The White Dial Omega Speedmaster Moonwatch มาจริง ๆ ก่อนหน้านี้เราเคยนำเสนอ #WristCheck นาฬิกา Omega Speedmaster หน้าปัดสีขาวบนข้อมือของ Daniel Craig ไปแล้ว อย่างที่คาดว่ามันไม่ใช่ทั้ง Alaska Project และ Canopus Gold Moonwatch ในที่สุด Omega ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ กับ Omega Speedmaster Moonwatch หน้าปัด glossy lacquer white dial ตัวเรือน Steel Omega Speedmaster Moonwatch white dial ถือเป็นครั้งแรกใน standard collection หากไม่นับรุ่นพิเศษ limited edition ต่าง ๆ เช่น Speedmaster Moonwatch Apollo
หากจะบอกว่านี่คือเรือนเวลาสำหรับใครที่หลงใหลในความ Modern Classic และชื่นชอบในสิ่งที่เป็น Timeless Design ก็คงจะไม่ผิดนัก กับ Longines Conquest Heritage Central Power Reserve รุ่นฉลองครบรอบ 70 ปีของคอลเลกชัน Conquest ที่มี Story มายาวนานนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี 1954 โดยเรือนนี้จะได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่นที่ 2 ในคอลเลกชัน คือ Longines Conquest Power Reserve ปี 1959 ที่นำมาปรับเพิ่มเติมรายละเอียดให้มีความคลาสสิกร่วมสมัยลงตัวมากยิ่งขึ้น พร้อมนำเอาจุดเด่นอย่างดิสเพลย์บอกสถานะพลังงานสำรองบนจานหมุนกลางหน้าปัดจากในรุ่นเดิมมาให้ได้สัมผัสในยุคปัจจุบัน ซึ่งถ้าย้อนไปในปี 1959 มันคืองานดีไซน์และเทคโนโลยีที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะที่ทาง Longines ได้คิดค้นขึ้นมาได้อย่างล้ำหน้ามาก ๆ เรียกได้ว่างานออกแบบของ Longines Conquest Heritage Central Power Reserve เรือนนี้ เป็นการเอาเทคโนโลยีมาผสมผสานกับงานดีไซน์ได้อย่างสวยงาม เป็นนาฬิการุ่นใหม่ที่บาลานซ์ความคลาสสิกและให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ได้อย่างลงตัว ด้วยคุณสมบัติในการสำรองพลังงานได้สูงสุดประมาณ 72 ชั่วโมง ถึงจะถอดทิ้งไว้วันสองวัน ก็หยิบมาใส่ต่อเนื่องได้ทันที
หมุนเข็มวินาทีตีเวลากลับไปตอน ปี 1949 ความงาม มนต์เสน่ห์ ความหลงใหล คือคำนิยามที่ใช้เรียกถึงเรือนเวลารุ่นหนึ่งของ OMEGA ที่มีชื่อว่า ‘Trésor’ เรือนเวลาซึ่งถูกให้ความหมายเอาไว้ว่า ‘ขุมสมบัติ’ ที่ซ่อนอยู่ในตัวนาฬิกา เวลาล่วงเลยผ่านไปจากช่วงเวลาข้างต้นหลายร้อยชั่วโมงต่อมา ชื่อของ Trésor มีความหมายเปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้วยการใช้อธิบายถึงรูปทรงอันสง่างามของเรือนเวลาในรุ่นต่อจากโมเดลแรก มีการประดับด้วยเพชร ดีไซน์ด้วยตัวเลขโรมัน วางให้มีไซส์เล็กกระทัดรัดลง ตกแต่งด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย และแล้ววันแห่งความรักปี 2024 นี้ ชื่อของ Trésor จะสะกดให้ทุกสายตาให้ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง กับเรือนเวลารุ่นล่าสุด OMEGA Mini Trésor ที่มีทั้งหมดถึง 5 รุ่น ประกอบขึ้นจากวัสดุสุดเลิศหรู