หากจะให้พูดถึงรายการท่องเที่ยวในบ้านเราแน่นอนว่ามีตัวเลือกให้ชมอย่างมากมาย แต่ถ้าจะให้พูดถึงรายการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เชื่อว่าชื่อของ The Gaijin Trips น่าจะติดท็อปลิสต์ของใครหลาย ๆ คน หนุ่มหน้าหล่อชาวบางแสนนามว่า “เบนซ์” ได้นำเสนอรูปแบบเล่าเรื่องการท่องเที่ยวของตัวเองที่สะดุดหูทุกคนที่ได้ยิน ราวกับว่าเรากำลังนั่งฟังดนตรีโพสต์ร็อกบรรเลง บรรยากาศเนิบ ๆ เคลิ้ม ๆ ชวนฝันแต่กลับน่าฟังอย่างน่าประหลาดใจ แถมเรื่องราวในแต่ละคลิปยังเต็มไปด้วยความเรียลแบบไร้แผนเดินทางถือเป็นจุดขายที่ชวนให้ทุกคนต้องติดตาม เพราะคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเดินทาง Unlockmen ขอพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของเบนซ์ให้มากขึ้นกับ ZERO TO HERO : “เบนซ์ The Gaijin Trips” การเดินทางที่ไร้แผนกับผลตอบแทนคือประสบการณ์อันล้ำค่า ชีวิตวัยเยาว์เอากิจกรรมมาก่อนเรื่องเรียน “ผมเป็นเด็กที่เรียนได้บ๊วยตลอดเลยครับ ไม่โหล่ก็รองโหล่ แต่จะเด่นพวกกีฬา กิจกรรมต่าง ๆ มากกว่า ผมเป็นนักกีฬาโรงเรียน เล่นบาส เล่นบอล วอลเลย์ ตะกร้อ ได้แชมป์บ้างอะไรบ้าง อีกอย่างหนึ่งก็คือวิชาศิลปะ ที่เราจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ชอบวาดรูป ชอบลงสี ผมจะเด่นตรงด้านนี้ “พอโตขึ้นมาแล้วมาเรียนสามัญช่วงมัธยมปลาย ผมรู้สึกว่ามันมีความวิชาการ มีความตึงเตรียด จนสุดท้ายเราก็ลาออกจากโรงเรียนมาเลย โต๋เต๋อยู่ช่วงหนึ่ง มาช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้านค้าขาย
ถ้าพูดถึงเรื่องสูทกับผู้ชายไทย ดูจะเป็นชุดความรู้ที่เข้าใจผิดกันมานมนานหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่ง UNLOCKMEN พอจะเข้าใจว่าด้วยสภาพอากาศ และโอกาสที่ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยต่อการสวมใส่เสื้อสูทสักเท่าไหร่ ส่งผลให้หนุ่ม ๆ ไทยไม่คุ้นชินกับวัฒนธรรมนี้เท่าที่ควร พอนำมาสวมใส่ก็จะดูเคอะเขิน ไม่มั่นใจกันไปอีก แต่วันนี้พวกเราอยากจะเปิดมุมมองใหม่ ๆ เกี่ยวกับการใส่ชุดสูทเพิ่มมากขึ้น เมื่อได้รับโอกาสอันดีจากคุณ ศิรพล ฤทธิประศาสน์ (กาย) และ คุณ วรงค์ ภัทรชัยกุล (บอล) เจ้าของร้าน The Decorum จุดนัดพบสำหรับสุภาพบุรุษ ในการแนะนำข้อมูลแง่มุมต่าง ๆ เกี่ยวกับชุดสูทแบบจัดเต็ม ซึ่งก่อนที่เราจะไปเจาะลึกเรื่องสูท เป็นธรรมเนียมที่จะต้องพูดคุยเกี่ยวกับที่มาของร้านว่าทั้งคู่มาเริ่มต้นจับธุรกิจ Tailor Made ได้อย่างไร อะไรที่จุดประกายความคิดจนอยากจะเปิดร้าน The Decorum ขึ้นมาด้วยกัน ? คือเราสองคนรู้จักกันมาก่อนหน้านี้แล้วชอบอะไรที่เหมือน ๆ กัน ใส่เชิ้ตยี่ห้อเดียวกัน แล้วก็มีคนมาถามเยอะ ว่าเราใช้ของอะไร หามาจากไหน จึงคิดว่าอยากจะทำร้านขึ้นเพื่อให้เหมาะกับคนที่มีไลฟ์สไตล์เหมือนกับเรา ก็เลยรู้สึกว่าอยากเอาสินค้าที่ตัวเองชอบและใช้อยู่แล้วมาทำตลาดที่นี่ครับ โดยสินค้าส่วนใหญ่ในร้านจะเป็นที่เราก็ใส่เองด้วย ส่วนเรื่องของช่างตัดสูทที่ทางร้านนำเข้ามาก็เป็นช่างที่พวกผมตัดกับเขาประจำอยู่แล้ว เป็นเพื่อนกัน สุดท้ายมาถึงจุดที่ว่า ตลาดเมืองไทยยังไม่มีอะไรแบบนี้ อยากจะให้คนไทยมีโอกาสได้ลองเหมือนกับเรา
