Mercedes-Benz ต่างกับ Mercedes-AMG ยังไง ก่อนหน้านี้อาจจะมีบางท่านที่ไม่ทราบความเป็นมาของการควบรวมแบรนด์ระหว่าง Mercedes-Benz และ AMG จนได้ออกมาเป็นสุดยอดรถยนต์สมรรถนะเยี่ยมเต็มเปี่ยมด้วย DNA จากสนามแข่งออกมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งถ้าใครอยากรู้ข้อมูลแบบเจาะลึกก็สามารถเข้าไปดูกันได้ที่ History of Mercedes-Benz and AMG สำหรับในบทความนี้ เป็นอีกครั้งที่เราจะมาตอบคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยว่า รถที่เป็น Mercedes-AMG แท้ ๆ ดูยังไง แล้ว Mercedes-Benz ที่เป็น AMG Line ล่ะมันใช่ Mercedes-AMG หรือไม่ โดยการเทียบความแตกต่างที่ระหว่าง Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium กับ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ จิตวิญญาณรถแข่งแท้ ๆ completed จากโรงงาน AMG Line คือการติดตั้งชุดแต่งทั้งภายนอกและภายในที่ผ่านการออกแบบมาเพิ่มอารมณ์สปอร์ตให้กับรถยนต์ Mercedes-Benz ซึ่งมักจะเป็นรุ่นท็อปสุดในโมเดลนั้น ๆ ภาพลักษณ์ที่ดูดุดันขึ้นจากชุดแต่งรอบคัน
ถ้าพูดถึงแบรนด์รถยนต์หรูอย่าง Mercedes-Benz น่าจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นรถในฝันของมนุษย์ทุกคน ด้วยรูปลักษณ์การออกแบบที่น่าหลงใหล สมรรถนะ เทคโนโลยี และความปลอดภัยที่เหนือกว่าใคร เป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีความน่าเชื่อถือด้านวิศวกรรมระดับโลกจากประเทศเยอรมนี สะท้อนรสนิยมความมีระดับ ความสำเร็จของคนคนนั้นได้อีกด้วย หลายคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่านอกจาก Mercedes-Benz รุ่นรหัสปกติ มันยังมีความพิเศษที่เหนือกว่าภายใต้ชื่อรหัส ‘AMG’ อยู่ด้วย ซึ่งเป็นรหัสที่หลายคนคุ้นเคยปนสับสน ระหว่าง Mercedes-Benz AMG line ที่เน้นการตกแต่งเพิ่มอารมณ์สปอร์ต เช่น C 220 d AMG Dynamic และ Mercedes-AMG Car รถที่ผ่านการปรับจูนสมรรถนะจากนวัตกรรม Race Cars ซึ่งจะแตกต่างตั้งแต่เครื่องยนต์ สมรรถนะ ช่วงล่าง และการตกแต่งทั้งภายนอกภายใน เช่น Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 245 แรงม้า
พึ่งจะเข้าสู่ปี 2021 ได้ไม่กี่วัน โลกก็ได้พบกับ Hypercar คันแรกของปีนี้เป็นที่เรียบร้อย หลังแง้มให้เห็นภาพพรางตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วันนี้ถึงเวลางามยามดี เผยโฉมให้เห็นกันเต็ม ๆ คันได้สักทีกับ Toyota Gazoo Racing GR010 Hybrid Hypercar ที่สร้างขึ้นมาเพื่อ 2 จุดประสงค์ หนึ่งคือการเข้าแข่งขันรายการ Le Mans และสองคือใช้เป็นต้นแบบเพื่อผลิต GR Supersport เวอร์ชั่นขายจริงที่คุณก็สามารถครอบครองได้ ถือเป็นการแสดงจุดยืนที่จะพัฒนารถยนต์ให้แรงขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดของ Toyota และทีม Gazoo Racing ผลงานระดับ Le Mans Hypercar class ที่เกิดขึ้นเพื่อลงแข่งรายการ 2021 FIA World Endurance Championship (WEC) เครื่องยนต์ 3.5-litre twin-turbo V6 ที่จูนได้แรงม้าสูงสุด 671 แรงม้า ส่งไปที่ล้อหลัง ตัวเลขที่ถูกล็อคด้วยกฎการแข่งขันของ FIA ที่ให้พละกำลังสูงสุด