ซึ่งจะนิยามคำว่า ‘มนต์เสน่ห์’ ใหม่อีกครั้งนึง OMEGA Mini Trésor มาด้วยขนาดกระทัดรัด 26 มม. ซึ่งเป็นไซส์ที่ถูกวางมาแล้วว่าเมื่ออยู่บนข้อมือจะทำให้ทั้งคนสวมใส่และคนที่มองรู้สึกถึงความละเอียดอ่อนอันแบบบางของรุ่นนี้ หน้าปัดถูกประดับอย่างแววาวด้วยเพชรโอบร้อมลอบเรียงเม็ดเป็นรูปทรงเว้าโค้ง (Diamon Curves) เข้าคู่กันไปอย่างดีกับตัวเลขหลักโรมัน พลิกดูที่ฝาหลังของทุกรุ่นจะเห็นงานดีไซน์ดอกไม้ ‘Her Time’
ไม่ว่าเทรนด์แฟชั่นจะหมุนไวขนาดไหน แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ‘ความคลาสสิก’ ยังคงเป็นเทรนด์ที่อยู่ในกระแสมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่หวือหวา แต่ทว่าเรายังพบเจอกับกลุ่มคนที่ชื่นชอบการแต่งตัวแบบคลาสสิกสไตล์อยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือนาฬิกาที่สวมใส่ และในปี 2024 นี้ SEIKO 5 SPORTS ยังคงตอบโจทย์ชาวคลาสสิกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเล่าเรื่องผ่านความคลาสสิกระดับตำนานผ่าน 2 รุ่นใหม่อย่าง SEIKO 5 SPORTS “Retro Color” Special Edition ที่มาพร้อมสีหน้าปัดสุดเรโทร และขอบหน้าปัดลวดลาย Rally จากยุค 60s-70s มาให้สาวกทั้งหลายได้หายคิดถึง เพราะแฟนพันธุ์แท้ Seiko 5 Sports คงจะทราบกันดีว่า ขอบ Rally นี้ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นดังในอดีตอย่าง Seiko 5 Sports Rally Diver 70 ที่ขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งใน Rare item ที่หลายคนตามหา เรียกได้ว่าการมาของ SEIKO 5 SPORTS “Retro Color” Special
BMW น่าจะเป็นค่ายเดียวในตอนนี้ที่มีเกียร์ Manual ให้เลือกในรถใหม่หลายรุ่น ล่าสุดก็เป็นไปตามคาดสำหรับ BMW Z4 M40i ที่เปิดตัวใหม่พร้อมเกียร์ 6-Speed Manual หลังพัฒนาภายใต้รหัส Handschalter (Hand Shift) เป็นชุดเกียร์ที่พัฒนาสำหรับเครื่องยนต์ turbocharged 3.0-liter inline-six โดยเฉพาะ พร้อมระบบช่วยขับอย่าง variable-ratio steering system, traction control, M Sport differential, rear suspension dampers และ reinforced anti-roll bar เพื่อให้ความรู้สึกในการเปลี่ยนเกียร์แม่นยำและสื่อสารกับรถได้อารมณ์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น เครื่องยนต์ turbocharged 3.0-liter inline-six ให้ output รวม 382 hp แรงบิด 369 lb-ft ทำความเร็ว 0-100 ใน 4.2 วินาที ช้ากว่าเกียร์
เปิดตัวในงาน LVMH Watch Week 2024 จักรกลระดับ Grand Complication เรือนล่าสุดจาก Hublot มาพร้อมชื่อที่ยาวไม่แพ้ป้ายราคา MP-10 Tourbillon Weight Energy System เป็นอีกครั้งที่ Hublot เลือกฉีกคำนิยามของนาฬิกาแบบเก่า ๆ ใช้ความกล้าหาญและสร้างสรรค์ในการดีไซน์ กลไก HUB9013 movement บอกเวลาผ่าน rolling cylinders time display คล้ายใน MP-05 LaFerrari โดยมีแหล่งพลังงานจาก sliding weights ที่ขยับขึ้นลงทุกครั้งที่เราขยับมือไปมา ควบคุมเวลาผ่าน inclined flying tourbillon ซึ่งมีการเพิ่ม seconds scale ลงไป เป็นครั้งแรกที่สามารถรวมสุดยอดกลไกระดับ grand-complication level ที่ซับซ้อนที่สุดมาไว้ในเรือนเดียวกันได้สำเร็จ วิธีดูเวลาของ MP-10 คือหลักชั่วโมงจะอยู่ที่ cylinders ด้านบนสุด ตามด้วยหลักนาทีด้านล่าง ลงมาจาก
เอาจริงพ่อหนุ่มแรปเปอร์คนนี้น่าจะเปลี่ยนชื่อจาก Tyler The Creator เป็น Tyler The Collector ได้แล้วนะ เพราะนอกจากจะสะสม Retro Classic Cars อย่าง BMW E30 M3 / Roll-Royce Wraith / Lancia Delta เขาก็ยังสะสมนาฬิกาวินเทจตัวแรร์ ตัวหายาก ตัวโคตรแพง โดยเป็นแฟนของแบรนด์ Cartier ตัวยง ในเหล่าของสะสมของไทเลอร์หลาย ๆ เรือนคือตัวที่หาไม่ได้แล้ว บางรุ่นก็ราคาอยู่ที่ตัวเลข 8 หลักกันเลยทีเดียว ! แต่ก็ต้องยอมรับในรสนิยมการเลือกของวินเทจของไทเลอร์จริง ๆ ว่ามันเหมาะสมกับความเป็นไทเลอร์มาก ๆ เขามองนาฬิกาที่ดีไซน์ ประวัติศาสตร์ โดยไม่สนว่านาฬิกาเรือนนั้นจะทำมาเพื่อข้อมือของผู้หญิงหรือผู้ชาย และนี่ก็คือ 9 Vintage Cartier Watch By Tyler The Creator ที่เราเอามาฝากทุกคนกัน ประวัติย่อ ๆ
ปีนี้ถือเป็นปีที่สำคัญมากสำหรับ Longines เนื่องจากเป็นปีที่ “Conquest” คอลเลคชั่นมีอายุครบ 70 ปี ตำนานที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1954 และยังเป็นปีที่ชื่อ Conquest ถูกจดลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสสุดพิเศษให้กับคอลเลคชันนี้ Longines จึงออกแบบนาฬิการุ่นคลาสสิกนี้ขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ Conquest Heritage Central Power Reserve ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Conquest Power Reserve ลำดับที่ 2 ในปี 1959 กับจุดเด่นที่สะเทือนโลกนาฬิกาด้วยจากดิสเพลย์พลังงานสำรองบนจานหมุน (rotating disc) ที่ตั้งอยู่กลางหน้าปัด บ่งบอกระดับพลังงานสำรองที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ที่คิดค้นและจะพบได้เฉพาะที่ Longines เท่านั้น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับ 70 ปีแห่งนวัตกรรมและความสง่างามของ Longines Conquest collection เราจะพาทุกท่านย้อนเวลาไปทำความรู้จักกับ Conquest ให้ดีขึ้นตั้งแต่เรือนแรกในปี 1954 จนถึงเรือนล่าสุดเพื่อพิสูจน์ความสง่างามเหนือกาลเวลาของนาฬิการุ่นนี้กันครับ 1954 – LONGINES CONQUEST REF. 9001 ; ตัวเรือนขนาด
ผ่านเวลามา 50 ปี ความคลาสสิกจากงานดีไซน์เรือนเวลารูปทรง TV ที่ผสานรูปร่างสี่เหลี่ยมเข้าไว้กับความโค้งมนได้อย่างกลมกล่อม พร้อมคืนชีพอีกครั้งกับ MIDO Multifort TV Big Date ตัวแทนความเก๋าด้านงานออกแบบที่พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน หลังจากที่ Mido เคยเผยโฉมนาฬิกาทรง TV สุดคลาสสิกมาแล้วเมื่อปี 1973, 1980 และ 2000 ล่าสุดตำนานเรือนเวลาหน้า TV