ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าทุกคนคงเจอทั้งเรื่องราวดี ๆ ที่น่าจดจำ และเรื่องราวร้าย ๆ อันแสนเจ็บปวดกันมาอย่างโชกโชน แต่ชีวิตคนเรานั้น ไม่ได้มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป มีขึ้นก็ต้องมีลง มีชนะ มีพ่ายแพ้ นี่แหละคือสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเป็นแบบทดสอบใจของคน สำหรับบางคน ปีที่ผ่านมาอาจจะเป็นปีชงที่โคตรจะเฮงซวย ทำอะไรก็ไม่เป็นอย่างที่หวังไปซะหมด แต่ถ้าหากคุณลองทบทวนดูดี ๆ อีกที เรื่องราวตลอดทั้งปีที่ผ่านมานี้ จะช่วยสอนให้คุณได้เรียนรู้ว่า อะไรที่คุณควรจะทำต่อไป และอะไรที่คุณควรจะทิ้งมันไว้เป็นอดีต และจำมันมาเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต ดังนั้น วันนี้เราจึงได้นำเอาวิธีการง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณนำไปใช้เริ่มต้นปีใหม่ เพื่อให้มีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาฝากกัน กับ 6 สิ่งในชีวิตที่บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องฝืน แต่ควรจะช่างแม่ง และปล่อยวาง รับรองได้เลยว่า คุณจะมีความสุขกับชีวิตมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอน 1. ช่างแม่งกับบุคคลมลพิษ มันอาจจะฟังดูน่าตลก แต่มันเป็นเรื่องจริงที่คนเรามักพยายามเอาชนะใจคนอื่น แม้แต่กับคนที่เรารู้อยู่เต็มอกว่า แม่งไม่ได้ทำดีอะไรกับเราเลย Toxic People หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘บุคคลมลพิษ’ กับเรานี้ อาจจะได้ทั้ง เพื่อน ญาติ คนในครอบครัว หรือใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาชีวิต แต่ที่รู้ก็คือว่า
คนที่เคยดูซีรีส์เกาหลีชื่อดังอย่าง “It’s okay to not be okay” อาจคุ้นเคยกับวิธีบำบัดที่ชื่อว่า Butterfly Hug หรือ การกอดตัวเองโดยการเอามือทาบไว้ที่หน้าอกจนมีลักษณะเหมือนปีกผีเสื้อกันบ้างแล้ว ในบทความนี้ UNLOCKMEN อยากมาแนะนำวิธีการกอดตัวเองอีกแบบหนึ่งชื่อว่า Havening ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยลดความเครียดให้เราได้เป็นอย่างดี Havening คือ อะไร ? สมองของเราจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ (emotional brain) และส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิด (thinking brain) ซึ่งการทำงานของสมองเหล่านี้ถูกควบคุมโดยอะมิกดาลา (กลุ่มนิวเคลียสประกอบด้วยโครงสร้างต่าง ๆ มีหน้าที่สร้างความรู้สึกกลัว วิตกกังวล) หากมันพบเจอเหตุการณ์ที่ดูเป็นภัยคุกคามแก่ชีวิต มันจะสร้างความเครียดให้เรา และเร่งให้เกิดการตอบสนองอย่างรวดเร็วที่เรียกว่า fight-or-flight เช่น การวิ่งหนีโจรผู้ร้าย หรือ การเอาตัวรอดจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ อย่างไรก็ดี สมองของเรามักคิดไปเองว่ากำลังเจอภัย โดยเฉพาะสมองของคนที่เป็นโรควิตกกังวลทั่วไป (generalized anxiety) โรคเครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรง ( post-traumatic stress disorder) และ