หากจะให้พูดถึงบิ๊กสกู้ตเตอร์ยอดนิยมในเมืองไทย ชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้น FORZA จากจักรยานยนต์ฮอนด้า นับตั้งแต่การเปิดตัว FORZA 300 เมื่อปี 2556 นับเวลารวมกว่า 8 ปี ที่ FORZA ได้เบิกฤกษ์เปิดตลาดสกู้ตเตอร์ขนาดใหญ่ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเสมอมา จนมาถึงโมเดลล่าสุดอย่าง All-New FORZA 350 ก็ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง คว้าตำแหน่งยอดจองสูงสุดจากงาน Motor Show 2020 ที่ผ่านมา แต่ต้องบอกว่าความพิเศษนั้นยังไม่ได้หยุดแค่ความแรงจากเครื่องยนต์ใหม่, ดีไซน์ใหม่ หรือฟีเจอร์มากมายที่อัดแน่น แต่ทางจักรยานยนต์ฮอนด้ายังได้ส่ง Honda FORZA 350 Roadsync Edition รุ่นที่อัพเกรดความสามารถล้ำ ๆ ซึ่งตอบโจทย์สิงห์มอเตอร์ไซค์ยุค 5G ให้ขับขี่ปลอดภัยสะดวกสบายไม่พลาดทุกการสื่อสารอย่างแท้จริง ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า Honda FORZA 350 Roadsync Edition นั้นได้พัฒนาขึ้นจากพื้นฐานความสดใหม่ของ All-New FORZA 350 มาครบทุกคุณสมบัติหลักของ All-New FORZA 350 ซึ่งยกเครื่องใหม่จาก FORZA
เผลอแป๊ปเดียว เวลาก็ผ่านไป 25 ปีแล้ว จากวันที่ Porsche เผยโฉมรถ 2 ที่นั่ง เครื่องวางกลาง ตัวถังเปิดประทุน ใน 986 Boxster เป็นครั้งแรก และเป็นสูตรสำเร็จสำหรับรถตัวถัง Mid-engine, 2-seater มาโดยตลอด โดยมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดต่าง ๆ ตามยุคสมัย และเพื่อฉลองให้กับโอกาสพิเศษนี้ Porsche ได้นำ 718 Boxster มาตกแต่ง styling package “Boxster 25” Limited Edition ตัวถังของ Porsche 718 Boxster 25 มาในสี GT Silver Metallic เป็นสีแแนะนำ มีจุดเด่นที่การใช้สีพิเศษ Neodyme (นีโอไดเมียม) เป็นสีเงินมันวาวที่เมื่อกระทบแสงจะดูคล้ายสีทองแดง ตกแต่งบริเวณช่องดักอากาศกันชนหน้า ช่องดักอากาศด้านข้าง และบนล้อแม็กซ์ขนาด 20 นิ้วลายใหม่ ตัดกับหลังคาผ้าใบและเบาะหนังสีแดง Bordeaux
Arturo Magni คือคนสำคัญที่ช่วยสร้าง MV Agusta ให้โลดแล่นบนเส้นทาง Motorsport ด้วยความเป็นอัจฉริยะในด้านวิศวกรรมตั้งแต่เด็ก ความหลงใหลในอากาศยานของเขาถูกนำมาปรับใช้ในการออกแบบ 1966’s ‘Threes” MV Agusta 500 Three ที่ใช้ในการแข่งขัน Grand Prix (GP) Motorcycle Racing จนทำลายสถิติคว้าแชมป์ World Championship มาครองได้สำเร็จ ตลอดเวลาที่ Magni อยู่ในตำแหน่ง Direttore Sportivo (Director of the Racing Department) ช่วยให้ MV Agusta คว้าแชมป์ได้มากถึง 75 ครั้ง เป็นสถิติที่ยากจะหาใครมาทำลายได้ แต่ความท้าทายของ Magni ยังไม่จบลงแค่นั้น เขาตัดสินใจออกมาสร้างมอเตอร์ไซค์ของตัวเองบ้าง โดยใช้ชื่อสกุลของเขาว่า “Magni” ในปี 1977 Magni Motorcycle ยังคงใช้พื้นฐานจาก MV
