“ผมชอบทดลองสร้างสรรค์งานในสไตล์ใหม่ ๆ มันเหมือนกับการได้พาตัวเองออกไปผจญภัย ได้สนุกกับการทำลายกำแพงของการสร้างงานไปเรื่อย ๆ และตั้งใจว่าจะทำงานศิลปะต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้” นี่คือคำตอบหลังจากที่เราได้ถามไถ่ถึงแพสชั่นในการสร้างงานที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังงานที่ไม่มีวันหมดของ ‘เบนซ์ – ปริญญา ศิริสินสุข’ หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ ‘BENZILLA’ ศิลปินสตรีทอาร์ตชาวไทยซึ่งมีผลงานเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และได้ฝากฝีมือไว้กับแบรนด์ดังระดับโลกมาแล้วมากมาย ล่าสุดผู้ชายที่มีคาแรคเตอร์ ‘LOOOK’ มนุษย์ต่างดาว 3 ตาเป็นภาพจำ กำลังจะปล่อยผลงาน Collaboration สุดพิเศษชิ้นใหม่ ในฐานะศิลปินไทยคนแรกที่ได้สร้างสรรค์ผลงานร่วมกับ MAURICE LACROIX (มอริส ลาครัวซ์) แบรนด์นาฬิกาหรูสัญชาติสวิส ในคอลเลกชั่น AIKON #Tide x BENZILLA Special Edition แต่ก่อนจะไปพบกับความพิเศษของนาฬิกา AIKON #Tide x BENZILLA Special Edition เราขอชวนทุกคนย้อนเวลาไปพบกับแนวคิด ตัวตน และจุดเริ่มต้นบนเส้นทางศิลปะของ BENZILLA เพื่อความเข้าใจถึงที่มาที่ไป และแก่นแท้ของความหมายที่ต้องการสื่อสารผ่านงานศิลปะบนข้อมือที่เขาได้ร่วมสร้างสรรค์กับ MAURICE LACROIX อย่างตั้งใจ ประเด็นแรกในการพูดคุยเพื่อทำความรู้จักผู้ชายคนนี้ให้มากขึ้น แน่นอนว่าเราขอให้ ‘เบนซ์’ นิยามการสร้างงานภายใต้ชื่อ ‘BENZILLA’ รวมถึงการเล่าที่มาที่ไป
เมื่อปี 2016 พวกเราเคยพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Bomb At Track วงแร็ป ร็อก/เมทัล สุดร้อนแรงที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์สังคมไทยอย่างตรงไปตรงมาแบบไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม จนทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่ถูกพูดถึงและเข้าไปยึดพื้นที่ความชื่นชอบของบรรดาคนรุ่นใหม่ที่นิยมเสพเพลงนอกกระแส เวลาผ่านไป 6 ปี ทุกสิ่งทุกอย่างในวง Bomb At Track ก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละนิดตามวัยและวุฒิภาวะที่เติบโตขึ้น ในวันนี้สมาชิกทั้ง 5 ได้แก่ เต้ (ร้องนำ), เมษ (กีตาร์), ปุ้ย (กีตาร์), ข้น (เบส) และนิล (กลอง) อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลและศิลปากร ได้พาดนตรีของพวกเขาข้ามไปอีกขั้นด้วยการก้าวเข้ามาสู่สังกัดใหญ่อย่าง Genie records ภายใต้เครือ GMM Grammy และล่าสุดพวกเขาเพิ่งจะส่งอัลบั้มใหม่ลำดับที่ 2 “Bomb The System” ออกมาให้แฟน ๆ ได้เสพกันเป็นที่เรียบร้อย แต่ในระหว่างทางพวกเขาได้ระเบิดระบบความคิดไปในทิศทางใดกันบ้าง คำตอบมีรอทุกคนอยู่แล้วครับ “อำนาจเจริญ” ความหมาย ณ ที่นี้ไม่ใช่จังหวัดในภาคอีสาน แต่มันคือซิงเกิลแรกของวง
RTR Spec 5 Mustang ม้าคลั่งเวอร์ชั่นล่าสุดจากสำนัก RTR ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเชี่ยวชาญในการจูนม้าป่าให้ดุดันไม่แพ้ Shelby ซึ่งรหัส Spec 5 หมายถึง Mustang ที่แรง ดิบ และโหดที่สุของ RTR ตัวเลข 750 horespower มาจากการเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ 5.0-liter Coyote V8 ของ Mustang GT version พร้อมเสริมความแรงด้วย Whipple sueprcharger system ให้เแรงบิดมากถึง 840 Nm of torque สามารถเลือกได้ว่าอยากขับชิล ๆ ด้วยเกียร์ automatic หรือเน้นสับเองด้วยเกียร์ manual เพื่อให้แน่ใจว่าม้าทั้งหมดจะถูกจับลงพื้นได้ครบถ้วน RTR จัดการเสริมช่วงล่างด้วย Tactical Performance coilover และ lowering springs ลดความสูงหน้าหลัง พร้อมติดตั้ง sway
Ferrari F40 เป็น Supercar ในฝันของผู้ชายทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม มันกลับถูกสร้างขึ้นให้เป็นรถ GT ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นรถแข่งในสนาม แต่หลายคนก็มองเห็นศักยภาพของมัน รวมถึง Ferrari ที่ร่วมมือกับทีมแข่ง Michelotto เพื่อสร้าง race-ready F40 ขึ้นมาตามสเปกของ IMSA rules ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็มีทั้ง F40 Le Mans, F40 GT, F40 GTE แต่ Ferrari F40 Competizione คันนี้พิเศษกว่า ผลงานการปรับแต่งใหม่เกือบทั้งคันโดย Zanasi Group of Maranello สำนักแต่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงงาน Ferrari แค่ไม่กี่ก้าว จึงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และยังมีส่วนในการตกแต่ง Tailor-Made editions ให้กับ Ferrari เป็นประจำด้วย Ferrari F40 Competizione ถูกนำมาแยกและสร้างใหม่เพื่ออัพเกรดให้กลายเป็นรถแข่งระดับ 1,000 bhp ได้ชื่อว่าเป็น
พวกเราได้เห็น Ford Mustang edition สวย ๆ มาก็มากมาย แต่รุ่นปีที่สวยที่สุดของรถรุ่นนี้ต้องยกให้ First Generation ช่วงปี 1964-1973 เป็นรุ่นที่นำมา restore เดิม ๆ ก็คลาสสิค หรือจะนำมาปรับเป็น restormod ก็มีเสน่ห์ เช่นเดียวกับผลงานชิ้นนี้จาก “CAGED” Ringbrother 1964.5 Mustang Convertible ดูจากภายนอกหลายคนอาจคิดว่าเป็น Ford Mustang Convertible เดิม ๆ ทั้งคัน แต่ความจริงแล้วอุปกรณ์เกือบทั้งหมดถูกผลิตขึ้นมาใหม่จากสำนักแต่งใน Wisocnsin ชิ้นส่วนเดิมของรถคันนี้มีเพียงจุดเดือน คือฝาครอบดุมล้อตรงกลางเท่านั้น Chassis ของ Mustang Convertible ในยุคนั้นสร้างบน Ford Falcon Platform ถูกนำมาปรับเปลี่ยนใหม่เป็นตัวถังแบบ unibody platform ทำให้มีมิติทั้งความยาวและกว้างเพิ่มขึ้นอย่างละ 1 นิ้ว กระจังหน้าดูออกแบบใหม่พร้อมถอยลึกลงไปราวสองนิ้ว เพิ่มความหนาแน่นของอากาศสำหรับระบายความร้อนให้ขุมพลังใหม่ Ford Performance
ปีนี้เป็นปีที่ Porsche ให้ความสนใจใน motorsports มากเป็นพิเศษ ดูได้จากการเตรียมกลับสนามลงแข่งรายการ Formula 1 ด้วยการเข้าซื้อหุ้นทีม Red Bull F1 Team จำนวนถึง 50% ซึ่งคาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ นอกจากนี้ยังใกล้จะเปิดตัว 2023 Porsche 911 GT3 RS รถแข่งรหัสใหม่อีกคัน เป็น Track Car ที่พัฒนาขึ้นเพื่อทำเวลาในสนามแข่งโดยเฉพาะ ขุมพลัง 4-liter flat-six 500 horsepower ดีไซน์ที่แตกต่างคือ rear wing ขนาดใหญ่ด้านหลัง และฝากระโปรงหน้าเจาะช่องระบายอากาศสุดดุดัน แสดงให้เห็นถึง DNA ของรถสมรรถนะสูงโดยเฉพาะ เตรียมเปิดตัววันที่ 17 สิงหาคมนี้ แต่คันที่เราอยากนำเสนอในครั้งนี้พิเศษยิ่งกว่า เป็นรหัสร้อนอีกคันที่ดีไซน์อย่างดุดันสำหรับสนามแข่งที่พัฒนาขึ้นตามโจทย์ของลูกค้า Porsche 911 GT3 R พัฒนาบนพื้นฐานของ 992-generation แต่ถูกอัพเกรดรายละเอียดใหม่หมดทั้งคัน มาพร้อมสมรรถนะ