เวลาขับเครื่องบิน นักบินอาจเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดได้ เช่น เจอเครื่องบินอีกลำหนึ่งบินสวนมา หรือ อากาศแปรปวนกระทันหัน ถ้านักบินตัดสินใจแก้ปัญหาเหล่านี้ช้าเกินไป อาจทำให้เกิดการสูญเสียได้ พวกเขาจึงต้องมีสกิลในการตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากพอสมควร UNLOCKMEN อยากมาแนะนำเทคนิคที่ชื่อว่า OODA Loop ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทหารอากาศใช้ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เจอตอนขับเครื่องบิน แต่เทคนิคนี้สามารถนำไปใช้กับเรื่องอื่นได้เช่นกันอย่างการแก้ปัญหาในที่ทำงาน OODA Loop เป็นเทคนิคในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วของ John Boyd พันเอกประจำกองทัพอากาศสหรัฐในตำนานที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1927 – 1997 และได้ผลิตผลงานชิ้นโบว์แดงออกมามากมาย เช่น การสร้างทฤษฎี Energy-Maneuverability (EM) ที่เป็นต้นกำเนิดของเครื่องบินรบ F15 และ F16 หรือ การเขียนผลงาน Aerial Attack Study ที่นับว่าเป็น ไบเบิ้ลของการต่อสู้ทางอากาศที่ปฎิวัติวงการกองทัพอากาศทั่วโลก เป็นต้น เทคนิคนี้ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับ ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ของโลก เพราะมนุษย์ไร้ความสามารถในการเข้าใจข้อมูลทุกอย่างอย่างสมบูรณ์แบบ เราจึงต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน หรือ ตัดสินใจด้วยข้อมูลที่มีความกำกวมอยู่เสมอ OODA Loop จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือในการก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ ทุกวันนี้ OODA Loop ถูกนำไปใช้ในหลายด้าน
หลายคนมักเชื่อว่า “ผู้หญิงเป็นเพื่อนกับผู้ชายไม่ได้” เพราะเวลาผู้ชายมีแฟน การทำตัวสนิทสนมกับเพื่อนผู้หญิง อาจทำให้แฟนเกิดอาการหึงหวงจนความสัมพันธ์ร้าวฉานได้ ดังนั้น ผู้ชายบางคนจึงยอมตัดขาดกับเพื่อนซี้ เพื่อทำให้หวานใจรู้สึกสบายใจ แต่ความเป็นจริง สุภาพบุรุษไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวขนาดนั้นเพื่อแฟนก็ได้ เพราะความสัมพันธ์แบบเพื่อนสนิท หรือ ที่เราเรียกกันว่า Platonic Relationship ช่วยลดความเครียดและดีต่อสุขภาพจิตของเรา หากเราสูญเสียความสัมพันธ์ประเภทนี้ไป เราอาจเจอกับวิกฤตด้านสุขภาพจิตก็เป็นได้ รู้จักกับ Platonic Relationship ย้อนกลับไปในยุคกรีกโบราณ Plato นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกได้อธิบายว่า ความรักแบบไม่ต้องการเซ็กซ์ เป็นความรักขั้นสุดยอดที่จะทำให้เราใกล้ชิดกับพระเจ้า ซึ่งความรักประเภทนี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็น Platonic Love หรือ ความรักแบบเพลโต โดย เซอร์วิลเลี่ยม เดวีแนนท์ (Sir William Davenant) ในปี 1636 จนถึงปัจจุบัน Platonic Love คือ ความรักบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง เมื่อคนสองคนมอบความรักประเภทนี้ให้แก่กัน จะเกิดเป็น ความสัมพันธ์แบบเพลโต้ (Platonic Relationship) หรือ ความสัมพันธ์แบบรักกัน ผูกพันกัน เข้าใจกันทุกเรื่อง แต่ไม่ต้องการเซ็กซ์ขึ้นมา