หากพูดถึงโลกของแรลลี่ ไม่มีใครจะสร้างชื่อที่น่าตื่นเต้นได้เท่า Subaru Impreza และที่สุดของความหายากต้องยกให้ Impreza 22B รถตำนานที่มีเพียง 424 คันในโลก ล่าสุดสำนัก Prodrive ได้ประกาศจะสร้าง Prodrive P25 รหัสพิเศษที่ใช้บอดี้ Subaru Impreza 2-door มาปั้นเป็น 22B แบบครบทุกจุด ในราคาคันละ 20 ล้านบาท ตัวรถถูกเสริมความแกร่งด้วยวัสดุ carbon composite ทั้งภายนอกและภายใน ตั้งแต่ WRC rear wing ไปจนถึงคอนโซลและประตู พร้อมเบาะ lightweight ลดน้ำหนักเพื่อให้ตัวรถเข้าใกล้ 22B มากยิ่งขึ้นด้วยน้ำหนักรวมไม่ถึง 1,200 กิโลกรัม ใต้ฝากระโปรงวางเครื่องยนต์ 2.5-liter boxer ผ่านการปรับแต่งระบบดูดอากาศ เพิ่มขนาด turbocharger จนได้แรงม้าทะลุ 400 ตัวสบาย ๆ ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6-speed sequential เปลี่ยนเกียร์ได้ด้วย
มีเสน่ห์น่ามองไปทุกส่วน เพิ่งจะคว้ารางวัล 2022 Car Design Award สาขา Concept Cars จาก Milano Design Week มาหมาด ๆ นี่คือ Toyota Compact Cruiser EV Concept รถยนต์ off-roader ขุมพลังไฟฟ้ารูปทรงกล่องพร้อมเส้นสายบึกบึนที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก FJ Land Cruiser เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางผู้ชื่นชอบไลฟ์สไตล์ outdoor ดีไซน์ภายนอกดูสดใหม่ทันสมัยด้วยเส้นไฟ LED ด้านหน้าและหลัง สะดุดตาด้วยชุดแต่งกันชนหน้าที่ลากยาวต่อเนื่องเป็นชิ้นเดียวกับซุ้มล้อทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ ด้านท้ายมีบันไดสำหรับปีนหยิบของบนหลังคาพร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้เสา C-pillar ไปในตัว Toyota ไม่ได้เผยข้อมูลเทคนิคของ Compact Cruiser EV Concept คันนี้ออกมามากนัก แต่เรามั่นใจว่าจะมาพร้อมระบบพลังงานไฟฟ้าล้วน ขับเคลื่อนแบบ all-wheel drive คาดว่าไม่นานเกินรอ จะได้ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Toyota แน่นอน เพราะเป็นปีที่ค่ายเน้นปล่อยรถ EV มาแย่งส่วนแบ่งจากตลาดรถไฟฟ้าที่คึกคักในตลาดใหญ่ ๆ
เพิ่มความสปอร์ตให้รถหรู ด้วยรุ่นอัพเกรดใหม่กับรหัส “S” ใหม่ล่าสุด หลังจากก่อนหน้านี้ Bentley เพิ่งจะเปิดตัว Continental GT และ GTC พร้อม S badge ไปแล้ว วันนี้มาถึง Flying Spur S Sedan กับการเพิ่มของแต่งโทนดำ Blacked-out Bentley Flying Spur S ตกแต่งภายนอกด้วยโทนดำมาแทนที่วัสดุเงินสะท้อนแสงทั้งหมด กระจังหน้าและช่องดักอากาศดำ โคมไฟหน้าหลังรมดำ dark-tinted พร้อมล้อลายโหดสีดำ gloss black ขนาด 22 นิ้ว กับ calipers brake สีแดงดุดัน ปลายท่อไอเสีย quad exhaust tips สีดำ ช่วยให้ Flying Spur S ดูเตี้ยและใหญ่กว่าปกติ ขุมพลังของ Bentley Flying Spur S
ลงทุนอะไรไม่ดอย วันนี้ต้องยกให้ Classic Car ที่สุดของทรัพย์สินที่มูลค่ามีแต่ทวีคูณ หากคุณรู้ว่ารุ่นไหนน่าเล่นน่าลงทุน วันนี้เราขอแนะนำ Top Classic Car ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกจากการประมูลอย่างเป็นทางการ จากเดิมที่อันดับ 1 เคยตกเป็นของ Ferrari 250 GTO มาอย่างยาวนาน ปีนี้ก็ถูกยึดตำแห่งโดย Mercedes-Benz 300 SLR กับราคาที่แพงกว่าถึง 3 เท่าตัว 1. 1955 Mercedes-Benz 300 SLR “Uhlenhaut Coupe”: 5,000 ล้านบาท รถที่เปรียบเสมือนสมบัติแห่งชาติของ Mercedes-Benz วงการ Racing car ช่วงปี 1950s มีเพียง 2 คันในโลก ผลงานของ Rudolf Uhlenhaut หัวหน้าแผนก Test department ได้นำเอา 300 SLR W196