นาทีนี้คงไม่มีข่าวเทคโนโลยีอะไรจะฮอตไปกว่าการรีวิว MacBook Air M2 ของ Apple บนสื่อออนไลน์-ออฟไลน์ทุกหัวอีกแล้ว (ใช้คำโบราณรู้อายุเลย) ก็เขาเล่นเปลี่ยนชิปประมวลผลตัวใหม่รุ่น M2 เรียกว่าล้ำสมัยที่สุดของ Apple บรรจุใส่ซีรีส์ MacBook Air อันกระทัดรัด ที่แรงจนไม่มีใครอดใจไหว แต่ออกรุ่นใหม่มาทั้งที จะอัพเกรดแค่ชิปประมวลผลก็ยังไงอยู่ ทาง Apple เลยออกสีใหม่ให้ตาวาวด้วยเลยละกัน พร้อมกับใส่ฟังก์ชั่นอีกมากมายเพิ่มเข้ามาด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่ารุ่นนี้จะสเป็กบางเบาเป็นอากาศเหมือนชื่อ หรือแรงอย่างที่เคลมจริง ๆ หลังจาก UNLOCKMEN ได้ทดลองใช้งานจริง พร้อมกับสัมภาษณ์ตัวเองแล้วว่าชอบอะไรกับเจ้าเครื่องนี้บ้าง ไปดูกัน ขอชมดีไซน์การใช้งานภายนอกก่อนเข้าตัวเครื่องกันเสียหน่อย มาในเรื่องของ ‘สี’ และน่าจะเป็นสีใหม่ที่คนอยากเห็นของจริงพร้อมอยากได้มากที่สุด อย่าง Starlight Color ซึ่งผลคือ เป็นอย่างที่หลายคนคิดครับ … สวย! สีของจริงมิติคนละระดับกับในรูปบน istudio เยอะ การันตีความสวยจากการพกไปนั่งทำงานที่ Star Buck แล้วคนที่ผ่านไปมามองตลอดเวลา MacBook Air M2 มาด้วยขนาด 13 นิ้ว
หลังปล่อย teasers ที่สร้างความฮือฮา พร้อมเคลมอย่างภาคภูมิใจว่าจะผลิตรถพลังงานไฟฟ้าที่หรูหราที่ทำให้ Mercedes-Benz และ Tesla ต้องอายกันไปเลยทีเดียว Cadillac Celestiq Electric Sedan เปิดตัวในฐานะ “Show Car and Not For Sale” เป็นรถไฟฟ้า concept สุดปังอลังการจาก GM ที่ได้แรงบันดาลใจจาก 1957 Eldorado Brougham เน้นเจาะกลุ่ม ultra luxury เน้นต่อสู้กับแบรนด์ระดับ Rolls-Royce หรือ Bentley กับระดับราคาราว $300,000 USD ถ้าตีเป็นเงินไทยก็ทะลุ 10 ล้านบาทแน่นอน ทุกอย่างที่ใส่มาเรียกว่าให้แบบไม่มีกั๊ก ภายในดีไซน์ให้มีทั้งความเป็นเลิศของ function และ form หน้าจอ pillar-to-pillar เต็มพื้นที่คอนโซลต่อขนาด 55 นิ้ว เทคโนโลยีการสร้างที่ล้ำสมัย ผสมผสานความหรูหรากับความคราฟต์ด้วยการผลิตด้วยมือ ตัวถังสไตล์ fastback คล้ายกับ
2023 Honda Civic Type R ในที่สุดก็เปิดตัว หลังแง้มวับๆ แวมๆ มานาน แต่ก็สมฐานะเพราะได้ชื่อว่า “ดีที่สุด” ทั้งด้านสมรรถนะ การควบคุม และความเร็ว ในบรรดา Type R พร้อมหวด Toyota Corolla GR ให้หายลับไปจากกระจกหลัง ขุมพลังเครื่องยนต์ 2.0-liter turbocharge ใหม่ ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่การันตีได้ว่าแรงกว่า 306 แรงม้า จาก FK8 generation ขับเคลื่อนล้อหน้า เกียร์ 6-speed manual พร้อม rev-matching system ตัวถังผ่านการรีดให้เบาแต่แข็งแกร่งระดับ “Razor-sharp handling” บวกกับตัวรถที่กว้างและเตี้ยงลง ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่ายแม้ในความเร็วสูง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่ราคาคุย เพราะ 2023 Honda Civic Type R hatchback พึ่งจะทำสถิติใหม่ไว้ที่สนาม Suzuka
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘Influencer’ เราคงเผลอผูกโยงความหมายเข้ากับการตลาดออนไลน์ เน็ตไอดอล การมีผู้ติดตามจำนวนมาก มียอดไลก์ ยอดแชร์มหาศาล แต่พ้นไปจากความหมายของการมีผู้ติดตามออนไลน์จำนวนมาก ๆ Influencer อาจหมายความถึงการที่เราเป็นผู้มีอิทธิพลต่อคนอื่นมากกว่าที่คิด (หยุดก่อน เราไม่ได้หมายความถึงผู้มีอิทธิพลจำพวกมาเฟีย วายร้าย เจ้าพ่อด้วยเช่นกัน) แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ในองค์กร หรือในทีม จะมีสักคนที่แม้ไม่ได้ตำแหน่งใหญ่โตอะไร แต่พูดอะไรใครก็พร้อมคล้อยตาม ทำงานอะไรคนก็ยินดีอาสาช่วยเหลือ มีคุณสมบัติของการเป็นผู้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกคนรอบข้าง โดยที่ใครคนนั้นไม่จำเป็นต้องมียอดผู้ติดตามล้นหลาม แต่มีสัญญาณบางอย่างที่เราอยากให้คุณลองสังเกตตัวเอง (และเพื่อนร่วมองค์กร) เพราะเราอาจเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อใคร ๆ โดยไม่รู้ตัวมาก่อน สัญญาณสำคัญสัญญาณหนึ่งที่ชี้ว่าในองค์กรนี้ ทีมนี้ หรือสภาพแวดล้อมนี้คุณมีอิทธิพลต่อคนรอบข้างมากคือการที่คุณคือจุดศูนย์รวมข้อมูล คุณรู้ว่าหัวหน้ากำลังเพ่งเล็งการทำงานของใคร คุณเข้าใจว่าทีมบริหารกำลังต้องการสื่อสารกับทีมมาร์เก็ตติง หรือรายละเอียดอื่น ๆ เช่น ใครกำลังแอบชอบใคร แต่การเป็นจุดศูนย์กลางข้อมูล เป็นคนละเรื่องกับการตั้งตัวเป็นหัวหอกล้อมวงนินทาคนอื่น โดยการนินทาอาจเป็นการพูดต่อ ๆ กันไปในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง หรือยังไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ไม่ว่าใครทำอะไร ข้อมูลเหล่านั้นมักมาถึงมือคุณก่อนเสมอ นั่นคือสัญญาณสำคัญของการเป็นผู้มีอิทธิพล เพราะหมายความว่าคนในเครือข่ายสังคมที่อยู่วางใจ หรือเชื่อใจว่าการที่ให้ข้อมูลกับคุณไป คุณจะสามารถนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเพื่อช่วยเหลือคนอื่นได้ Georgia Institute of Technology
หากเอ่ยชื่อ “เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร” หลายคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีในฐานะเจ้าของร้าน Le Du (ฤดู) ร้านอาหารสไตล์ Fine dining ที่โดดเด่นด้วยแนวอาหารแบบไทยฟิวชั่นที่ถูกปากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากว่า 10 ปี นอกจาก Le Du แล้ว เชฟหนุ่มคนนี้ยังดูแลธุรกิจร้านอาหารอีกถึง 7 ร้านซึ่งมีแนวทางการสร้างสรรค์อาหารที่แตกต่างกัน หากนับชั่วโมงบินในวงการนี้แล้ว เชฟต้นถือเป็นเชฟมืออาชีพทั้งจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาและรางวัลการันตีความสามารถมากมาย และแม้จะต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 อุปสรรคครั้งใหญ่ที่ทำให้ร้านอาหารหลายร้านต้องยอมถอย แต่ธุรกิจที่อยู่ภายใต้การบริหารของเขายังคงอยู่รอดมาได้ อะไรคือเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เชฟหนุ่มคนนี้ประสบความสำเร็จ วันนี้เราจะมาหาคำตอบจากเชฟหนุ่มคนนี้กัน ปรุงรสเสน่ห์อาหารไทยด้วยความโดดเด่น แตกต่าง และวัตถุดิบจากท้องถิ่น ย้อนกลับไปช่วงที่เชฟต้นเริ่มเปิดร้านอาหารเป็นครั้งแรก อาหารไทยสไตล์ฟิวชั่นยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ด้วยความชอบในอาหารไทยเป็นทุนเดิม จึงเป็นเหมือนแรงผลักดันให้เชฟหนุ่มคนนี้ทำตามความฝันที่จะเปิดร้านอาหารไทยฟิวชั่นในรูปแบบ Fine dining จนกลายเป็น Signature ประจำตัว “ผมมองว่าอาหารไทยคือสิ่งที่คนไทยเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เราเติบโตมากับอาหารไทยตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะไปลองกินอาหารชาติไหน สุดท้ายเราก็อยากกลับมากินอาหารไทยอยู่ดี เพราะเป็นรสชาติที่คุ้นเคยและถูกปาก แม้แต่ชาวต่างชาติก็ยังชื่นชอบอาหารไทย แต่การยกระดับอาหารไทยขึ้นมาเสิร์ฟในรูปแบบ Fine dining นั้นเป็นโจทย์ที่ท้าทาย เพราะมุมมองของคนทั่วไปในเวลานั้น อาหารไทยหาทานที่ไหนก็ได้ ผมจึงให้ความสำคัญในการเลือกสรรวัตถุดิบและกรรมวิธีการปรุงรสเพื่อชูวัตถุดิบหลักให้ได้มากที่สุด ลองคิดนอกกรอบสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น ทำให้เราได้เมนูที่แปลกใหม่แต่ยังคงมีกลิ่นอายความเป็นไทย
Nov 25, 2021 มี Tweet ระบุช่องโหว่และบอกวิธีที่สามารถโจมตี TerraUSD alogrithm ระบบของ LUNA และ USDT ด้วยวิธีของ George Soros และเงินทุนราว $1 Billion USD แต่แทนที่ Do Kwon จะรับฟังและตรวจสอบไอเดียว่าทำได้จริงหรือไม่ เขากลับตอบด้วยประโยคที่เจ้าตัวใช้เป็นประจำว่า “ถ้าไม่ฉลาด ก็เงียบปากไปซะ ไหนใครเป็น Billionaires ลองทำแบบที่มันบอกหน่อย แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” และยังมีอีกหลายต่อหลายครั้งที่ Do Kwon โต้ตอบกับผู้คนด้วย tweet ที่ดุเดือดและจองหอง ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดหยามคนอื่นว่าจน โง่ หรือเรียกคนที่วิจารณ์ระบบ Terra ว่าเป็นพวกแมลงสาบ ระยะเวลาแค่ 5 เดือนผ่านไป ดูเหมือนสิ่งที่ Do Kwon เคยท้าทายเอาไว้ด้วยความมั่นใจในระบบของตัวเองมากเกินไปจนมองข้ามปัญหา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า TerraUSD algorithm ถูกโจมตีจนทุกอย่างที่ Do Kwon สร้างขึ้นมาพังพินาศยับเยิน
“แต่งตัวแบบนี้คนอื่นหัวเราะเยาะแน่เลย” “เราต้องทำอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ทำไมคนอื่นดูไม่ค่อยพอใจเราเลย” รู้ไหมว่าบางครั้ง คุณอาจคิดไปเองว่าคนอื่นจะสนใจเรามากเกินความเป็นจริง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ และมักมองเรื่องต่าง ๆ ผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะต้องทำหรือรู้สึกเหมือนที่ตัวเองรู้สึก ทางหลักจิตวิทยาเรียกปรากฎการณ์นี้เรียกว่า ‘Spotlight Effect’ วันนี้ UNLOCKMEN จะมาอธิบายให้ฟังว่า Spotlight Effect คืออะไร ทำงานยังไง และเราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Spotlight Effect ตรงกัน ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนลองจินตนาการว่า พวกเรากำลังอยู่ในโรงละครที่การแสดงละครเวทีกำลังดำเนินอยู่ บนเวที พระเอกและนางเองกำลังแลกเปลี่ยนบทสนากัน ภายใต้แสง spotlight ที่ส่องมายังทั้งคู่ เพื่อเป็นการบ่งบอกผู้ชมว่านี่คือตัวละครสำคัญในฉาก พร้อมดึงดูดความสนใจของสายตาทุกคู่ที่อยู่ในโรงละครให้จับจ้องไปที่นักแสดงใต้แสง spotlight นั้น Spotlight Effect จึงเป็นคำเรียก ปรากฎการณ์ที่คนคิดไปเองว่าตัวเองได้รับความสนใจจากคนอื่นตลอดเวลา เหมือนกับมีแสง spotlight ส่องมายังพวกเขาตลอดเวลา (ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่โรงละคร ไม่มีแสง spotlight และคนเราไม่ได้สนใจคนอื่นมากขนาดนั้น) ทำให้พวกเขารู้สึกต้องระแวดระวังตัวเองอยู่เสมอ เพราะกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดพลาดของตัวเองได้ ยกตัวอย่าง เวลาเล่นกีฬา คนจะรู้สึกว่าเพื่อนร่วมทีมสังเกตข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยหลายชิ้นได้พยายามอธิบายการมีอยู่ของ