ในวงการแต่งรถ ทั่วทั้งโลกต้องรู้จักและยอมรับฝีมือของ 3 จตุรเทพจากประเทศญี่ปุ่น หนึ่งคือ Nakai-san แห่งสำนัก RWB ผู้เชี่ยวชาญด้าน air-cooled Porsche สองคือ Kato-san แห่งสำนัก LB-Performance หรือ Liberty Walk เจ้าแห่งสไตล์ Wide body และสามคือ Kei Miura-san ผู้ออกแบบ Rocket Bunny หรือ Pandem หนึ่งในสินค้าภายใต้บริษัท T.R.A. Kyoto เจ้าแห่งการผสมผสานความ Classic ให้เข้ากับทุกดีไซน์ทันสมัยจากฝั่งญี่ปุ่นและตะวันตก ในสามจตุรเทพนี้ ดูเหมือน Kei Miura จะเป็นคนที่ติสท์ พูดน้อยที่สุด ออกสื่อน้อยที่สุด เรื่องราวส่วนตัวของเค้าเป็นสิ่งที่หาได้ยากแม้กระทั่งในโลกออนไลน์ปี 2021 ติสท์กระทั่งที่มาของโลโก้ Rocket Bunny ยังไม่ค่อยจะตรงกันซะทีเดียว บ้างก็ว่ามาจากแก้วกาแฟทรงกระต่างที่เขาใช้ดื่มบ่อย ๆ บ้างก็ว่ามาจากการทำมือสัญลักษณ์ Ok เริ่มต้นจากการแต่งรถ Honda
การได้ครอบครอง Porsche 911 น่าจะเป็นความฝันของใครหลายคน แต่สำหรับคนเล่น Porsche สายลึกตัวจริง ความฝันขั้นกว่าคือการได้มอบ 911 ให้ Akira Nakai บินมาตัดบอดี้ชิ้นส่วนรถ 911 ราคาหลายล้านของคุณ เพื่อแต่งให้เป็น RWB (Rauh-Welt Begriff) ชื่อที่คนในวงการรู้กันทันทีว่าหมายถึง Porsche Wide Body ที่มากับซุ้มล้อขนาดใหญ่ ดึงดูดสายตาทุกคนรอบข้างมันให้จดจ่อจนไม่กล้าละสายตาไปไหน ไม่ใช่เฉพาะในญี่ปุ่นหรือเอเชีย แต่เรากำลังพูดถึงกลุ่มศาสนาย่อย ๆ ที่คนทั้งโลกต่างเฝ้ารอการสร้างสรรค์ผลงานแบบ One-Off ที่ไม่มีใครทำแทนได้ นอกจากตัว Nakai-san เท่านั้น Akira Nakai หรือที่หลายคนเรียกกันอย่างเป็นกันเองว่า Nakai-san ผู้ชายมาดเท่ ที่มีภาพจำเป็นควันบุหรี่ล้อมรอบตัวตลอดเวลา มือนึงถือขวดเบียร์ Stella Artois ที่เจ้าตัวชื่นชอบ ในขณะที่อีกมือวาดอากาศราวกับกำลังออกแบบอะไรบางอยู่อยู่ตลอดเวลา ทรงผมที่ยุ่งเหยิงสะท้อนคาแรคเตอร์ความทำงานด้วยสองมือของตัวเอง เราแทบไม่เคยเห็นภาพ Nakai-san ทำงานผ่านผู้ช่วยหรือลูกน้องในขณะที่เจ้าตัวนั่งสั่งงานเหมือนคนอื่นเลย จุดเริ่มต้นของ RWB (Rauh-Welt Begriff) คงไม่แตกต่างจากสำนักแต่งรถอื่น ๆ
หนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่มีระบบ Infotainment ล้ำสมัยและดีไซน์ล้ำสุด ๆ น่าจะต้องยกให้ “Mercedes-Benz User Experience (MBUX) infotainment technology” ของ Mercedes-Benz การออกแบบที่สร้างความรู้สึกหรูหราอลังการ เช่น จอแสดงผล infotainment ขนาด 12.8 นิ้วแบบ touchscreen บริเวณกลางคอนโซล หรือจอขนาด Digital gauge cluster ขนาด 12.3 นิ้ว ที่แสดงข้อมูลสำคัญให้ผู้ขับขี่เห็นได้อย่างชัดเจนในรถยนต์ Generation ปัจจุบัน ซึ่งยากจะหาใครมาเทียบ และสำหรับรถยนต์ตระกูล EQS generation ใหม่แห่งอนาคตของ Mercedes-Benz ได้มีการอัพเกรดระบบ MBUX ที่นวัตกรรมล้ำยิ่งกว่า ด้วย MBUX Hyperscreen 56-inch infotainment technology จอขนาดใหญ่ที่โค้งมนสวยงาม แสดงผลคมจัดชัดเจน กินพื้นที่ทั้งคอนโซลตั้งแต่ซ้ายจรดขวาสุดของเสา A-pillar ตั้งแต่คนขับรถไปจนถึงผู้โดยสาร Hyperscreen แบบ OLED