น่าจะเป็น Jaguar E-Types ที่สมบูรณ์แบบมากที่สุดในปัจจุบันแล้ว เพราะนี่คือ 1965 Series 1 Roadster ที่ถูกนำมาชุบชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้งนึงชนิดใหม่ยันหัวน็อตโดย Jaguar Classic นำออกมาขับโชว์ในขบวนฉลอง Queen of England’s Platinum Jubilee ที่ผ่านมา เป็น 1 ใน 26 คันของ Jaguar Land Rover ที่เตะตาเรามากที่สุด Jaguar Classic ใช้เวลาถึง 12 เดือนเต็มในการสร้าง Series 1 E-Type คันนี้ขึ้นมาใหม่แบบ one-off สำหรับลูกค้าคนพิเศษที่สั่งระบุว่าต้องการรถที่สร้างขึ้นตรงกับปีเกิดของเจ้าตัวด้วย ซึ่งเป็นการแสดงฝีมือการ restore รถเพื่อให้โลกได้เห็นในวันงานที่สำคัญที่สุดของคนอังกฤษ ภายนอกโดดเด่นแปลกตาด้วยตัวถังสี deep metallic blue และภายในสีแดง ได้แรงบันดาลใจมาจากสีบนธงชาติอังกฤษ ซึ่งกระบวนการหุ้มหนังทุกขั้นตอนใช้วิธีแบบดั้งเดิม เย็บและประกอบด้วยมือทั้งหมด มีการเพิ่มเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ เข้าไปภายใต้รูปแบบดีไซน์ที่ยังคงความคลาสสิค ไม่ว่าจะเป็นจอ Infotainment
ย้อนไปในปี 2018 เมื่อ FIA เปิดโอกาสให้ค่ายรถสามารถส่ง Hypercar ของตัวเองลงแข่งในรายการ World Endurance Championship ได้ ทำให้หลายค่ายหันมาสนใจพัฒนารถที่เรียกว่า Le Mans Hypercar Category กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Aston Martin Valkyrie หรือ McLaren Senna ล่าสุดเป็นการเผยโฉม Hypercar ตัวแข่งสุดเซอร์ไพรส์จาก BMW กับรถแข่งที่ได้ชื่อรหัสอย่างเป็นทางการว่า “BMW M Hybrid V8 Hypercar” ซึ่งน่าลุ้นเหลือเกินว่าเราจะได้เห็น street-legal version ของรถแข่งคันนี้ในรูปแบบ street-legal ตามออกมาเพื่อรับมือกับ Mercedes-AMG One หรือไม่ ผลงานที่มาพร้อมดีไซน์ภายนอกสุดดุดันครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งการฉลองโอกาสครบรอบ 50 ปี ของ BMW M Division หลังจากที่มีการเปิดตัว M3 และ M4 CSL
ไอเดียที่เกิดจากความเมาของผู้บริหารเมื่อเกือบหกปีที่แล้ว กลายเป็นโจทย์สุดท้าทายที่สร้างออกมาได้จริงในที่สุด นี่คือ 2023 Mercedes-AMG One รถ street-legal Hypercar สำหรับใช้งานบนท้องถนน ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีทุกอย่างมาจากรถแข่ง Fomula 1 ไม่ใช่แค่การดัดแปลง แต่เป็นการยกทั้งชุดขุมพลัง hybrid 1.6-liter turbocharged V6 พ่วงระบบไฟฟ้า ที่ใช้ในรถแข่ง Mercedes-AMG Petronas Formula 1 E มาใส่ไว้ในเพื่อใช้สร้าง hypercar ที่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้จริง และต้องผ่านข้อกำหนดต่าง ๆ เพื่อให้เป็นรถที่สามารถขับบนถนนได้อย่างถูกกฎหมาย หัวใจหลักของ Mercedes-AMG One คือระบบขับเคลื่อนแบบ hybrid ที่มีขุมพลังรวมมากถึง 1,049 แรงม้า เครื่องยนต์ internal combustion ความจุ 1.6-liter V6 double overhead camshafts, air sprint valves, direct injection ที่มีรอบจัดถึง