“ต้องทำงานให้หนัก ไม่มีหยุดพัก ไม่ต้องคบใคร แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ” หากใครฟังไลฟ์โค้ชบ่อย ๆ น่าจะคุ้นกับประโยคปลุกใจทำนองนี้ ซึ่งอาจจะมีส่วนถูกอยู่บ้างบางส่วน เช่นการทำงานที่ช่วยพัฒนาตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมสร้างโอกาสให้เราได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน หรือในภาวะเศรษฐกิจทรุด ค่าเงินเฟ้อ หลายคนต้องทำงานอย่างหนักหลายช่องทางเพื่อหารายได้เสริม หรือบางคนอาจจะมีค่านิยมว่าต้องทำงานให้หนักอยู่เสมอ ตัวเองถึงจะมีคุณค่า ไม่ว่าคุณจะทำงานหนักด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หากรู้สึกว่ามันหนักเกินไปจนชีวิตของคุณกำลังพัง แปลว่าคุณกำลังเจอกับอาการ “Toxic Productivity” Toxic Productivity คือความพยายามเป็นคน Productive ตลอดเวลา ไม่คิดจะหยุดพัก แม้ว่างานของวันนี้จะถูกเคลียร์ไปหมดแล้วก็ตาม เป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากในกลุ่ม Manager level ขึ้นไป ซึ่งอยู่ในช่วงสำคัญที่ต้องการสร้างผลงานเพื่อเลื่อนขั้นต่อไป หรือ Freelance ที่รับงานมากเกินไป เพราะการมีลูกค้าเข้ามาว่าจ้าง หมายถึงความสามารถที่เหนือกว่าคู่แข่ง และเป็นช่วงกอบโกยรายได้ จะเห็นว่าการนำคุณค่าของตัวเองไปวัดกับประสิทธิภาพการทำงาน จะยิ่งก่อให้เกิดความเครียดจากวงจรการทำงานที่ไม่มีวันหยุดพัก ยิ่งทำงานได้มาก ยิ่งงานออกมาได้ดี ยิ่งแสดงถึงคุณค่าของตัวเองมากขึ้น เพื่อให้หัวหน้าและลูกน้องมองเห็นความสำคัญในการมีอยู่ซึ่งตัวตนแบบอย่าง หากไม่มีงาน เราจะรู้สึกว่าไม่เหลืออะไรในชีวิตให้ทำอีกเลย และเมื่อไหร่ที่นั่งว่างงานเฉย ๆ ระหว่างวัน กลับทำให้รู้สึกว่าเป็นคนขี้เกียจ ด้อยคุณค่าในตัวเองลงไป นอกจากนี้การ Work from home
พวกเราต้องเจอกับ Presentation มาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเป็น PowerPoint หรือ Keynote ก็ตาม หลายครั้งที่เราพยายามตั้งใจดูสไลด์พร้อมกับฟังคำอธิบายในการประชุมอย่างจดจ่อ กลายเป็นว่าสมองยิ่งสับสน ไม่สามารถจดจำเนื้อหาอะไรได้เลยแม้แต่ท่อนเดียว ถ้าคุณเป็นแบบนี้บ่อย ๆ อย่าพึ่งโทษตัวเอง หรือโทษลูกน้องของคุณ เพราะวิทยาศาสตร์ได้อธิบายเหตุการณ์นี้เอาไว้ว่า สาเหตุนั้นมาจากวิธีทำ Presentation เอง การทำสไลด์ที่น่าเบื่อ มีตัวหนังสือพรืดเต็มหน้าจอ พร้อมกับการพูดอธิบายข้อมูลที่ซับซ้อน ทำให้สมองของคนฟังต้องทำงานตีความหมายจากสอง inputs ไปพร้อม ๆ กันแบบ multitasking มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว Presentation ที่ดี ไม่ควรมีความซับซ้อน หากใครเคยเห็น Presentation ที่เต็มไปด้วยข้อความหรือ bullet ยิบย่อยมากมาย และคน present ก็พูดอธิบายข้อความเนื้อหาจำนวนมากไปพร้อม ๆ กัน