ถึงแม้ว่าแรงกดดัน เช่น เวลาในการทำงานที่จำกัด จะช่วยให้เราเกิดความโปรดักทีฟมากขึ้นได้ แต่ในทางกลับกัน มันก็อาจทำให้เราเกิดอาการแพนิค และทำงานแย่ลงได้เหมือนกัน เพราะเวลาเรากลัวว่าตัวเองจะทำงานไม่ทัน เรามักรีบคิดและรีบปั่นงานให้เสร็จโดยไว ผลสุดท้าย งานที่ออกมาอาจไม่ได้รับการตรวจที่ถี่ถ้วนมากพอ จนมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เมื่อแรงกดดันเป็นเหมือนกับดาบสองคม มีทั้งข้อดีข้อเสีย เราเลยจำเป็นต้องรับมือกับมันให้ได้อย่างดี บทความนี้ UNLOCKMEN จึงนำเทคนิคดี ๆ มาฝากทุกคนกัน ซึ่งถ้ารู้แล้ว เราจะทำงานภายใต้ความกดดันได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน ตั้งสติก่อนสตาร์ท !!! เวลาเราทำงานในช่วงที่เดดไลน์ใกล้เข้ามาแล้วนั้น เรามักจะโคตรเครียด เสียสติ และไม่คิดหรือตรวจงานให้ดี สุดท้ายงานที่ออกมามันก็แย่ หากใครเจอกับอะไรแบบนี้ เราอยากให้ลองตั้งสติ และพยายามเปลี่ยนโฟกัสจากความเครียดความกังวล มาเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราดู ลองถามตัวเองว่าตอนนี้เรากำลังเห็นอะไร ? กำลังได้ยินอะไร ? เราหายใจเป็นยังไง ? แบบนี้จะช่วยให้เรารู้สึกถึงแรงกดดันน้อยลง มีสติมากขึ้น และแก้ปัญหาได้ดีกว่าด้วย มองย้อนกลับไปทบทวนความกดดันที่ผ่านมา ความกดดันมักเกิดขึ้นแบบเป็นแพทเทิร์น และเราอาจเจอกับแพทเทิร์นนั้นซ้ำ ๆ อยู่ก็ได้ ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้ประสบการณ์ความกดดันเหล่านั้นผ่านไปเฉย ๆ เราควรใช้เวลาในการเรียนรู้ และวิเคราะห์หาแพทเทิร์นของความกดดันจะดีกว่า เพราะมันจะช่วยให้เราหาแผนรับมือกับความกดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราพบว่า
ขึ้นชื่อว่าการเจรจาต่อรองแล้ว ไม่ว่าจะในเชิงธุรกิจที่ขับเคี่ยวกันดุเดือด หรือหน้าที่การงานที่ต้องสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เราทุกคนล้วนแต่ต้องการเจรจาต่อรอง แลกเปลี่ยนให้ผลที่ได้ออกมาพอใจร่วมกันทุกฝ่าย โดยปกติการเจรจาต่อรองก็ย่อมต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์ จะไปแบบมั่ว ๆ ไม่รู้อะไรเลยไม่ได้อยู่แล้ว แต่การเจรจาต่อรองที่ “เรามีอำนาจต่อรองน้อยกว่า” หรือรู้ทั้งรู้ว่าเราก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรไปแลกกับอีกฝ่ายมากนัก ยิ่งเป็นความท้าทายที่หลายคนเผลอถอดใจไปล่วงหน้า (ก็ดูรูปการณ์แล้ว ไม่น่าจะไปต่อรองอะไรกับเขาได้) แต่เราอยากชวนมาปลดล็อกความเข้าใจผิด ๆ เสียใหม่ อย่างน้อยก็ต้องลองสักตั้งก่อนถอดใจ แม้หลายการต่อรอง เราอาจเลี่ยงได้ แต่กับบางสถานการณ์คับขันตรงหน้าต่อให้รู้ว่าอำนาจน้อยกว่าก็ต้องกระโจนลงไปอยู่ดี ดังนั้นลองเอาวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ เพราะแม้จะไม่ได้มีอำนาจล้นมือ แต่ถ้ารู้เท่าทัน การเจรจาต่อรองให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการก็อาจไม่ยากอย่างที่คิด “ผลลัพธ์ที่ต้องการอาจไม่ได้มีแค่หนึ่ง” การเป็นฝ่ายเหนือกว่าในการเจรจาต่อรอง ไม่ว่าจะทางธุรกิจ หน้าที่การงาน หรือเรื่องไหน ๆ คือการที่เราสามารถพูดคุยไปถึงจุดที่ “เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ” หลายครั้งเมื่อเราดูมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า หรือไม่น่ามีอะไรไปแลกจนอีกฝั่งพึงพอใจได้ เราจึงมักคิดว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่เสมอ แต่จริง ๆ แล้ว การเจรจาเพื่อ “ได้ในสิ่งที่เราต้องการ” นั้นไม่ได้มีเพียงหนึ่งทาง การนึกถึงผลลัพธ์ในหลากหลายหนทาง หลาย ๆ วิธีไว้ล่วงหน้า ก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้เราเจรจาต่อรองได้ลื่นไหลมากขึ้น ถ้ามัวยึดอยู่แค่ว่าจะไปเอาผลลัพธ์นี้อยู่ผลลัพธ์เดียวและยึดติดกอดไว้ โดยไม่ทันนึกภาพผลลัพธ์อื่น ๆ ทันทีที่โดนอีกฝ่ายพลิกเกมไปทางที่เขาได้ประโยชน์ หรือเขาปฏิเสธทางที่เราเสนอไว้ เราจะตัน ไปต่อไม่ได้
ช่วยเหลือ ดูแลเอาใจใส่ ทำตามใจคนอื่นตลอดเวลา ฯลฯ นิสัยเหล่านี้อาจทำให้เราดูดีในสายตาคนอื่น แต่ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ เพราะอยากให้คนอื่นยอมรับในตัวเรา ชีวิตของเราอาจจะดิ่งลงหุบเหวได้เช่นกัน เพราะคนที่ชอบเอาอกใจคนอื่น เพื่อให้คนอื่นยอมรับในตัวเอง หรือ ‘people-pleaser’ มักไม่มีความสุข และมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง UNLOCKMEN เลยอยากจะมาพูดถึงลักษณะของ people-pleaser และวิธีการใส่ใจกับตัวเอง เพื่อให้ทุกคนสามารถเลิกเป็นคนที่ชอบเอาอกเอาใจคนอื่น และทำความต้องการของตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีความสุขในชีวิตมากขึ้นตามมา 10 ลักษณะของ people-pleaser ก่อนอื่นเราอยากพูดถึงลักษณะของคนที่เป็น people-pleaser ก่อน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น people-pleaser คือ คนที่โหยหาการยอมรับจากคนอื่น เลยต้องแสดงออกในเชิงที่เอาใจคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น พูดในสิ่งที่คนอื่นอยากได้ยิน ตอบรับคำเชิญไปงานปาร์ตี้ที่ไม่อยากไป รับงานที่ตัวเองก็ไม่ได้อยากทำ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ส่งผลให้ พวกเขาเลยมักไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต ไม่เป็นตัวของตัวเอง และถูกคนอื่นมองว่าไม่จริงใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณของ people-pleaser ได้แก่ ช่วยเหลือคนอื่น เพราะไม่อยากถูกมองว่าเห็นแก่ตัว หรือ อยากดูดีในสายตาพวกเขา ปากไม่ตรงกับใจ เห็นด้วยกับคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ในใจเห็นต่าง รู้สึกต้องรับผิดชอบกับความรู้สึกของคนอื่น