ต้องยอมรับว่าสมัยนี้เทคโนโลยีพัฒนาเร็วมาก ทุกปีเราเห็นฟีเจอร์โทรศัพที่ไฮเทคมากขึ้น เราเห็นคนหันมาลงทุนในสกุลเงินคริปโต เราเห็นคนเริ่มเปลี่ยนมาใช่รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึง ความสนใจใน Metaverse โลกเสมือนที่อนุญาตให้เราสร้าง เป็นเจ้าของ และแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยใช้สกุลเงินคริปโต หรือ NFT Metaverse จะทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจมากมาย เช่น แกลอรี่ออนไลน์ การทดลองสินค้าในโลกเสมือน ไปจนถึง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ออนไลน์ ธุรกิจที่เข้าสู่วงการนี้ได้เร็วจึงอาจได้รับประโยชน์จากมันมาก UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการเข้าสู่โลก Metaverse สำหรับธุรกิจที่มองเห็นถึงความสำคัญของโลกเสมือน เลือกกลุ่มเป้าหมาย ลองค้นหาดูว่ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นใคร หรือ ใช้เวลาบน Metaverse นานแค่ไหน และหากลยุทธ์ทางธุรกิจที่จะช่วยดึงดูดให้พวกเขาสนใจสินค้าและบริการของเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากลุ่มเป้าหมายของเราเป็นคนหนุ่มสาว พวกเขาคงรีบเข้าไปในโลก Metaverse และใช้เวลากับมันนานพอสมควร เป็นต้น ถ้าเราได้ข้อมูลตรงนี้แล้ว เราจะรู้ว่าเวลาไหนที่ธุรกิจของเราควรเข้าไปในโลก Metaverse สังเกตคู่แข่งทางธุรกิจ สำรวจดูว่าคู่แข่งของคุณทำอะไรกับ Metaverse บ้าง เช่น จัดประชุมออนไลน์ จัดงานโชว์เคสผลงาน หรืิอ เปิดร้านค้าออนไลน์บนโลกเสมือน เป็นต้น การสำรวจคู่แข่งจะทำให้เรารู้ว่าคนอื่นทำอะไรอยู่ และรู้ว่าถึงเวลาที่ธุรกิจของเราควรเข้าสู่โลก Metaverse
เคยใช้เวลาว่างพักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว แต่เรายังรู้สึกเหนื่อยล้าและหายใจยังไม่ทั่วท้องหรือไม่ บางทีมันอาจเกิดขึ้นเพราะเราพักผ่อนไม่ครบทุกด้าน Dr. Saundra Dalton-Smith นักพูด Tedx และนักเขียนหนังสือชื่อ Sacred Rest: Recover Your Life, Renew Your Energy, Restore Your Sanity ได้แบ่งการพักผ่อนของมนุษย์ ออกเป็นทั้งหมด 7 ประเภท ได้แก่ การพักผ่อนกายภาพ (physical rest) หรือ การพักผ่อนร่างกายปกติ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นทั้งแบบ active หรือ passive โดย passive จะประกอบไปด้วย การนอนและการงีบ ส่วน active จะเป็นการทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือ การนวด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาระบบไหลเวียนเลือดและความยืดหยุ่นของเรา ต่อมา คือ การพักผ่อนจิตใจ (mental rest) หรือ การทำให้จิตใจแจ่มใส ถ้าเราทำงานหนักแบบไม่หยุดพัก เราจะเกิดความเครียดสะสม จนเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าทางจิตใจได้
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง “Sex and the City” คงคุ้นเคยกับตัวละครที่ชื่อว่า “Carrie Bradshaw” นักเขียวสาวสวยผู้เป็นตัวละครหลักในเรื่อง นิสัยของเธอมีความน่าสนใจมาก คือ เธอคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ปัญหาของเธอต้องมาก่อนปัญหาของคนอื่นเสมอ และเพื่อนมีหน้าที่คอยให้กำลังใจเธอเท่านั้น นิสัยที่ชอบทำตัวเหมือนเป็นตัวเอกในเรื่องราวชีวิตของตัวเอง ในทางจิตวิทยา เรียกว่าเป็น Main Character Syndrome หรือ อาการของตัวละครหลัก