สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคอลัมน์ Toys For Boys ตอนล่าสุด กดอ่านตรงนี้ก่อนเลยครับ 911 ASSISTANT เพราะเราบุกไปคุยกับ 911 ASSISTANT สถานที่ซึ่งเป็น PORSCHE Specialist ประสบการณ์กว่า 15 ปี ดูแลรถ PORSCHE ได้ทุกรุ่น สถานที่ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากแพชชั่นของผู้ชายคนหนึ่งที่หลงใหลใน PORSCHE และไม่เคยเบนเข็มไปแบรนด์อื่นอีกเลย UNLOCKMEN ขอให้ทาง 911 ASSISTANT เล่าความหลงใหลนั้นผ่านรถในโปรเจกต์พิเศษ 3 คัน และ RUF RT12S ก็คือหนึ่งในรถจากสามคันนั้น ที่เล่าความเป็นแบรนด์ RUF แบรนด์รถเยอรมันที่คนรัก PORSCHE ต้องรู้จัก และเมื่อเราพูดถึงความเป็น Completed Car ของแบรนด์ RUF เป็นรถที่ทุกส่วนคือความเป็น RUF อย่างแท้จริง ก็จำเป็นจะต้องยกรถที่ 911 Assistant ภูมิใจอย่าง RUF RT12S ขึ้นมาเป็นตัวอย่างประกอบด้วย และนี่คือรถไฮไลต์สำคัญที่พา
เนื่องจากว่าบทสัมภาษณ์ Toys For Boys ตอนล่าสุด ที่ UNLOCKMEN บุกไปคุยกับ 911 ASSISTANT ถึงความหลงใหลในแบรนด์ PORSCHE มีความยาว (มากกก) เราจึงทำการแบ่งออกมาทำเป็นบทความ Spin-Off ที่พูดถึงรถ Special Project ที่คุยกันอย่างเดียวไปเลย (มีทั้งหมด 3 คัน) และ 1991 964 TURBO ก็เป็นรถ Conversion ที่แสดงความหลงใหลในแบรนด์ PORSCHE และแบรนด์ RUF ของ 911 ASSISTANT ได้ดีที่สุดคันหนึ่งเลยล่ะ สิ่งไหนคือความเป็น RUF แบรนด์รถเยอรมันที่เคารพในความเป็น PORSCHE มาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นทำแบรนด์ตั้งแต่ Day1 ที่ถึงแม้ว่าพอทำรถ RUF เป็นของตัวเองแล้ว ก็ยังคงได้รับแรงบันดาลใจจาก Heritage Story มาจาก PORSCHE อยู่ รถรุ่น 964 TURBO
Long-term review MacBook Pro M4 รุ่นเริ่มต้น จอ 14 นิ้ว Ram 16GB SSD ความจุ 512GB หลังใช้งานมาครบ 1 เดือนพอดี การใช้งานเน้นด้าน Photoshop และ Lightroom ขั้น advance รวมถึง Final Cut Pro ขั้นปกติ สรุปได้ว่า ถ้าไม่ถึงขั้นตัดต่อหนังระดับภาพยนตร์ เขียนโปรแกรม หรือ render 3D โหดจริง ๆ ซื้อแค่ตัวเริ่มต้นราคาห้าหมื่นต้นก็เกินพอแล้วสำหรับเรา เร็วแรงแบตทน แถมได้อัพเกรดจาก M3 ทั้ง Ram และ CPU 2 cores + Thunderbolt port เพิ่มในราคาเท่าเดิม สิ่งที่ประทับใจมากคือ – Chip ทั้ง CPU,
เข้าสู่ช่วงปลายปีทีไร บรรยากาศแห่งความสุข ความสนุกจากเทศกาลเฉลิมฉลองก็หวนกลับมาอีกครั้ง และสำหรับช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้ แน่นอนว่าเสียงดนตรีคือสิ่งที่ขาดไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาปาร์ตี้ หรือระหว่างออกเดินทางทริปท่องเที่ยวปลายปี การได้มีเพลงเพราะ ๆ ขับกล่อมในทุกโมเมนต์มันเป็นอะไรที่ลงตัวแบบสุด ๆ และเราเองก็อยากให้ Festive Season ของชาว UNLOCKMEN ทุกคนในปีนี้ เต็มไปด้วยจังหวะแห่งความสุขที่สนุกยิ่งกว่า จึงรับอาสาชี้เป้าไอเทมโดน ๆ จาก Marshall คัดเน้น ๆ มา 3 รุ่น 3 สไตล์ ซึ่งเป็นได้ทั้งของขวัญที่ใครได้รับเป็นต้องฟิน และยังเป็นอุปกรณ์สำคัญในการอัพฟีล Festive ให้มันส์ขั้นสุด พร้อมเติมเต็มช่วงเวลาดี ๆ ต้อนรับปีใหม่แบบแฮปปี้ในทุกสถานการณ์ งานนี้จะมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง ไปดูกันได้เลย ขอเริ่มต้นไอเทมเร่งจังหวะแห่งความสุข กับหูฟังไร้สาย Marshall Major V ให้ทริปปีใหม่นี้เพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีแบบไม่ขาดช่วง โดดเด่นด้วยสุ้มเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ทั้งย่านเบสที่ลงลึก เสียงกลางที่นุ่มนวล และเสียงแหลมที่ชัดเจน พร้อมงานดีไซน์คลาสสิกในสไตล์ Marshall แค่คล้องคอเฉย ๆ ก็เพิ่มความเท่ลงตัวให้กับ Total
แฟน ๆ ของ Aston Martin น่าจะคุ้นเคยกับ AM-RB 003 Concept ที่เคยเปิดตัวในปี 2019 กันดี มันคือต้นแบบที่ต้องใช้เวลาพัฒนาถึง 5 ปี กว่าจะได้ ultimate driver’s supercar ในชื่อ Valhalla ที่พึ่งเปิดตัวล่าสุดวันนี้ นับว่าเป็น mid-engine hybrid supercar คันแรกใน portfolio ของ Aston Martin อีกด้วย Aston Martin Valhalla มากับแรงม้าถึง 1,064 ตัว จากขุมพลัง twin-turbocharged 4.0-liter V8 วางอยู่หลังคนขับ พ่วงระบบ plug-in hybrid ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 3 ตัว ตัวแรกติดตั้งรวมอยู่ในชุดเกียร์ dual-clutch 8-speed ทำหน้าที่เป็น starter และปั่นไฟฟ้าชาร์จให้แบตเตอรี่
นอกจาก Moonwatch ที่โด่งดัง หลายคนอาจลืมไปว่าก่อนที่จะมาเกี่ยวข้องกับ Apollo program และ Moonlanding ที่จริงแล้วในอดีตปี 1957 Speedmaster มีต้นกำเนิดมาจากการเป็น racing chronograph ออกแบบมาเพื่อจับเวลา lap time และ average speed ในสนามแข่งด้วยการออกแบบ tachymeter scale ให้อยู่บนขอบหน้าปัดเป็นครั้งแรก และ Omega ก็ยังเคยมี Flightmaster pilot watch 12 Hour-GMT complication ที่แตกไลน์จาก Speedmaster ในปี 1969 นาฬิกาเรือนนี้จึงเป็นการนำตำนานที่หลายคนอาจจะหลงลืมไปให้กลับมาอีกครั้งในชื่อ Speedmaster Pilot Flight Qualified Omega Speedmaster Pilot Flight Qualified นาฬิกา pilot ที่มีกลิ่นอายของการเป็น military-tool ตัวเรือน fully brushed ปัดลายเต็มเรือนขนาด
ตั้งแต่ช่วงปี 60s – 80s สำนักออกแบบ Pininfarina ทำงานคู่กับ Ferrari สร้างผลงานระดับ iconic ออกมามากมาย ทำให้ทั้งสองบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีในระดับซี้ปึ้ก และในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปีของ Pininfarina ตอนนั้น Sergio Pininfarina มีความฝันที่จะทำ high-performance Ferrari 4 ประตู เพื่อต่อสู้กับคู่แข่งที่กำลังมาแรงอย่าง Aston Martin Lagonda, Mercedes 450 SEL 6.9 และ Maserati Quattroporte จึงตัดสินใจสร้าง concept car ขึ้นมาเป็นของขวัญให้บริษัทตัวเอง นั่นก็คือ 1980 Ferrari Pinin เป็นครั้งแรกที่โลกได้พบกับ Ferrai ในตัวถัง 4 ประตู และถูกตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้กับผู้ก่อตั้ง Mr. Battista ‘Pinin’ Farina ดีไซน์เนอร์ผู้ออกแบบ Ferrari