“สมาธิ” เป็นหนึ่งในสิ่งที่เรารักษาไว้ได้ยากที่สุด และหลายคนน่าจะเคยสมาธิหลุดโดยไม่ได้ตั้งใจบ่อย ซึ่งพอสมาธิหลุดแล้ว ผลที่ตามมาก็มักจะเป็นการทำงานต่อที่ยากขึ้น วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาแนะนำวิธีการรับมือและป้องกันอาการเสียสมาธิ เพื่อให้เราสามารถโฟกัสได้ตลอดทั้งวัน และจะช่วยให้เราสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ตลอดวัน เกิดอะไรขึ้นในสมองเวลาที่เราจดจ่อกับอะไรบางอย่าง ? ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ อธิบายไว้ว่า เวลาที่เราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สมองส่วนที่ถูกกระตุ้นจะเป็นสมองส่วน Prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเพ่งความสนใจไปยังสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยตั้งใจ อ้างอิงจากงานวิจัยของ Massachusetts Institute of Technology (MIT) การเพ่งความสนใจไปยังใบหน้า และสถานที่ที่อยู่รอบตัวเรา จะเกี่ยวข้องกับการทำงานของ Inferior frontal junction (IFJ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Prefrontal cortex และมีบทบาทในการควบคุมระบบการให้ความสนใจของสมอง และทำงานควบคู่ไปกับสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับรู้ความรู้สึก ประมวลผลใบหน้า และตีความเหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ ส่วนความสนใจแบบอัตโนมัติจะเกี่ยวข้องกับสมองส่วนที่เรียกว่า Parietal cortex ซึ่งจะทำงานในเวลาที่เราได้ยินเสียงดัง หรือ ถูกจู่โจมโดยสัตว์ร้าย สมองส่วนนี้จะปล่อยกระแสไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว เพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจแบบอัตโนมัติ ซึ่งกลไกนี้ทำให้ เราสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ว่ากันว่า สมองของเราสามารถโฟกัสได้นานถึง 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นต้องมีการพักสมองสัก
เราถูกสั่งสอนกันมาว่าการเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นเรื่องดี เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข แต่ทว่า ความเห็นอกเห็นใจ (compassion หรือ empathy) ก็เป็นเหมือนดาบสองคมที่ทำให้เราตกอยู่ในภาวะ Compassion Fatigue ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? และเราจะป้องกันมันได้อย่างไร? Unlockmen จะอธิบายให้ฟัง ภาวะเหนื่อยล้าจากการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (compassion fatigue) หรือ secondary traumatic stress (STS) คือ ความเครียด ความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจที่เกิดจากการเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากเกินไปจน ทำให้เราให้ความสำคัญกับตัวเองน้อยลง โดยสาเหตุของ compassion fatigue อาจเกิดจากการรับฟังเรื่องราวของคนที่มีบาดแผลทางจิตใจบ่อย ๆ เช่น คนที่เคยประสบอุบัติเหตุ หรือการสูญเสีย และรู้สึกว่าทำไมเราจึงช่วยเหลืออะไรคนเหล่านั้นไม่ได้เลย และพอความรู้สึกนั้นถูกเก็บสะสมความรู้สึกมาเรื่อย ๆ ก็เกิดความเหนื่อยล้าและความทุกข์ทรมานที่เรียกว่าเป็น compassion fatigue ตามมา แม้เมื่อก่อน ภาวะ compassion fatigue จะพบในกลุ่มคนที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วย เช่น พยาบาล (ซึ่ง Carla Joinson ได้นิยามคำว่า compassion
