องของตัวตนที่ไม่เหมือนใคร — และที่ Watches & Wonders ปีนี้ PAM01575 ก็เดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ แต่เปล่งรัศมีบางอย่างที่ทำให้คนรักกลไกหยุดมอง นี่คือ Panerai Luminor Perpetual Calendar GMT Platinumtech PAM01575 ภาคต่อของ PAM01269 รุ่น Goldtech สุดเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อปี 2022 ที่ออกมาเพียง 33 เรือนทั่วโลก — ครั้งนั้นมันเปิดเกมด้วยหน้าปัด smoked sapphire ที่โปร่งใสจนเผยให้เห็นจักรกลใต้ผิวเรือนเวลาได้อย่างเร้าใจ ขณะเดียวกันก็ยังคง DNA ของ Panerai ไว้อย่างครบถ้วน PAM01575 หยิบแนวคิดเดียวกันกลับมาอีกครั้ง แต่แทนที่จะแต่งทอง ก็เปลี่ยนวัสดุหลักมาเป็น Platinumtech — โลหะผสมเฉพาะของ Panerai ที่ถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งกว่าแพลตตินั่มปกติถึง 40% ด้วยกระบวนการบ่มพิเศษภายในแบรนด์เอง ส่งผลให้ตัวเรือนขนาด
หากโลกนี้ความบางคือความสง่างาม ความแม่นยำคือบทกวี และ Tourbillon คือบทสุดท้ายของตำนาน… Bulgari ได้เขียนบทนี้ใหม่อีกครั้ง ด้วย Bulgari Octo Finissimo Ultra Tourbillon – ผู้สร้างสถิตินาฬิกาบางที่สุดในโลกถึง 10 ครั้งในทศวรรษเดียว ย้ำสถานะราชาแห่งความบางของวงการ haute horlogerie อย่างแท้จริง Octo Finissimo Ultra Tourbillon มาพร้อมตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 40mm x 1.85mm ที่หล่อขึ้นพร้อมกับฐานกลไกเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง ด้วยวัสดุ ultra-hard tungsten carbide mainplate/caseback แข็งแรงและบางในเวลาเดียวกัน กลไก BVF 900 ที่จาก BVL 180 ของ Octo Finissimo Ultra COSC 2024 พัฒนาร่วมกับ movement specialist Concepto ทำลายขีดจำกัดของคำว่า ultra-thin ทุกฟังก์ชันต้องอยู่บนระนาบเดียวกัน
ย้อนกลับไปแค่สองปีก่อน Rolex เคยทำให้โลกต้องตั้งคำถามกับ “Destro” หรือ GMT-Master II ที่ถูกออกแบบให้คนถนัดซ้ายใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการย้ายเม็ดมะยม วันที่ และ Cyclops ไปอยู่ฝั่งซ้ายทั้งหมด ในตอนนั้นหลายคนว่าแปลก บางคนว่าท้าทาย วันนี้ Rolex กลับมาเล่าเรื่องนั้นอีกครั้ง — แต่ในโทนที่หรูหรากว่า หนักแน่นกว่า และเขียวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย นี่คือ GMT-Master II Ref. 126729VTNR ในเวอร์ชั่น ทองคำขาว พร้อมหน้าปัด “เซรามิกเขียว” Cerachrom รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ถ้าคุณเป็นคนที่คุ้นชินกับ Rolex แบบเดิม คุณอาจคิดว่ามันแค่เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุ แล้วขายใหม่ในราคาที่แพงขึ้น แต่ในความจริง มันมีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะ “เนื้อของหน้าปัด” ที่ไม่ได้ใช้การพ่นสีแบบ lacquer เหมือนที่ผ่านมา แต่ใช้วัสดุ Cerachrom (เซรามิกชนิดพิเศษที่แบรนด์พัฒนาขึ้นเอง) ที่ต้องใช้ฝีมือและการควบคุมเฉดสีอย่างแม่นยำ และในรุ่นนี้ Rolex จงใจเลือกสีเขียวให้แมตช์กับขอบหน้าปัดครึ่งล่างได้อย่างแนบเนียน ซึ่งถือว่า rare