ซึ่งคนที่มีอาการนี้มักมองว่าตัวเองเป็นตัวเอกในเรื่องราวชีวิตของตัวเอง และคนอื่นเป็นเพียงตัวละครสมทบเท่านั้น พวกเขาจึงไม่ค่อยสนใจชีวิตของคนอื่นมากนัก และมองว่าชีวิตของตัวเองสำคัญที่สุด หากไม่ได้รับการเปลี่ยนนิสัย อาจส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตได้ อาการนี้มักพบในคนรุ่น GenZ ที่มีอายุน้อยกว่า 30 ปี ซึ่งมีความผูกพันกับการใช้เทคโนโลยี พวกเขามักพยายามหนีจากโลกความเป็นจริง โดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการสร้างตัวตนใหม่ เช่น แต่งภาพให้ดูดีขึ้น หรือ แต่งเรื่องราวของตัวเองให้ดูน่าสนใจ แม้การมองตัวเองเป็นตัวละครหลัก จะช่วยให้เรามีความมั่นใจในการใช้ชีวิตและมองเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงมันก็สะท้อนถึงปัญหาเรื่องความมั่นใจในตัวเองเหมือนกัน เพราะคนกลุ่มนี้มักอ่อนแอต่อคำวิจารณ์มาก และเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ จึงพยายามใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่แสดงให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองสุดยอดแค่ไหน เช่น การแต่งรูปให้ดูดี หรือ การแต่งเรื่องราวของตนเองให้คนสนใจ ปัญหาของ Main Character Syndrome คือ
แม้จะเป็นสัปดาห์แห่งวันหยุดแล้ว แต่หลายคนอาจกำลังอยู่หน้าจอคอมหรือมือถือตรวจสอบ Inbox จากอีเมล์ที่ทำงานอยู่ บางคนอาจกังวลว่าจะมีงานด่วนเข้ามารึเปล่า หรือ กลัวว่าจะพลาดการตอบอีเมล์สำคัญไป ส่งผลให้พวกเขาต้องหมั่นเช็คอีเมล์อยู่ตลอดเวลา อาการนี้มีชื่อเล่นว่า Email Anxiety และเป็นอาการที่ทำร้ายเราได้มากกว่าที่คิด มันจะทำให้เราเครียดแม้ในวันหยุด และขัดขวางการพักผ่อนของเรา UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีรับมือกับอาการนี้ให้อยู่หมัด Email Anxiety เกิดขึ้นได้อย่างไร ในช่วงที่เราต้องทำงานอยู่บ้าน เราอาจซัฟเฟอร์กับ Email Anxiety ได้ง่ายขึ้น เพราะการเปลี่ยนวิธีทำงาน มาทำงานที่บ้าน อาจทำให้หลายบริษัทเริ่มจู้จี้กับพนักงานมากขึ้น จนหลายคนเริ่มมีเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน และสูญเสียความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต (work-life balance) ไป สุดท้ายสภาพจิตใจของพวกเขาก็ตกอยู่ในอันตราย เมื่อเราไม่รู้ว่าเวลาไหนควรหยุดดูอีเมล์จากที่ทำงาน เราจะไม่สามารถคลายความเครียดและความกังวลเรื่องงานไปได้ เพราะเราจะรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้สนใจเรื่องงานตลอดเวลา จนใกล้จะถึงเวลานอนแล้ว เราอาจกำลังดูอีเมล์อยู่ก็เป็นได้ นอกจากนี้ Email Anxiety สามารถเกิดขึ้นได้จากการทำงานของสมอง เช่น ความต้องการอยากทำงานให้สำเร็จ พอเราตรวจสอบอีเมล์จากที่ทำงานเสร็จ สมองจะหลั่งฮอร์โมนโดปามีนซึ่งทำให้เราเกิดความรู้สึกดี เราจึงอยากดูอีเมล์ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริง อีเมล์อาจไม่ได้เข้ามาในเวลางานเสมอไป หรือ บางวันอีเมล์งานอาจเยอะมากเกินเราจะเช็คหมดในวันเดียว เพราะฉะนั้น การไล่ตามอีเมล์ตลอดเวลา จึงมีแต่ทำให้เรารู้สึกเครียดกังวล