หากเอ่ยชื่อ “เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร” หลายคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดีในฐานะเจ้าของร้าน Le Du (ฤดู) ร้านอาหารสไตล์ Fine dining ที่โดดเด่นด้วยแนวอาหารแบบไทยฟิวชั่นที่ถูกปากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากว่า 10 ปี นอกจาก Le Du แล้ว เชฟหนุ่มคนนี้ยังดูแลธุรกิจร้านอาหารอีกถึง 7 ร้านซึ่งมีแนวทางการสร้างสรรค์อาหารที่แตกต่างกัน หากนับชั่วโมงบินในวงการนี้แล้ว เชฟต้นถือเป็นเชฟมืออาชีพทั้งจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาและรางวัลการันตีความสามารถมากมาย และแม้จะต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 อุปสรรคครั้งใหญ่ที่ทำให้ร้านอาหารหลายร้านต้องยอมถอย แต่ธุรกิจที่อยู่ภายใต้การบริหารของเขายังคงอยู่รอดมาได้ อะไรคือเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้เชฟหนุ่มคนนี้ประสบความสำเร็จ วันนี้เราจะมาหาคำตอบจากเชฟหนุ่มคนนี้กัน ปรุงรสเสน่ห์อาหารไทยด้วยความโดดเด่น แตกต่าง และวัตถุดิบจากท้องถิ่น ย้อนกลับไปช่วงที่เชฟต้นเริ่มเปิดร้านอาหารเป็นครั้งแรก อาหารไทยสไตล์ฟิวชั่นยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ด้วยความชอบในอาหารไทยเป็นทุนเดิม จึงเป็นเหมือนแรงผลักดันให้เชฟหนุ่มคนนี้ทำตามความฝันที่จะเปิดร้านอาหารไทยฟิวชั่นในรูปแบบ Fine dining จนกลายเป็น Signature ประจำตัว “ผมมองว่าอาหารไทยคือสิ่งที่คนไทยเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เราเติบโตมากับอาหารไทยตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าจะไปลองกินอาหารชาติไหน สุดท้ายเราก็อยากกลับมากินอาหารไทยอยู่ดี เพราะเป็นรสชาติที่คุ้นเคยและถูกปาก แม้แต่ชาวต่างชาติก็ยังชื่นชอบอาหารไทย แต่การยกระดับอาหารไทยขึ้นมาเสิร์ฟในรูปแบบ Fine dining นั้นเป็นโจทย์ที่ท้าทาย เพราะมุมมองของคนทั่วไปในเวลานั้น อาหารไทยหาทานที่ไหนก็ได้ ผมจึงให้ความสำคัญในการเลือกสรรวัตถุดิบและกรรมวิธีการปรุงรสเพื่อชูวัตถุดิบหลักให้ได้มากที่สุด ลองคิดนอกกรอบสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ด้วยวัตถุดิบท้องถิ่น ทำให้เราได้เมนูที่แปลกใหม่แต่ยังคงมีกลิ่นอายความเป็นไทย
Nov 25, 2021 มี Tweet ระบุช่องโหว่และบอกวิธีที่สามารถโจมตี TerraUSD alogrithm ระบบของ LUNA และ USDT ด้วยวิธีของ George Soros และเงินทุนราว $1 Billion USD แต่แทนที่ Do Kwon จะรับฟังและตรวจสอบไอเดียว่าทำได้จริงหรือไม่ เขากลับตอบด้วยประโยคที่เจ้าตัวใช้เป็นประจำว่า “ถ้าไม่ฉลาด ก็เงียบปากไปซะ ไหนใครเป็น Billionaires ลองทำแบบที่มันบอกหน่อย แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” และยังมีอีกหลายต่อหลายครั้งที่ Do Kwon โต้ตอบกับผู้คนด้วย tweet ที่ดุเดือดและจองหอง ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดหยามคนอื่นว่าจน โง่ หรือเรียกคนที่วิจารณ์ระบบ Terra ว่าเป็นพวกแมลงสาบ ระยะเวลาแค่ 5 เดือนผ่านไป ดูเหมือนสิ่งที่ Do Kwon เคยท้าทายเอาไว้ด้วยความมั่นใจในระบบของตัวเองมากเกินไปจนมองข้ามปัญหา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า TerraUSD algorithm ถูกโจมตีจนทุกอย่างที่ Do Kwon สร้างขึ้นมาพังพินาศยับเยิน
“แต่งตัวแบบนี้คนอื่นหัวเราะเยาะแน่เลย” “เราต้องทำอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ ทำไมคนอื่นดูไม่ค่อยพอใจเราเลย” รู้ไหมว่าบางครั้ง คุณอาจคิดไปเองว่าคนอื่นจะสนใจเรามากเกินความเป็นจริง เพราะมนุษย์มีธรรมชาติที่มักเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ และมักมองเรื่องต่าง ๆ ผ่านความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง คิดว่าคนอื่นจะต้องทำหรือรู้สึกเหมือนที่ตัวเองรู้สึก ทางหลักจิตวิทยาเรียกปรากฎการณ์นี้เรียกว่า ‘Spotlight Effect’ วันนี้ UNLOCKMEN จะมาอธิบายให้ฟังว่า Spotlight Effect คืออะไร ทำงานยังไง และเราจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนเข้าใจคำว่า Spotlight Effect ตรงกัน ก่อนอื่นเราอยากให้ทุกคนลองจินตนาการว่า พวกเรากำลังอยู่ในโรงละครที่การแสดงละครเวทีกำลังดำเนินอยู่ บนเวที พระเอกและนางเองกำลังแลกเปลี่ยนบทสนากัน ภายใต้แสง spotlight ที่ส่องมายังทั้งคู่ เพื่อเป็นการบ่งบอกผู้ชมว่านี่คือตัวละครสำคัญในฉาก พร้อมดึงดูดความสนใจของสายตาทุกคู่ที่อยู่ในโรงละครให้จับจ้องไปที่นักแสดงใต้แสง spotlight นั้น Spotlight Effect จึงเป็นคำเรียก ปรากฎการณ์ที่คนคิดไปเองว่าตัวเองได้รับความสนใจจากคนอื่นตลอดเวลา เหมือนกับมีแสง spotlight ส่องมายังพวกเขาตลอดเวลา (ซึ่งในความเป็นจริงไม่ใช่โรงละคร ไม่มีแสง spotlight และคนเราไม่ได้สนใจคนอื่นมากขนาดนั้น) ทำให้พวกเขารู้สึกต้องระแวดระวังตัวเองอยู่เสมอ เพราะกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดพลาดของตัวเองได้ ยกตัวอย่าง เวลาเล่นกีฬา คนจะรู้สึกว่าเพื่อนร่วมทีมสังเกตข้อบกพร่องของตัวเองมากกว่าความเป็นจริง งานวิจัยหลายชิ้นได้พยายามอธิบายการมีอยู่ของ
“ต้องทำงานให้หนัก ไม่มีหยุดพัก ไม่ต้องคบใคร แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ” หากใครฟังไลฟ์โค้ชบ่อย ๆ น่าจะคุ้นกับประโยคปลุกใจทำนองนี้ ซึ่งอาจจะมีส่วนถูกอยู่บ้างบางส่วน เช่นการทำงานที่ช่วยพัฒนาตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมสร้างโอกาสให้เราได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน หรือในภาวะเศรษฐกิจทรุด ค่าเงินเฟ้อ หลายคนต้องทำงานอย่างหนักหลายช่องทางเพื่อหารายได้เสริม หรือบางคนอาจจะมีค่านิยมว่าต้องทำงานให้หนักอยู่เสมอ ตัวเองถึงจะมีคุณค่า ไม่ว่าคุณจะทำงานหนักด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หากรู้สึกว่ามันหนักเกินไปจนชีวิตของคุณกำลังพัง แปลว่าคุณกำลังเจอกับอาการ “Toxic Productivity” Toxic Productivity คือความพยายามเป็นคน Productive ตลอดเวลา ไม่คิดจะหยุดพัก แม้ว่างานของวันนี้จะถูกเคลียร์ไปหมดแล้วก็ตาม เป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากในกลุ่ม Manager level ขึ้นไป ซึ่งอยู่ในช่วงสำคัญที่ต้องการสร้างผลงานเพื่อเลื่อนขั้นต่อไป หรือ Freelance ที่รับงานมากเกินไป เพราะการมีลูกค้าเข้ามาว่าจ้าง หมายถึงความสามารถที่เหนือกว่าคู่แข่ง และเป็นช่วงกอบโกยรายได้ จะเห็นว่าการนำคุณค่าของตัวเองไปวัดกับประสิทธิภาพการทำงาน จะยิ่งก่อให้เกิดความเครียดจากวงจรการทำงานที่ไม่มีวันหยุดพัก ยิ่งทำงานได้มาก ยิ่งงานออกมาได้ดี ยิ่งแสดงถึงคุณค่าของตัวเองมากขึ้น เพื่อให้หัวหน้าและลูกน้องมองเห็นความสำคัญในการมีอยู่ซึ่งตัวตนแบบอย่าง หากไม่มีงาน เราจะรู้สึกว่าไม่เหลืออะไรในชีวิตให้ทำอีกเลย และเมื่อไหร่ที่นั่งว่างงานเฉย ๆ ระหว่างวัน กลับทำให้รู้สึกว่าเป็นคนขี้เกียจ ด้อยคุณค่าในตัวเองลงไป นอกจากนี้การ Work from home