ในโลกที่นาฬิกาจักรกลถูกนิยามด้วยคำว่า “คลาสสิก” Rolex กลับเลือกจะเขียนคำว่า “อนาคต” ให้ชัดขึ้นกว่าที่เคย และ Land-Dweller คือการประกาศทิศทางใหม่ของแบรนด์ที่ไม่ต้องประกาศ แต่เริ่มจากกลไกที่เดินอยู่เงียบ ๆ ใต้หน้าปัด ชื่อ Land-Dweller ถูกจดทะเบียนตั้งแต่กลางปี 2023 การกลับมาอีกครั้งของแนวทางการออกแบบ ตัวเรือนแบบ integrated Flat Jubilee bracelet รื้อฟื้นภาพจำของยุค Oysterquartz ดีไซน์จาก Datejust ref. 1530 ในปี 1975 เป็นแกนกลางในการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยตัวเรือนทรง barrel เปิดตัวพร้อมกันถึง 10 references โดยมีทั้งตัวเรือน steel, Everose gold และ platinum ในขนาด 36mm และ 40mm บางเพียง 9.7mm กับหน้าปัด honeycomb ลายรังผึ้ง ประกบด้วยกระจก sapphire ทั้งหน้าและหลัง —
แล็ปท็อปยอดนิยมของโลกมาพร้อมความคุ้มค่ายิ่งกว่าที่เคยด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง, กล้อง 12MP Center Stage และการรองรับจอภาพภายนอกที่ดีกว่าเดิม ทั้งหมดนี้มาในดีไซน์ที่ทั้งบางเฉียบและเบาสุดๆ เบา เล็ก และแรงสุด ๆ เหมาะกับคนที่ต้องพก laptop ติดตัวเป็นประจำ MacBook Air ใหม่ที่มาพร้อมด้วยประสิทธิภาพที่เร็วสุดขั้วของชิป M4 แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง กล้อง 12MP Center Stage ใหม่ และราคาเริ่มต้นที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับจอภาพภายนอกสูงสุด 2 จอ นอกเหนือจากจอภาพในตัว, หน่วยความจำแบบรวมเริ่มต้น 16GB และความสามารถอันน่าทึ่งของ macOS Sequoia พร้อม Apple Intelligence ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในดีไซน์ที่ทั้งบางเฉียบและเบาสุดๆ ซึ่งสร้างมาให้ใช้งานได้ยาวนาน ตอนนี้ MacBook Air ใหม่ยังมาในสีใหม่อย่างสีสกายบลู หรือสีฟ้าอ่อนแบบเมทัลลิก ซึ่งเมื่อนับรวมกับสีมิดไนท์ สีสตาร์ไลท์ และสีเงิน ก็จะกลายเป็นชุดสีสำหรับ MacBook Air
“We heard you” เพราะลูกค้าคือหัวใจสำคัญ เมื่อมีเสียงเรียกร้องเข้ามา Maurice Lacroix ก็รับฟัง feedback มาโดยตลอด นี่คือเคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้แบรนด์นำ Calypso จากปี ’90s มาตีความใหม่กลายเป็น AIKON ที่เปิดตัวในปี 2016 และขึ้นแท่น best-selling ของแบรนด์นับแต่นั้นมา ในปี 2022 Maurice Lacroix ได้เปิดตัวหนึ่งในโมเดลที่สำคัญมากใน AIKON collection โทนสี monochromatic grey โชว์กลไกที่สวยงามของ openworked movement ML115 calibre ที่พัฒนาร่วมกับ Sellita จากสวิตเซอร์แลนด์ ในตัวเรือน stainless steel case ขนาด 39 mm ที่ผ่านการขัดเงาและขัดด้าน ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ AIKON ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่าน แบรนด์นาฬิกาจาก Swiss แห่งนี้ก็เก็บรวบรวมสิ่งที่ลูกค้าต้องการเพื่อนำมาพัฒนาจนเป็นที่มาของการเปิดตัว AIKON