ได้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งบน MIDO Multifort TV Big Date ซึ่งโดดเด่นด้วยการออกแบบที่คลาสสิกร่วมสมัย เต็มไปด้วยเสน่ห์ของหน้าปัดสะท้อนแสงโชว์เอฟเฟกต์การไล่เฉดแสงสีที่น่าหลงใหลจากโทนสีหลักกลางหน้าปัดไปจนสุดขอบสีดำ ตัวเรือนสเตนเลสของ MIDO Multifort TV Big Date ดูลงตัวมีมิติด้วยการขัดเงาแนวนอนอย่างเด่นชัด ขาดไม่ได้กับความโดดเด่นของ ‘BIG DATE’ หน้าต่างวันที่ขนาดใหญ่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา นอกจากนี้ภายใต้กระจกแซฟไฟร์ด้านหลังตัวเรือนยังเผยให้เห็นความงามของกลไก Caliber 80 สุดแม่นยำ พร้อมรองรับการสำรองพลังงานได้สูงสุด 80 ชั่วโมง เหมาะมากสำหรับเป็น Every Day
Sartory-Billard เปิดตัวซีรีส์ SB06 ก้าวทะยานไปข้างหน้าด้วยนาฬิกา Flying Tourbillon แบบสั่งทำพิเศษ ประเดิมความลำหน้าด้วยกลไก SBTV01 ที่เป็นเอกสิทธิ์ของ Sartory-Billard ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยความแม่นยำอย่างพิถีพิถันโดย Comblemine นาฬิกาเหล่านี้ไม่เพียงแสดงถึงความก้าวหน้าในด้านความซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นต่อค่านิยมหลักของแบรนด์ในด้านความพิเศษเฉพาะตัวและความเป็นปัจเจกในแต่ละบุคคลอีกด้วย ในฤดูร้อนปี 2021 Sartory-Billard เริ่มต้นการเดินทางครั้งสำคัญในการผลิตนาฬิกาเมื่อ Cronotempvs Watch Club ติดต่อเข้ามาเพื่อขอให้แบรนด์ผลิตนาฬิกา Flying Tourbillon ที่รวบรวม DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของ Sartory-Billard สิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเลือกกลไกมาตรฐานอย่างตรงไปตรงมาในครั้งนั้นได้กลายมาเป็นหัวใจในการพัฒนากลไกของตนเองครั้งแรกของแบรนด์อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสองปีกว่าทำให้ Armand Billard ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับกลุ่ม Cronotempvs เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ ออกแบบ และพัฒนากลไกร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและช่างทำนาฬิกาที่ Comblemine เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยคุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น sapphire bridges และรายละเอียดที่ซับซ้อนอีกมากมาย กระบวนการเหล่านี้สร้างความท้าทายให้กับ Comblemine และซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมากให้ตระหนักถึงการออกแบบที่ทะเยอทะยานและมีรายละเอียดที่ประณีต Sartory-Billard รุ่นใหม่นี้มีจำหน่ายทั้งในรูปแบบ 12 ชั่วโมงและ 24 ชั่วโมง โดยแต่ละรูปแบบจะมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร รุ่น
เผลอแป้ปเดียว Omega Dark Side of the Moon ก็มีอายุครบ 10 ปีแล้ว เผยโฉมครั้งแรกในปี 2013 สำหรับ Speedmaster โทนสีดำล้วนสุดเท่ซึ่งมีปล่อยออกมาหลายรุ่น และในโมเดลอัพเดทใหม่นี้ก็ผ่านการปรับรายละเอียดที่น่าสนใจบนพื้นฐานของ Speedmaster Dark Side of the Moon Apollo 8 ตัวเรือนยังคงมีขนาด 44.25 mm black ceramic case หน้าปัดสวยงามด้วยการออกแบบกึ่ง skeletonized และ Moon-textured plates ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก DSOTM Apollo 8 ตัดกับเข็มและชื่อรุ่นสีเหลืองบนหน้าปัดได้อย่างสวยงาม โดยฝั่งด้านหน้าจะโชว์พื้นผิวดวงจันทร์ที่เรามองเห็นได้จากโลก และด้านหลังจะเป็นด้านที่มืดกว่าของดวงจันทร์ สะท้อนมุมมองที่นักบินอวกาศของ Apollo 8 ได้เห็นขณะปฏิบัติภารกิจในปี 1968 และที่โดดเด่นที่สุดในรุ่นนี้ก็คือเข็มทรง Saturn V rocket บน small seconds ที่ผลิตจากวัสดุ
Cartier แบรนด์เครื่องประดับและนาฬิกาสัญชาติฝรั่งเศส เปิดตัว แทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ แบงค็อก อิดิชั่น (Tank Louis Cartier Bangkok Edition) เรือนเวลาที่รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษสำหรับประเทศไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสมญานามของประเทศไทย “The Golden Kingdom” โดยได้เลือกใช้โทนสีทองที่สื่อถึงวัฒนธรรมไทย ขณะที่ยังคงเอกลักษณ์ความสมดุลด้านดีไซน์และความสง่างามไร้กาลเวลาของเรือนเวลาตระกูลแทงก์ (Tank) ไว้อย่างครบครัน พร้อมตอกย้ำความพิเศษของเรือนเวลารุ่นนี้ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 67 เรือนเท่านั้น เรือนเวลาตระกูลแทงก์ (Tank) เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นไอคอนิคของคาร์เทียร์มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1917 ซึ่งเป็นปีที่หลุยส์ คาร์เทียร์ (Louis Cartier) ได้รังสรรค์เรือนเวลาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นจากความประทับใจในรูปทรงของรถถังฝรั่งเศสด้วยรูปทรงเรขาคณิตของหน้าปัดและกรอบคู่แนวตั้งขนาบตัวเรือน ที่ดูคล้ายภาพจำลองของรถถังเมื่อมองจากมุมสูง ทำให้ดีไซน์ของแทงก์มีความโดดเด่นล้ำสมัย ต่างกับนาฬิกาส่วนใหญ่ในยุคนั้นที่มีหน้าปัดทรงกลม ต่อมาในปี 1922 คาร์เทียร์ได้รังสรรค์เรือนเวลา แทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ (Tank Louis Cartier) ที่ยังคงเอกลักษณ์ดีไซน์เรขาคณิตของแทงก์ แต่แตกต่างที่กรอบข้างตัวเรือนมีความโค้งมนมากขึ้น สร้างความสมดุลจนพิชิตใจคนรักนาฬิกาทั่วโลก ไล่เรียงตั้งแต่สมาชิกราชวงศ์ ไปจนถึงบุคคลชั้นนำ และหลุยส์ คาร์เทียร์ ผู้สวมใส่นาฬิการุ่นนี้เป็นประจำจนเป็นที่มาของชื่อรุ่น ความสำเร็จของแทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ รุ่นแรกเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการปรับเปลี่ยนและตีความใหม่อีกหลายครั้ง แทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ แบงค็อก คือผลลัพธ์จากการตีความครั้งล่าสุดที่โดดเด่นสะดุดตาแต่แรกเห็น ด้วยตัวเรือนขนาด 33.7 x 25.5 มม. เพรียวบางเพียง 6.6 มม.