เคยต้องแก้โจทย์ที่มีความขัดแย้งกันไหม ? เช่น ต้องให้บริการสุขภาพที่ดีที่สุดในราคาที่ถูกที่สุด หรือ ต้องทำงานศิลปะที่ทีความหมายมากที่สุดและหารายได้ได้มากที่สุด เป็นต้น หลายงานวิจัยได้ชี้ว่า ปัญหาประเภทนี้อาจทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้นกว่าปกติ งานวิจัยเผยการคิดขัดแย้งอาจช่วยให้เรามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1996 อัลเบิร์ต โรเธนเบิร์ก (Albert Rothenberg) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้สัมภาษณ์ผู้ได้รับรางวัลโนเบลจำนวน 22 คน ควบคู่กับการวิเคราะห์ภูมิหลังของเหล่านักวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงโลกที่ได้ล่วงลับไปแล้ว เพื่อนำข้อมูลมาทำเป็นงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งผลการวิจัยของ โรเธนเบิร์ก พบว่า นักคิดที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้เสียเวลาจำนวนมากไปกับการสร้าง ‘ความคิดคู่ตรงข้าม’ หรือ ‘สิ่งที่ตรงกันข้ามกัน’ ยกตัวอย่างเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ก็เคยครุ่นคิดหาคำตอบว่า วัตถุจะสามารถเคลื่อนที่และหยุดนิ่งไปพร้อม ๆ กันขึ้นอยู่กับผู้สังเกตได้อย่างไร จนเป็นที่มาของทฤษฎีสัมพันธภาพ (Relativity Theory) อันโด่งดังของเขา โรเธนเบิร์ก ยังพบอีกว่า แม้แต่นักเขียนมากรางวัลก็มักมีบ่อเกิดความคิดสร้างสรรค์จากการครุ่นคิดถึงไอเดียที่ไม่มีความสอดคล้องกัน ยกตัวอย่างเช่น บทละครเรื่อง The Iceman Cometh ของ ยูจีน โอนิล (Eugene O’Neill)
หลายคนอาจดีใจเวลาเงินเดือนออก แต่สำหรับบางคนอาจไม่ได้มีความสุขกับวันเงินเดือนออกขนาดนั้น เพราะกำลังถือค่าใช้จ่ายสารพัด ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าหอพัก ค่าอาหาร แถมยังมีค่าเข้าสังคมต่างๆ อีก รู้ตัวอีกที ก็ไม่มีเงินเก็บไว้ทำอย่างอื่นแล้ว !! เราเข้าใจว่า ปัญหาเรื่องเงินบั่นทอนพลังกายและใจ และทำให้ทุกคนปวดหัวพอสมควร ในบทความนี้ UNLOCKMEN จึงอยากมาแชร์วิธีรับการมือกับ ความเครียดด้านการเงิน (Finanacial Stress) ที่ได้ผล และทุกคนสามารถทำตามได้อย่างดาย ปัญหาการเงิน ความเครียดของพวกเราทุกคน หลายคนพอได้ยินเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อาจรู้สึกดาวน์ เพราะกำลังเจอกับวิกฤตด้านการเงินอยู่ แถมพอลองเปิดกระเป๋าสตางค์ดู ก็ยิ่งเศร้าหนักขึ้นไปอีก เพราะไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดผ่านเดือนนี้ไปได้ ด้วยเงินจำนวนเท่าที่มีอยู่ได้อย่างไร สำหรับคนไทย เรื่องเงินเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ทุกคนเครียดมากที่สุดติดต่อกันหลายปี อ้างอิงจาก สวนดุสิตโพล ที่สำรวจคนไทยระหว่างวันที่ 16 -18 ก.ย. 63 พบว่า เรื่องที่คนไทยเครียดมากที่สุด คือ ของกินของใช้แพง รองลงมา คือ การทุจริตคอรัปชัน และโควิด 19 สอดคล้องกับเมื่อปีที่แล้ว