ช่วงเวลาแห่งความดุเดือดในโลกแห่งความเร็ว หลัง McLaren พึ่งจะเปิดตัว W1 ออกมาได้ไม่นาน ด้าน Porsche ก็เตรียมเปิดตัว hypercar รุ่นใหม่เร็ว ๆ นี้ ฝั่ง Ferrari ก็ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ออกมาในชื่อ F80 เป็น flagship ที่จะมาสานต่อตำนานความยิ่งใหญ่ของ LaFerrari ด้วยขุมพลัง 3.0-liter V6 turbocharge Hybrid 900 แรงม้าจากเครื่องยนต์ พ่วงพลังงานจาก Tri-motor AWD ให้กำลังรวมเกือบ 1,200 แรงม้า เคลมตำแหน่ง “The Most Powerful Ferrari” ที่เคยผลิตออกจากโรงงานจนถึงวันนี้ สามารถทำความเร็วถึง 100 km/h ได้ภายใน 2.15 วินาที และถึง 200 km/h ใน 5.75 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุด 350 km/h
Aston Martin DB12 Goldfinger Edition ฉลองครบรอบ 60 ปี ให้กับสายลับ 007 Goldfinger ด้วยแรงบันดาลใจจาก iconic DB5 ที่ขับโดย Sean Connery ในปี 1964 ซึ่งเป็นครั้งแรกในซีรีส์ James Bond ที่ได้ขับ Aston Martin ในภาพยนตร์ รถคันนี้ถูกสร้างแบบ special edition บนโมเดล 2023 DB12 ผลงานการตกแต่งเป็นพิเศษโดยแผนก “built by Q” limited production จำนวน 60 คัน ด้านขุมพลังของ Aston Martin DB12 Goldfinger Edition ยังคงใช้สเปกเดิม เครื่องยนต์ 4.0-liter twin-turbo V8 ให้กำลัง 671 hp
เพราะมนุษย์เกิดมาเพื่อมีชีวิตร่วมกันเป็นสังคม ไม่แปลกที่หลายครั้งเราเห็นการใช้ชีวิตของคนอื่น แล้วอดย้อนมามองดูตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะการทำงานที่ทำร่วมกันเป็นทีม แผนก หรือองค์กร ที่เราจะได้เห็นผลงาน เห็นความคืบหน้าของเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ยิ่งช่วงหลัง Covid-19 และในสภาพเศรษฐกิจที่มีแต่ข่าวร้ายทุกวัน หลายคนต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเข็นโปรเจกต์ออกมาขาย เพื่อทลายขีดจำกัดการทำงานเดิม ๆ เราจึงยิ่งได้เห็นคนทำงานไปไกลกว่าศักยภาพเดิม ๆ ของพวกเขาอยู่ตลอด แต่ยิ่งเป็นแบบนั้น หลายคนก็ยิ่งหดหู่ เพราะในขณะที่เราเห็นผลงานใครต่อใครก้าวไปข้างหน้า แต่ทำไมเรายังดูเหมือนว่าไม่ได้ขยับไปไหน? แล้วในวันที่เราเหมือนย่ำอยู่กับที่ แต่ทุกคนกำลังไปได้ดี เราจะต้องทำอย่างไร? หยุดเปรียบเทียบอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องมาวิเคราะห์ดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเราทำอะไรได้บ้าง? “วิเคราะห์และประเมิน” เพราะสิ่งที่รู้สึก อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง กุญแจสำคัญของการก้าวข้ามการเปรียบเทียบ (และรู้สึกน้อยอกน้อยใจ) ไปได้ ไม่ใช่แค่การอยู่ ๆ ก็บอกตัวเองว่า เฮ้ย เราแย่ เราทำงานน้อย เราทำงานไม่ดี แล้วก็ตะบี้ตะบันโหมงานหนัก หรือทำตามคนอื่น ๆ เพื่อให้ทันเขา แต่เป็นการที่เราต้องรู้จักวิเคราะห์และประเมินสิ่งที่เรากำลังทำ ถ้าเรารู้สึกว่า โห คนรอบตัวเรา ทุกคนทำมากกว่าเราทั้งนั้น นั่นอาจเป็นสิ่งที่เรารู้สึกแต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไป เพราะมันไม่ได้มีมาตรวัดการทำงานที่ใช้วัดกับทุกคนได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราสามารถประเมินและวิเคราะห์วิธีทำงานของตัวเราเองได้ ลองนึกภาพตัวเราเองนั่งอยู่ในห้องประชุมที่กำลังระดมไอเดียใหม่อย่างดุเดือด กระบวนการนี้กินเวลาทั้งวัน แต่ในช่วงเช้าระหว่างที่เรากำลังนั่งเงียบฟังอยู่นั้น
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสโซเชียลที่เชี่ยวกรากไปด้วยไวรัลต่าง ๆ ซึ่งผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาจับจองพื้นที่หัวข้อสนทนาของพวกเราในแต่ละมื้อแต่ละเดย์แบบไม่ให้ได้ว่างเว้น เราเชื่อว่าหนึ่งในเรื่องราวเหล่านั้นต้องมี Bar B GON ‘Oh My GON’ Collection เซ็ตฟิกเกอร์จี๊ดใจจาก Bar B Q Plaza ปักหมุดอยู่ในพื้นที่ความสนใจของใครหลายคนอย่างแน่นอน ยืนยันการคาดคะเนนี้ได้จากกระแสตอบรับเข้าขั้นถล่มทลาย เลื่อนฟีดไปไหนเป็นต้องเจอ ‘คนอวดของ’ โชว์ภาพฟิกเกอร์ Bar B GON ที่ตามล่ามาได้ด้วยความอุตสาหะ หลายคนถึงกับต้องโดดงานไปจัดเซ็ตอาหาร Oh My Pork! และ Oh My Beef! เพื่อให้ได้ครอบครองฟิกเกอร์พี่ก้อนก่อนที่ของจะหมดเกลี้ยงสาขา วันนี้เราจึงอยากจะขอล้วงลึกเบื้องหลังความปังของแคมเปญนี้ จากปากของ ‘รัฐ ตระกูลไทย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ด้านการตลาดของ Bar B Q Plaza ที่เคยปลุกปั้นโปรเจกต์เจ๋ง ๆ มาแล้วมากมายตลอด 10 ปี ที่ร่วมงานกับ บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กับความสงสัยที่ว่า
ประสบการณ์ที่เลวร้ายมักทำให้หลายคนเกิดอาการคิดมากจนเกินไปอยู่เสมอ เช่น บางคนไม่กล้าเปลี่ยนงานใหม่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะหางานไม่ได้ หรือ ไม่เจองานที่ดีกว่า หรือ บางคนอาจเครียดเรื่องการเรียน เพราะกลัวว่าผลการศึกษาที่ไม่ดีจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแรงงานที่ไร้คุณค่า เป็นต้น เรามักเรียกความกังวลที่เกิดขึ้นว่าเป็น Catastrophizing และถ้าเราไม่รู้จักวิธีการป้องกัน อาจทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้ ความหมายของ Catastrophizing Catastrophizing คือ การจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เลวร้าย และเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน โดยคนที่มีอาการนี้มักมองโลกในแง่ลบ และมองเห็นปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั่นหนักหนาสาหัสเกินความเป็นจริง จนพวกเขารู้สึกสิ้นหวังและตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขากังวลกับการสอบตก พวกเขาจะคิดว่า การสอบตกทำให้ตัวเองกลายเป็นนักศึกษาที่ไม่ดี เรียนไม่จบ หรือ ไม่ได้รับใบปริญญา และไม่มีใครรับเข้าทำงาน สุดท้ายพวกเขาจึงด่วนสรุปไปเองว่า การสอบตกจะทำให้พวกเขาไม่มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งในเป็นความจริง คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากก็เรียนหนังสือไม่จบ หรือ เคยสอบตกมาก่อน แต่คนที่ Catastrophizing มักไม่คิดถึงเรื่องนี้ และหมกหมุ่นกับความคิดอันเลวร้ายของตัวเองเป็นตุเป็นตะ จนได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างแสนสาหัส ยังไม่มีใครตอบได้ว่า Catastrophizing เกิดขึ้นได้อะไร แต่หลายคนคาดว่ามันเกิดขึ้นได้หลากสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ได้รับข้อความที่มีความหมายกำกวมจนเราเกิดอาการคิดไปไกล เราให้ความสำคัญกับอะไรมากเกินไปจนคิดมาก หรือ เรากลัวอะไรบางอย่างมาเกินไป จนเรายิ่งคิดถึงผลลัพธ์แย่ ๆ ที่จะได้รับจากมัน
เวลาทำงานเราจำเป็นต้องพูดคุยกับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน บอส หรือ ลูกค้า ทักษะในการสื่อสารที่ดีจึงสำคัญต่อการทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างมาก เพราะถ้าเราคุยกับคนอื่นได้ไม่ดี เราอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและประสบกับความล้มเหลวในการทำงานได้ UNLOCKMEN เลยอยากจะแนะนำ 5 ประโยคที่ไม่ควรพูดในที่ทำงาน โดยหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น “เราทำแบบนี้มาตลอด” แม้คุณจะเป็นฝ่ายถูก แต่การพูดแบบนี้มักทำให้หัวหน้ารู้สึกว่า “คุณไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แย่ของคนทำงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงสามารถนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่องค์กร ดังนั้นจงจำไว้ว่า สิ่งที่ทำมาตลอดไม่ใช่ว่ามันจะดีที่สุดเสมอไป บางสิ่งมันก็ควรเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เช่น การเปลี่ยนจากทำงานบนกระดาษมาเป็นทำงานเอกสารบนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตแทน แทนที่เราจะพูดแบบนั้น เราควรถามฝ่ายตรงข้ามกลับไปว่า “อะไร คือ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการลองวิธีใหม่” ถ้าวิธีการทำงานแบบใหม่ดีกว่าวิธีเก่าจริง พวกเขาก็ควรบอกได้ว่าทำไมมันถึงดีกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้ดีกว่าเลย คุณก็ควรบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรใช้วิธีเก่ากันต่อไป “ผมจะลองดู” ถ้าเราใช้คำว่า “จะลองดู” หรือ “จะพยายามทำดู” นั่นหมายความว่า คุณไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูง ซึ่งความไม่มั่นใจและความกลัวไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานเลย การทำให้หัวหน้าของคุณรู้สึกแบบนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวคุณเช่นกัน ดังนั้น แทนที่คุณจะพูดว่า “จะลองดู” ให้พูดว่า “จะทำให้อย่างสุดความสามารถดูครับ แล้วเดี๋ยวผมจะสรุปมาให้ว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรเพื่อปรับปรุงได้บ้าง” แทน ซึ่งเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพมากกว่า “ขอโทษครับ แต่….” เวลาที่คุณรู้สึกผิดกับความผิดพลาดของตัวเอง คำว่า
“โฆษณา” เป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ทุกที่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเราจะมองไปที่ไหนก็ตาม ถึงแม้ว่า “โฆษณา” จะเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม หรือรำคาญจนจ้องจะกดข้ามมันไปภายในเสี้ยววินาที แต่สำหรับบางคน โฆษณาคือสิ่งมหัศจรรย์ที่เขาหลงใหลและมองเห็นคุณค่าของมัน จนวันนึงเขาสามารถที่จะเปลี่ยนโฆษณาให้กลายเป็น Content ทำธุรกิจจนประสบความสำเร็จอย่างสวยงามได้ ซึ่งคุณเองก็สามารถเปลี่ยนความคลั่งอะไรบางอย่างให้กลายเป็นธุรกิจได้เช่นกัน วันนี้เราจะพาทุกคนเข้าไปในโลกของคนคลั่งโฆษณา “เพิท พงษ์ปิติ ผาสุขยืด” จาก Ad Addict สื่อออนไลน์ด้านโฆษณาและการตลาด ‘เพราะทุกสิ่งในโลก ล้วนเป็นโฆษณา’ และหาวิธีทำให้คนอื่น ๆ ได้เห็นมุมมองดี ๆ ของมัน ใช้ชีวิตอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข มาดูกันว่าคนคลั่งโฆษณาอย่างคุณเพิท สร้างรายได้จากโฆษณาได้อย่างไร มีคำแนะนำอะไรสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจจากความคลั่งของตัวเองบ้าง จากตัวแทนแข่งแผนการตลาดสมัยมหาวิทยาลัย กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเพิทคลั่งไคล้โฆษณา สู่การเป็น Founder ของเพจ Ad Addict ที่กำลังไปได้ดีมาก น่าจะคล้ายกับความฝันของคนรุ่นใหม่หลายคน ที่อยากจะทำงานหาเงินบนสิ่งที่ตัวเองคลั่งไคล้บ้าง “ทำไมมาอินกับโฆษณา? จุดเริ่มต้นต้องย้อนกลับไปสมัยมหาวิทยาลัย เราเรียนอยู่คณะการตลาด มันจะมีกิจกรรมนึงที่อาจารย์ให้จับกลุ่มกับเพื่อนเพื่อไปแข่งประชันแผนการตลาด ช่วงนั้นเราชอบแข่งแผนพวกนี้ เราจึงได้รู้จักเอเจนซี่โฆษณา แล้วได้ไปฝึกงานที่หนึ่งจนเหมือนกับได้เปิดโลก” “เรารู้สึกว่าโฆษณามันเป็นพลังอันหนึ่งที่สุดยอดมากนะ มันเปลี่ยนแปลงการกระทำของคน เปลี่ยนแปลงความคิด ความเชื่อ ความรู้สึก หลาย ๆ
เมื่อเราพูดถึงสมุนไพรสายเขียวในปี 2023 ซึ่งเปิดกว้างมากในประเทศไทย เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่พูดกันถึงนักเพาะปลูกหรือที่ทั่วโลกต่างเรียกพวกเขาว่า Grower อาชีพอันทรงเกียรติ เป็นที่ต้องการของตลาด และมีรายได้สูงมาก (ในต่างประเทศ) แต่ประเทศไทยยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก ด้วยความหลงไหลในพืชใบแฉกปนกับความสงสัยซึ่งมาพร้อมกับคำถามสำคัญว่า “เราจะปลูกพืชชนิดนี้ด้วยตัวเองกันไปทำไมในวันที่สามารถหาซื้อได้ง่ายดาย” คอลัมน์ Man Up ประจำเดือนเมษายน UNLOCKMEN จึงชวน ‘เตอร์’ หรือที่ในวงการรู้จักเด็กหนุ่มวัย 26 คนนี้ดีในชื่อ ‘พี่หมีแห่ง GrowStuff’ เปิด Private Workshop ที่ให้ Exclusive Group ของเราเข้าคลาสเรียนวิชา Grower 101 กันแบบใกล้ชิด รู้ทุกสิ่งที่ควรรู้เบื้องต้น ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลิตผล พร้อมเปิดมุมมองว่าจริง ๆ แล้วพืชชนิดนี้คือศิลปะที่ล้ำลึกมากกว่าแค่เพื่อเก็ทไฮน์ ทำความรู้จัก GrowStuff กันก่อน (ฉบับย่อ) GrowStuff Shop คือร้านขายอุปกรณ์การเกษตรโดยเน้นที่สมุนไพรใบแฉกเป็นหลัก (ภายใต้ชื่อบริษัท GrowStuff Supply and Service) ซึ่งอย่างที่รู้กันว่ามี ‘เตอร์-ฉัตรทอง ริมทอง’ เป็น
ทำยังไงถึงจะเกษียณก่อนอายุ 40 ได้? วันนี้ UNLOCKMEN มีคำตอบมาฝากครับ ในยุคปัจจุบันเป็นยุคที่คนรุ่นใหม่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันถึงการเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้มีชีวิตที่เป็นอิสระ ออกไปเที่ยว ไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการได้ ฟังดูเหมือนจะเป็นความฝันที่ห่างไกลความเป็นจริงใช่ไหมครับ แต่!…ในตอนนี้แนวคิดนี้ได้เกิดขึ้นจริง ๆ แล้วในหมู่วัยรุ่นชาวตะวันตก ที่วางแผนเกษียณก่อนวัย 40! ด้วยแนวคิด “FIRE MOVEMENT” “FIRE MOVEMENT” มาจากคำว่า FI : Financial Independence และ RE : Retire Early ใช้นิยามถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากจะมีอิสรภาพทางการเงิน มีชีวิตที่เป็นอิสระเร็วกว่าคนปกติ หรือเกษียณอายุในช่วงอายุ 30 – 40 ปี นั่นเองครับ นั่นแปลว่าพวกเขาก็ต้องวางแผนทางการเงินอย่างเข้มข้น จริงจังกว่าคนทั่วไปด้วยเช่นกัน นั่นคือ ‘การเก็บออม’ และ ‘การลงทุน’ โดยมีเป้าหมายในการเก็บออมให้ได้ 50% – 80% ของรายได้ และสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีขนาดประมาณ 25 เท่าของรายได้ในแต่ละปี
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘Influencer’ เราคงเผลอผูกโยงความหมายเข้ากับการตลาดออนไลน์ เน็ตไอดอล การมีผู้ติดตามจำนวนมาก มียอดไลก์ ยอดแชร์มหาศาล แต่พ้นไปจากความหมายของการมีผู้ติดตามออนไลน์จำนวนมาก ๆ Influencer อาจหมายความถึงการที่เราเป็นผู้มีอิทธิพลต่อคนอื่นมากกว่าที่คิด (หยุดก่อน เราไม่ได้หมายความถึงผู้มีอิทธิพลจำพวกมาเฟีย วายร้าย เจ้าพ่อด้วยเช่นกัน) แต่ถ้าสังเกตดี ๆ ในองค์กร หรือในทีม จะมีสักคนที่แม้ไม่ได้ตำแหน่งใหญ่โตอะไร แต่พูดอะไรใครก็พร้อมคล้อยตาม ทำงานอะไรคนก็ยินดีอาสาช่วยเหลือ มีคุณสมบัติของการเป็นผู้มีอิทธิพลต่อความรู้สึกคนรอบข้าง โดยที่ใครคนนั้นไม่จำเป็นต้องมียอดผู้ติดตามล้นหลาม แต่มีสัญญาณบางอย่างที่เราอยากให้คุณลองสังเกตตัวเอง (และเพื่อนร่วมองค์กร) เพราะเราอาจเป็นหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลต่อใคร ๆ โดยไม่รู้ตัวมาก่อน สัญญาณสำคัญสัญญาณหนึ่งที่ชี้ว่าในองค์กรนี้ ทีมนี้ หรือสภาพแวดล้อมนี้คุณมีอิทธิพลต่อคนรอบข้างมากคือการที่คุณคือจุดศูนย์รวมข้อมูล คุณรู้ว่าหัวหน้ากำลังเพ่งเล็งการทำงานของใคร คุณเข้าใจว่าทีมบริหารกำลังต้องการสื่อสารกับทีมมาร์เก็ตติง หรือรายละเอียดอื่น ๆ เช่น ใครกำลังแอบชอบใคร แต่การเป็นจุดศูนย์กลางข้อมูล เป็นคนละเรื่องกับการตั้งตัวเป็นหัวหอกล้อมวงนินทาคนอื่น โดยการนินทาอาจเป็นการพูดต่อ ๆ กันไปในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง หรือยังไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่ไม่ว่าใครทำอะไร ข้อมูลเหล่านั้นมักมาถึงมือคุณก่อนเสมอ นั่นคือสัญญาณสำคัญของการเป็นผู้มีอิทธิพล เพราะหมายความว่าคนในเครือข่ายสังคมที่อยู่วางใจ หรือเชื่อใจว่าการที่ให้ข้อมูลกับคุณไป คุณจะสามารถนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเพื่อช่วยเหลือคนอื่นได้ Georgia Institute of Technology
“ถ้าเขาคือพนักงาน จะเป็นพนักงานร่างทอง นี่คือ 6 เหตุผลที่ทุกบริษัท อยากได้คนทำงานอย่าง Casemiro มาร่วมทีม” ฟอร์มกำลังร้อนแรงจริง ๆ สำหรับทัพปีศาจแดง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” โดยเฉพาะนัดล่าสุดที่เพิ่งล้มทีมเรือใบสีฟ้า “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 เป็นการล้างแค้นหลังจากที่แพ้ในนัดแรกได้อย่างสวยงาม อีกทั้งยังส่งผลให้ทีมเก็บชัยชนะมา 7 นัดติดต่อกันแล้วในศึกพรีเมียร์ลีก และสามารถทำคะแนนขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 4 อยู่ที่ 38 คะแนน และทำคะแนนจี้แมนซิตี้ อันดับ 2 อยู่ที่ 1 คะแนนเท่านั้น ต้องยอมรับว่าผลงานของทีมแมนยูไนเต็ด ดูดีผิดหูผิดตานับตั้งแต่การเข้ามาคุมทีมของ Erik Ten Hag กุนซือชาวดัตช์ที่เข้ามาเซตระบบภายในใหม่ จนทุกอย่างลงตัวแบบที่ไม่ได้เห็นในทีมมานานหลายปี อีกทั้งยังช่วยปลุกทีมเวิร์ก ปลุกฟอร์มนักเตะหลายคนที่เคยออกทะเลให้กลับมาเป็นร่างทองอีกครั้งด้วยเช่นกัน รวมไปถึงการเลือกซื้อตัวนักเตะก็เป็นไปในแนวทางที่ชาญฉลาด เพราะแต่ละคนที่ย้ายเข้ามาล้วนแต่ทำงานได้เป็นอย่างดี รู้สึกคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ที่ลงทุนไป ซึ่งหนึ่งในดีลที่ประทับใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “Casemiro” มิดฟิลด์พันธุ์แกร่งเลือดแซมบ้า ฝีเท้าขั้นเวิร์ลคลาส ที่ย้ายมาจากสโมสรเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 70 ล้านปอนด์ แม้ในช่วงปรับตัวอาจจะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่หลังจากตั้งหลักได้