พวกเราต้องเจอกับ Presentation มาตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเป็น PowerPoint หรือ Keynote ก็ตาม หลายครั้งที่เราพยายามตั้งใจดูสไลด์พร้อมกับฟังคำอธิบายในการประชุมอย่างจดจ่อ กลายเป็นว่าสมองยิ่งสับสน ไม่สามารถจดจำเนื้อหาอะไรได้เลยแม้แต่ท่อนเดียว ถ้าคุณเป็นแบบนี้บ่อย ๆ อย่าพึ่งโทษตัวเอง หรือโทษลูกน้องของคุณ เพราะวิทยาศาสตร์ได้อธิบายเหตุการณ์นี้เอาไว้ว่า สาเหตุนั้นมาจากวิธีทำ Presentation เอง การทำสไลด์ที่น่าเบื่อ มีตัวหนังสือพรืดเต็มหน้าจอ พร้อมกับการพูดอธิบายข้อมูลที่ซับซ้อน ทำให้สมองของคนฟังต้องทำงานตีความหมายจากสอง inputs ไปพร้อม ๆ กันแบบ multitasking มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว Presentation ที่ดี ไม่ควรมีความซับซ้อน หากใครเคยเห็น Presentation ที่เต็มไปด้วยข้อความหรือ bullet ยิบย่อยมากมาย และคน present ก็พูดอธิบายข้อความเนื้อหาจำนวนมากไปพร้อม ๆ กัน แทนที่จะช่วยย้ำหรืออธิบายข้อมูลให้เข้าใจง่าย กลับกลายเป็นการเพิ่มโหลดให้สมองส่วนจดจำข้อมูล เพราะในขณะที่ตาเราจ้องอ่านข้อความบนสไลด์เพื่อตีความหมาย หูของเราก็ฟังคำอธิบายที่แตกต่างจากบนสไลด์เพื่อตีความหมายไปพร้อม ๆ กัน เมื่อหูและตาเจอกับข้อความที่แตกต่างกัน รวมถึงการเสียสมาธิเพราะต้องสลับโฟกัสระหว่างคำพูดและข้อความบนสไลด์ ทำให้เกิดการส่งข้อมูลที่ซับซ้อนไปสู่สมองจากคนละประสาทสัมผัส ผลคือสมองของเราจะเหนื่อยล้า สมาธิหลุด ส่งผลให้เรารู้สึกเบื่อการประชุม และลืมข้อมูลไปจากความทรงจำอย่างรวดเร็ว
Dangerous Minds คือภาพยนตร์แนวดราม่าที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในยุค 90’s ออกฉายครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1995 นำแสดงโดย Michelle Pfeiffer มารับบทเป็นคุณครู LouAnne Johnson และกำกับการแสดงโดย John N. Smith ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ “My Posse Don’t Do Homework” ที่เขียนโดย LouAnne Johnson ตัวจริง Dangerous Minds นำเสนอเรื่องราวของคุณครูคนหนึ่งที่ตกลงปลงใจเข้าสอนกลุ่มนักเรียนพิเศษในระดับไฮส์สคูล หรือจะให้บอกตรง ๆ ก็คือกลุ่มนักเรียนเกเรที่ไม่มีใครอยากสนใจ มีครูมากมายที่ต้องลาออกไปเพราะไม่สามารถที่จะรับมือกับความแสบของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้ แต่ครู LouAnne Johnson กลับสามารถพิชิตใจนักเรียนกลุ่มนี้ได้ แม้กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องผ่านเรื่องราวอะไรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งพอมาเปรียบเทียบกับชีวิตของเราแล้ว มันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เหมาะกับการนำไปปรับใช้เวลาทำงานด้วยเช่นกัน และเราสามารถแบ่งประเด็นที่น่าสนใจออกมาได้เป็นจำนวน 5 ข้อหลัก ๆ ดังนี้ แผนบางอย่างใช้ไมได้กับทุกสถานการณ์