แทนที่จะช่วยย้ำหรืออธิบายข้อมูลให้เข้าใจง่าย กลับกลายเป็นการเพิ่มโหลดให้สมองส่วนจดจำข้อมูล เพราะในขณะที่ตาเราจ้องอ่านข้อความบนสไลด์เพื่อตีความหมาย หูของเราก็ฟังคำอธิบายที่แตกต่างจากบนสไลด์เพื่อตีความหมายไปพร้อม ๆ กัน เมื่อหูและตาเจอกับข้อความที่แตกต่างกัน รวมถึงการเสียสมาธิเพราะต้องสลับโฟกัสระหว่างคำพูดและข้อความบนสไลด์ ทำให้เกิดการส่งข้อมูลที่ซับซ้อนไปสู่สมองจากคนละประสาทสัมผัส ผลคือสมองของเราจะเหนื่อยล้า สมาธิหลุด ส่งผลให้เรารู้สึกเบื่อการประชุม และลืมข้อมูลไปจากความทรงจำอย่างรวดเร็ว
Dangerous Minds คือภาพยนตร์แนวดราม่าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในยุค 90’s ออกฉายครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1995 นำแสดงโดย Michelle Pfeiffer มารับบทเป็นคุณครู LouAnne Johnson และกำกับการแสดงโดย John N. Smith ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “My Posse Don’t Do Homework” ที่เขียนโดย LouAnne Johnson ตัวจริง Dangerous Minds นำเสนอเรื่องราวของคุณครูคนหนึ่งที่ตกลงปลงใจเข้าสอนกลุ่มนักเรียนพิเศษในระดับไฮส์สคูล หรือจะให้บอกตรง ๆ ก็คือกลุ่มนักเรียนเกเรที่ไม่มีใครอยากสนใจ มีครูมากมายที่ต้องลาออกไปเพราะไม่สามารถที่จะรับมือกับความแสบของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้ แต่ครู LouAnne Johnson กลับสามารถพิชิตใจนักเรียนกลุ่มนี้ได้ แม้กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องผ่านเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพอมาเปรียบเทียบกับชีวิตของเราแล้ว มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมาะกับการนำไปปรับใช้เวลาทำงานด้วยเช่นกัน และเราสามารถแบ่งประเด็นที่น่าสนใจออกมาได้เป็นจำนวน 5 ข้อหลัก ๆ ดังนี้ แผนบางอย่างใช้ไมได้กับทุกสถานการณ์
เวลาทำงานเราจำเป็นต้องพูดคุยกับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน บอส หรือ ลูกค้า ทักษะในการสื่อสารที่ดีจึงสำคัญต่อการทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างมาก เพราะถ้าเราคุยกับคนอื่นได้ไม่ดี เราอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและประสบกับความล้มเหลวในการทำงานได้ UNLOCKMEN เลยอยากจะแนะนำ 5 ประโยคที่ไม่ควรพูดในที่ทำงาน โดยหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น “เราทำแบบนี้มาตลอด” แม้คุณจะเป็นฝ่ายถูก แต่การพูดแบบนี้มักทำให้หัวหน้ารู้สึกว่า “คุณไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แย่ของคนทำงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงสามารถนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่องค์กร ดังนั้นจงจำไว้ว่า สิ่งที่ทำมาตลอดไม่ใช่ว่ามันจะดีที่สุดเสมอไป บางสิ่งมันก็ควรเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เช่น การเปลี่ยนจากทำงานบนกระดาษมาเป็นทำงานเอกสารบนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตแทน แทนที่เราจะพูดแบบนั้น เราควรถามฝ่ายตรงข้ามกลับไปว่า “อะไร คือ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการลองวิธีใหม่” ถ้าวิธีการทำงานแบบใหม่ดีกว่าวิธีเก่าจริง