คนส่วนมากอยากเป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง อยากมีอิสระในการตัดสินใจ หรือ ควบคุมทุกเหตุการณ์ที่ตัวเองเผชิญ แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองไม่มีอิสระเอาเสียเลย เพราะเจอกับเจ้านายที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและไม่ยอมรับฟังสิ่งที่พวกเขาพูด หรือ พวกเขากำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบ Toxic Relationship ที่ต้องยอมทนกับอีกฝ่ายทุกอย่าง และสะสมความอึดอัดใจไว้ที่ตัวเองเดียว หากเราไม่มีอิสระในการตัดสินใจหรือในการจัดการกับชีวิตตัวเอง เราจะมีปัญหาทั้งเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงาน เพราะเราจะรู้สึกแย่และหมดแรงจูงใจในการใช้ชีวิต UNLOCKMEN เลยอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับทฤษฎีที่เรียกว่า Self-determination หรือ การกำหนดตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีแพสชันไปยาวนาน เกี่ยวกับทฤษฎี Self-determination ย้อนกลับไปเมื่อ 1971 นักจิตวิทยาชื่อว่า Edward Deci ได้ทำงานวิจัยชื้นหนึ่ง โดยเขามอบหมายให้นักเรียนจิตวิทยา 2 กลุ่มทำการแก้ไขปริศนาลูกบาศก์โซมา (Soma cube) เป็นเวลา 3 ช่วง โดยในช่วงที่สอง นักเรียนกลุ่มหนึ่งจะได้รับเงินตอบแทนทุกครั้งที่แก้ไขปริศนาได้สำเร็จและอีกกลุ่มจะไม่ได้อะไรเลย ส่วนในช่วงที่หนึ่งและสาม ไม่มีนักเรียนกลุ่มใดที่ได้รับเงินตอบแทนจากการแก้ปริศนาสำเร็จ หลังจากที่ Deci ประกาศว่าหมดเวลาในการแก้ไขปริศนา และนักเรียนถูกทิ้งไว้ในห้องทดลองสักพัก กลุ่มนักเรียนที่เคยได้รับเงินจากการแก้ไขปริศนา ก็หันเหความสนใจจากภารกิจไปทำอย่างอื่น เช่น อ่านนิตยสาร ในขณะที่กลุ่มที่ไม่เคยได้รับเงินเลยจะพยายามแก้ไขปริศนาต่อไป นำไปสู่ข้อสรุปของการทดลองที่ว่า “คนที่ได้รับเงินไม่รู้สึกถึงแรงจูงใจภายใน (intrinsic motivation)
เราสามารถคิดมากได้ทุกที่ทุกเวลา นอน ๆ อยู่ เราก็สามารถคิดถึงคนรักเก่าในอดีต หรือ กลัวเรื่องการทำงานพลาดขึ้่นมา ซึ่งความกังวลที่แสนจะไร้เหตุผล และดูไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้ เรามักเรียกกันว่าเป็น Free Floating Anxiety ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นบ่อย ก็อาจเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการทำงานและการใช้ชีวิตของได้เหมือนกัน Free Floating Anxiety คือ ความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว โดยความรู้สึกนี้อาจถูกกระตุ้นโดยสิ่งของหรือสถานการณ์บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น อยู่ดี ๆ เราก็เกิดกังวลเรื่องการ pitch งาน หรือ การสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ขึ้นมา เป็นต้น อาการนี้มักเกิดขึ้นร่วมกับ อาการวิตกกังวลทั่วไป (Generalized Anxiety Disorder หรือ GAD) และทำให้เราเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ กังวล หรือ ตื่นตระหนก และใช้ชีวิตประจำวันได้ยากเย็นมากขึ้น ดังนั้น หากเกิดอาการนี้ถี่และบ่อยการพบจิตแพทย์ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง คนที่เป็น Free Floating Anxiety มักวิตกกังวลมากจนขาดสมาธิในการใช้ชีวิตและการทำงาน มักรู้สึกกลัวเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและรู้สึกตื่นตระหนกอยู่ตลอดเวลา แถมยังรู้สึกว่าตัวเองเครียดจนนอนไม่หลับบ่อย และมีปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้าอีกด้วย ปัญหานี้จึงแย่ต่อเรามากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่า
ตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา หลายคนอาจเคนรู้สึกงัวเงีย หรือ สับสน แต่ยังสามารถขยับร่างกายได้ตามปกติ คล้ายกับคนเมาสุรา เราเรียกอาการนี้ว่าเป็น Sleep Drunkness ซึ่งผลของมันสามารถอยู่ได้นานหลายนาที หรือ หลายชั่วโมง และขัดขวางการทำงานและการใช้ชีวิตของเราไม่น้อยเหมือนกัน UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับอาการนี้มากขึ้น และเรียนรู้วิธีการป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นกัน Sleep Drunkenness คือ อะไร Sleep Drunkness คือ อาการสับสนมึนงงที่เกิดขึ้นในช่วงที่เราตื่นนอน โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นเมื่อสมองของเราไม่สามารถเปลี่ยนผ่านจากโหมดนอนหลับไปยังโหมดตื่นได้แบบ 100% จนร่างกายอยู่ในสภาพคล้ายสลึมสลือเหมือนคนเมา แต่ก็ยังเคลื่อนไหวร่างกาย เดิน และพูดได้ตามปกติ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้อาการนี้เกิดขึ้นมีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พักผ่อนไม่เพียงพอ ความผิดปกติเรื่องการนอนหลับ (เช่น restless legs syndrome, sleep apnea, หรือ Insomnia) เสพติดการดื่มสุรา ใช้ยาต้านซึมเศร้าบางชนิด ไปจนถึง การนอนไม่เป็นเวลาเนื่องจากมีเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน อ้างอิงจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่สัมภาษณ์คนอายุกว่า 18 ปีขึ้นไป จำนวนกว่า 19,000 คน เกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมการนอน การเจอกับ ภาวะสับสนระหว่างการตื่นนอน
ในชีวิตของหลายคนคงเคยพานพบกับคนที่มีความคิดหรือความชอบคล้ายกับตัวเอง และรู้สึกว่าพวกเขามีเสน่ห์และน่าดึงดูดอย่างน่าประหลาด มีคนพยายามอธิบายเรื่องนี้ด้วยความเชื่อเรื่อง กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาความสุขในชีวิตได้หลายด้าน UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปเข้าใจกฎที่ว่านี้มากขึ้น กฎแห่งแรงดึงดูด คือ อะไร กฎแห่งแรงดึงดูด (Law of Attraction) เป็นหลักปรัชญาที่ได้รับการพูดถึงตั้งแต่ปี 1887 โดยมันสอนว่า ความคิดในแง่ดีจะดึงดูดผลลัพธ์ในเชิงบวก ส่วนความคิดในแง่ลบจะดึงดูดผลลัพธ์ในเชิงลบเช่นเดียวกัน ความเชื่อดังกล่าวมีฐานคิดมาจากความเชื่อที่ว่า ความคิดเป็นเหมือนพลังงานรูปแบบหนึ่งที่สามารถดึงดูดสิ่งที่เหมือนกันได้ โดยพลังงานเชิงบวก (การคิดบวก) จะสามารถดึงดูดความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ของชีวิตได้ เช่น ด้านสุขภาพ ด้านการเงิน และด้านความสัมพันธ์ Law of Attraction ได้รับความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะหนังสือแนว Self-help ชื่อ ‘The Secret’ (2016) ที่เขียนโดย Rhonda Byrne และมีเนื้อหาอ้างอิงถึงเรื่องกฎแห่งแรงดึงดูด ซึ่งได้รับความนิยมมากจนมียอดขาย 30 ล้านเล่มทั่วโลก และถูกแปลเป็นภาษาอื่นมากกว่า 50 ภาษา สำหรับ Law