รู้สึกไหม เวลาเดินเข้าเซเว่นด้วยความหิว มักจะกลับออกมาด้วยของกินที่มากกว่าปกติเสมอ เรื่องนี้อาจอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งบอกเราว่า ความหิวส่งผลเสียต่อการตัดสินใจของเราอย่างมาก งานวิจัยชิ้นหนึ่ง (2019) จากมหาวิทยาลัยดันดี ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหิวและการตัดสิน ผ่านการสอบถามผู้เข้าร่วมการทดลองทั้ง 50 คน ด้วยคำถามที่ว่าพวกเขาจะรับรางวัลที่สมมติขึ้นมา (ได้แก่ อาหาร เงิน ดนตรี) ในทันที หรือ จะรอรับรางวัลในจำนวนที่มากขึ้นในอนาคต ทีมวิจัยได้ถามผู้เข้าร่วมการทดลองทั้งหมด 2 ครั้ง ได้แก่ ตอนที่ผู้เข้าร่วมการทดลองทานอาหารเป็นปกติ (อิ่ม) และตอนที่พวกเขาไม่ได้ทานอะไรเลย (หิว) และพบว่า ความหิวส่งผลให้เรามีความอดทนน้อยลง และตัดสินใจได้แย่ขึ้น โดย คนกินอิ่มสามารถรอรับอาหารปริมาณมากขึ้นได้นานถึง 35 วัน ขณะที่คนหิวรอได้เพียง 3 วัน และถ้าของรางวัลเป็นเงิน คนอิ่มรอได้ 90 วัน แต่คนหิวรอได้เพียง 40 วัน ส่วนดนตรี คนอิ่มรอได้ราว 40 วัน แต่คนหิวรอได้เพียง 12 วัน ถ้าถามว่าความอดทนที่มีน้อยลงส่งผลเสียอย่างไรบ้าง? เรื่องนี้อธิบายได้หลายเหตุผล
คนทำงานอย่างเราต้องมีบ้างที่เคยทำงานพลาด เช่น ทำเอกสารไม่ครบถ้วน มาไม่ทันเวลานัด เขียนผิด ส่งของผิดบ้าน ฯลฯ แต่ถ้าทำผิดพลาดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานสักเท่าไหร่ เพราะจะทำให้เสียการเสียงานเอาได้ แถมการโดนตำหนิบ่อยๆ อาจทำให้เราเสียกำลังใจในการทำงานได้ด้วย ถ้าคุณกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาทำผิดซ้ำซากในที่ทำงาน UNLOCKMEN อยากให้คุณอ่านบทความนี้ เพราะเราจะมาเล่าให้ฟังว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้เราทำผิดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ และจะแก้ไขอย่างไรดี ไม่พยายามแก้ปัญหาจนสำเร็จ หลายคนเวลาทำอะไรผิดพลาด อาจปล่อยผ่าน เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกช้ำใจจากปัญหา พร้อมๆ กับ คิดว่าตัวเองคงได้เรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และความผิดพลาดแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นอีก แต่การทำแบบนี้อาจส่งผลเสีย และทำให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำได้ เพราะงานวิจัยบอกว่า สมองของเราอาจไม่ได้เรียนรู้จากความ ‘ล้มเหลว’ แต่เรียนรู้จาก ‘ความสำเร็จ’ มากกว่า งานวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) ได้ทำการทดลองกับลิง และพบว่า หลังจากที่ลิงประสบความสำเร็จในการทำอะไรบางอย่าง สัญญาณประสาทของมันจะทำงานจนกว่าจะเกิดการกระทำใหม่ ในขณะที่ หากมันทำผิดพลาด ระบบประสาทของมันจะไม่ค่อยทำงาน แถมไม่มีพัฒนาการในการกระทำครั้งต่อไปด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นงานวิจัยในลิง แต่ทีมวิจัยก็บอกว่า สมองของคนและสัตว์มีฟังก์ชั่นนี้เหมือนกัน ดังนั้น มันจึงมีโอกาสสูงที่ปรากฎการณ์เดียวกันจะเกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ ผลการวิจัยจึงชี้ว่า