เวลาทำงานเราจำเป็นต้องพูดคุยกับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน บอส หรือ ลูกค้า ทักษะในการสื่อสารที่ดีจึงสำคัญต่อการทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างมาก เพราะถ้าเราคุยกับคนอื่นได้ไม่ดี เราอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและประสบกับความล้มเหลวในการทำงานได้ UNLOCKMEN เลยอยากจะแนะนำ 5 ประโยคที่ไม่ควรพูดในที่ทำงาน โดยหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น “เราทำแบบนี้มาตลอด” แม้คุณจะเป็นฝ่ายถูก แต่การพูดแบบนี้มักทำให้หัวหน้ารู้สึกว่า “คุณไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แย่ของคนทำงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงสามารถนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่องค์กร ดังนั้นจงจำไว้ว่า สิ่งที่ทำมาตลอดไม่ใช่ว่ามันจะดีที่สุดเสมอไป บางสิ่งมันก็ควรเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เช่น การเปลี่ยนจากทำงานบนกระดาษมาเป็นทำงานเอกสารบนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตแทน แทนที่เราจะพูดแบบนั้น เราควรถามฝ่ายตรงข้ามกลับไปว่า “อะไร คือ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการลองวิธีใหม่” ถ้าวิธีการทำงานแบบใหม่ดีกว่าวิธีเก่าจริง พวกเขาก็ควรบอกได้ว่าทำไมมันถึงดีกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้ดีกว่าเลย คุณก็ควรบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรใช้วิธีเก่ากันต่อไป “ผมจะลองดู” ถ้าเราใช้คำว่า “จะลองดู” หรือ “จะพยายามทำดู” นั่นหมายความว่า คุณไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูง ซึ่งความไม่มั่นใจและความกลัวไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานเลย การทำให้หัวหน้าของคุณรู้สึกแบบนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวคุณเช่นกัน ดังนั้น แทนที่คุณจะพูดว่า “จะลองดู” ให้พูดว่า “จะทำให้อย่างสุดความสามารถดูครับ แล้วเดี๋ยวผมจะสรุปมาให้ว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรเพื่อปรับปรุงได้บ้าง” แทน ซึ่งเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพมากกว่า “ขอโทษครับ แต่….” เวลาที่คุณรู้สึกผิดกับความผิดพลาดของตัวเอง คำว่า
เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงมีชีวิตดี ทำธุรกิจอะไรก็ประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนทำอะไรก็ให้ผลตอบแทนไม่งอกเงยเท่าที่ควร มีผลวิจัยทำสถิติระบุว่า เรื่องนี้อาจอยู่ที่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและมุมมองวิธีคิดของแต่ละคน เช่นคนที่มักจะรายล้อมตัวเองด้วยคน Toxic หรือมองความท้าทายเป็นปัญหาที่ไม่กล้าจะก้าวเท้าออกไปเผชิญหน้ากับมัน วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิตในการใช้ชีวิตได้มากขึ้น คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล ดูเหมือนว่าคนรอบตัวจะมีอิทธิพลต่อความสำเร็จมากกว่าที่เราคิด ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนเก่ง เราจะกลายเป็นคนที่เก่งขึ้น ถ้าเราอยู่กับคนขี้แพ้ เราอาจกลายเป็นคนขี้แพ้ไปด้วย งานวิจัยที่ใช้เวลากว่า 25 ปีของ Dr. David McClelland อาจารย์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ปัจจัยนึงที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเราได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ กลุ่มอ้างอิง (reference group) หรือกลุ่มคนที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วย พูดคุยด้วย หรือ ทำงานร่วมกันเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ส่งผลต่อตัวเราทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่เราเลือกคบนั้นจะมีอิทธิพลต่อเราในทุกด้าน Warren Buffet เคยพูดว่าความสำเร็จเกิดขึ้นจากการใช้เวลาร่วมกับคนที่ดีกว่าตัวเอง เลือกเพื่อนที่มีพฤติกรรมดีกว่าเรา เราจะอยากผลักดันตัวเองให้มีพฤติกรรมที่ดีขึ้นไปด้วย ดังนั้น เราควรมีเพื่อนเก่ง ๆ อย่างน้อยสักหนึ่งคนที่สามารถขอคำแนะนำหรือคำปรึกษาในยามที่เกิดปัญหา ในขณะเดียวกัน ตัวเราเองก็ต้องมีความพร้อมในการมองเห็นและยอมรับปัญหาของตัวเอง เพื่อที่จะได้พัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้นได้แบบ inside-out เรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาความรู้ใส่ตัวตลอดเวลา เพราะเทคโนโลยีและความรู้ในโลกเปลี่ยนแปลงและพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้ความเข้าใจที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
ความแตกต่างระหว่าง ‘นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ’ กับ ‘คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ’ ปัจจัยสำคัญนั้นอยู่ที่วิธีคิด หรือ Mindset ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีความสำคัญต่อการทำธุรกิจอย่างมาก ว่ากันว่าถ้าเรามี Mindset ที่ดี เราจะสามารถจัดการรับมือและแก้ปัญหาได้ดีกว่าคนอื่น ทำให้มีโอกาสชนะในการแข่งขันทางธุรกิจมากกว่าคนอื่นอีกด้วย Mindset หมายถึง กลุ่มของความเชื่อที่ส่งผลต่อความเข้าใจในโลกรอบตัว วิธีคิด ความรู้สึก การแสดงออกในแต่ละสถานการณ์ รวมไปถึงการแก้ปัญหาชีวิตของเรา มันจึงเป็นอะไรที่สำคัญมาก และนักธุรกิจทุกคนควรให้ความสนใจและพัฒนา Mindset ของตัวเองอยู่บ่อย ๆ เราอยากแนะนำประเภทของ Mindset ที่จะช่วยให้นักธุรกิจทุกคนเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นในปีใหม่ที่แสนจะท้าทายนี้กันครับ Growth Mindset เริ่มจาก Growth Mindset หรือ แนวคิดของมนุษย์ที่เชื่อว่าตัวเองมีความสามารถมากพอที่จะพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา เพียงแค่มีความตั้งใจและความพยายามก็สามารถพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น หรือ ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่อหนึ่งมากขึ้นได้ คนที่มีแนวคิดแบบนี้ยังมองว่าการหยุดพยายาม หรือ การหนีจากปัญหาคือความล้มเหลว ในขณะที่ความท้าทายหรืองานที่โหดหิน จะทำให้พวกเขากลายเป็นคนที่ฉลาดยิ่งขึ้น Growth Mindset สำคัญต่อนักธุรกิจ เพราะมันช่วยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับปัญหา และตัดสินใจทางธุรกิจได้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนักธุรกิจเจอกับการขาดทุนหนักในระยะเวลานึง ถ้ามี Growth Mindset พวกเขาจะไม่เลิกทำธุรกิจ แต่จะเรียนรู้จากปัญหา