พวกเขาก็ควรบอกได้ว่าทำไมมันถึงดีกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้ดีกว่าเลย คุณก็ควรบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรใช้วิธีเก่ากันต่อไป “ผมจะลองดู” ถ้าเราใช้คำว่า “จะลองดู” หรือ “จะพยายามทำดู” นั่นหมายความว่า คุณไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูง ซึ่งความไม่มั่นใจและความกลัวไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานเลย การทำให้หัวหน้าของคุณรู้สึกแบบนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวคุณเช่นกัน ดังนั้น แทนที่คุณจะพูดว่า “จะลองดู” ให้พูดว่า “จะทำให้อย่างสุดความสามารถดูครับ แล้วเดี๋ยวผมจะสรุปมาให้ว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรเพื่อปรับปรุงได้บ้าง” แทน ซึ่งเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพมากกว่า “ขอโทษครับ แต่….” เวลาที่คุณรู้สึกผิดกับความผิดพลาดของตัวเอง คำว่า
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมีชีวิตดี ทำธุรกิจอะไรก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนทำอะไรก็ให้ผลตอบแทนไม่งอกเงยเท่าที่ควร มีผลวิจัยทำสถิติระบุว่า เรื่องนี้อาจอยู่ที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและมุมมองวิธีคิดของแต่ละคน เช่นคนที่มักจะรายล้อมตัวเองด้วยคน Toxic หรือมองความท้าทายเป็นปัญหาที่ไม่กล้าจะก้าวเท้าออกไปเผชิญหน้ากับมัน วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล ดูเหมือนว่าคนรอบตัวจะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนเก่ง เราจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ถ้าเราอยู่กับคนขี้แพ้ เราอาจกลายเป็นคนขี้แพ้ไปด้วย งานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 25 ปีของ Dr. David McClelland อาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ปัจจัยนึงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเราได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ กลุ่มอ้างอิง (reference group) หรือกลุ่มคนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วย พูดคุยด้วย หรือ ทำงานร่วมกันเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ส่งผลต่อตัวเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่เราเลือกคบนั้นจะมีอิทธิพลต่อเราในทุกด้าน Warren Buffet เคยพูดว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากการใช้เวลาร่วมกับคนที่ดีกว่าตัวเอง เลือกเพื่อนที่มีพฤติกรรมดีกว่าเรา เราจะอยากผลักดันตัวเองให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้นไปด้วย ดังนั้น เราควรมีเพื่อนเก่ง ๆ อย่างน้อยสักหนึ่งคนที่สามารถขอคำแนะนำหรือคำปรึกษาในยามที่เกิดปัญหา ในขณะเดียวกัน ตัวเราเองก็ต้องมีความพร้อมในการมองเห็นและยอมรับปัญหาของตัวเอง เพื่อที่จะได้พัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้นได้แบบ inside-out เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีและความรู้ในโลกเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้ความเข้าใจที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน