เมื่อพูดถึงช่วงกลางของยุค 2000s ช่วงเวลาที่ซีนดนตรีอันเดอร์กราวด์ Emo / Screamo / Metal เบ่งบานในไทย มันเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากคุณถามผู้คนที่ทันใช้ชีวิตอยู่ในตอนนั้น แล้วไม่มีใครพูดชื่อ Sweet Mullet ออกมา และการไม่พูดถึงเพลงตอบ / หลับข้ามวัน / เพลงของคนโง่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ ตั้งแต่ที่อัลบั้มแรก Light Heavyweight (2007) ของ Sweet Mullet ปล่อยออกมา เวลาก็เลยผ่านมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ผ่านการสร้างความทรงจำต่อวงและแฟนคลับ จนมาถึงปี 2023 คงไม่มีเรื่องไหนสำคัญต่อแฟนคลับและวงเองได้เท่ากับการที่พวกเขาตัดสินใจว่าจะประกาศยุบวงผ่านการหายไปเงียบ ๆ อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโชคดีหรือว่าอะไรก็ตาม การที่เราได้นั่งคุยกับพวกเขาเพื่อเขียนเป็นบทความนี้อยู่ นั่นแสดงว่ามันไม่เกิดขึ้นจริง และพวกเขาไม่ได้หายไป หนำซ้ำเรายังสามารถใช้คำว่า “Sweet Mullet กลับมาแล้ว” ได้อีกด้วย เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับการกลับมาของ Sweet Mullet เท่าที่เด็กซึ่งโตในยุค
ยังจำวันนั้นได้ดีอยู่เลย วันหนึ่งของเมื่อ 3 ปีก่อน วันที่ฝนตกหนักจนเราเพื่อนต้องพากันไปหลบอยู่ที่แมคโดนัลสาขาลาดพร้าววังหิน บทสนทนามากมายลื่นไหลไปท่ามกลางเสียงเคี้ยวของเฟรนช์ฟรายล้อกับเสียงฝนข้างนอกที่กระทบหน้าต่างของร้าน จนบทสนทนามาถึงจุดที่ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างนี้ “มึงว่าวงไหนจะเป็น Bodyslam ของยุคต่อไป” คำถามที่หากว่ากันตามประสาของคนอ่านหนังสือการ์ตูน มันคือคำถามระดับที่เรียกว่าว่า “ราชาโจรสลัดคนต่อไปจะเป็นใครกันนะ ?” และวันนั้นเราไม่ได้ตอบคำถามออกไป ถึงแม้คนอื่น ๆ จะโยนวงที่เป็นตัวเลือกมามากมาก็ตาม … เวลาของปี 2020 ผ่านไปจนเกือบจะปลายปี เร็วแบบกะพริบตาครั้งเดียวทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เราเองก็เปลี่ยนไป คำตอบของเราชัดเจนในแบบที่ถ้าถามคนอื่น (ในช่วงเวลานั้น) ก็น่าจะตอบเหมือนกันว่าคือวง Three Man Down ถ้าอัลบั้มแรก This City Won’t Be Lonely Anymore ตอนปี 2021 เป็นการแล่นเรือ Going Merry เข้าสู่น่านน้ำของ Grand Line ในปี 2023 พวกเขาก็ได้ขึ้นเรือลำใหม่ Thousand Sunny ของตัวเอง ผ่านอัลบั้มที่มีชื่อว่า 28
ย้อนเวลากลับไป 1 เดือนก่อนหน้านี้ (ในความทรงจำนะไม่ใช่ไทม์แมชชีน) ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงชื่อ 100 gecs เลย จริง ๆ ต้องบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อวงมาก่อนด้วยซ้ำ อาจจะเพราะว่าเพิ่งผ่านมา 1 เดือน ผมจึงจำวันแรกที่รู้จักคู่หู Laura Les กับ Dylan Brady สองสมาชิกของวงได้ไม่มีทางลืม มันเป็นวันที่หาเพลงฟังจากคอลัมน์ Albums Review ของเว็บไซต์ Pitchfork ซึ่งในตอนนั้นเอง อัลบั้มที่ใช้ชื่อแปลก ๆ ว่า 10,000 gecs ติดโผ Best Album ได้คะแนนรีวิวสูงถึง 8.2 แหน่ะ ! ผมก็เลยกดฟังอัลบั้มนี้ผ่าน Spotify โดยไม่อ่านรีวิวทันที แต่คะแนนไม่ได้เป็นเหตุผลหลัก แล้วเหตุผลหลักเป็นเพราะอะไรน่ะหรอ ก็เพราะปกอัลบั้มไง ถ้าจะให้เขียนอธิบายเหตุผลคงยากเกินไปที่จะบอกความรู้สึก ดูภาพประกอบข้างล่างเอาเลยง่ายกว่า เข้าใจแล้วใช่มั้ยว่าทำไมถึงกดฟัง เชื่อว่าคุณก็ต้องกดฟังกันแล้วล่ะ มีใครไปตามดูเอ็มวีแล้วอ้วกบ้างรึยังครับ 555 เมื่อใช้เวลา 26 นาที 53
“Magic Moment ในคอนเสิร์ตที่คุณชอบที่สุดคือการแสดงของศิลปินคนไหน ?” ไม่ว่าของคุณจะเป็นโชว์ไหน แต่อันดับ 1 ในใจของเราคือตอนที่ Frank Ocean แสดงที่ FYF Fest ใน L.A. เมื่อปี 2017 อย่างแรกเลยคือเวทีคือเซ็ทสวยมาก มีลำโพงล้อมรอบกับอุปกรณ์ทำเพลงแบบอนาล็อคที่เหมือนกับว่ายกสตูดิโออัดเสียงของโอเชียนมาไว้ตรงนั้น แล้วให้นักดนตรีนั่งล้อมเป็นวงกลมเข้าหากัน เหมือนว่ากำลังซ้อมอยู่ยังไงอย่างนั้น ชั่วโมงต้องมนตร์เกิดขึ้นในเพลง Close To You เพลงต้นฉบับจาก The Carpenter ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะถูกเมดเล่ย์ต่อด้วยเพลง Never Can Say Goodbye ของ The Jackson 5 ได้อย่างเนียนกริบราวกับว่าเป็นเพลงเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ในระหว่างช่วงต้นของการบรรเลง จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่ฉายภาพของโอเชียนและสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีมาตลอด ก็ค่อย ๆ แพนกล้องออกไปที่ขอบส่วนหนึ่งของเวที ที่ตรงนั้นเอง มีผู้ชายกำลังนั่งโทรศัพท์อยู่ คือผู้ชายที่ไม่มีใครคาดฝันว่าจะอยู่ตรงนั้นได้ เพราะเขาคือ Brad Pitt จอมอนิเตอร์ Close Up ไปที่พิทต่อไปเรื่อย ๆ
สาย J-ROCK ไม่ควรพลาด ขอแนะนำวงร็อกสายเลือดญี่ปุ่นที่มีดีเอ็นเอชาวร็อกสุดขั้วที่มองจากดาวอังคาร ยังรู้ว่าเป็นดนตรีร็อกจากประเทศญี่ปุ่น Wagakki Band ซึ่งแปลได้ตรงตัวว่า “วงเครื่องดนตรีญี่ปุ่น” ถ้าให้พูดถึง J-ROCK ทุกคนคงจะนึกถึง X-Japan หรือไม่ก็ ONE OK ROCK แต่สำหรับ Wagakki Band นั้นแตกต่างออกไป พวกเขาเป็นวงดนตรีร็อกแนวใหม่ที่ผสมผสานการขับร้องและเครื่องดนตรีแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ซึ่งดนตรีที่เล่นนั้นเป็นการ Contemporary ของดนตรีทั้งสองแนว นั่นคือ ROCK + Original Japan ที่ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งเข้ากับศิลปะของ shigin (บทกวีของญี่ปุ่น) อีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจของวงนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เพลง แต่ยังมี MV สุดฉีกที่โคตรจะ Epic และเซนส์ด้านแฟชั่นของพวกเขานั้นยากที่จะละสายตา ที่เมื่อเห็นก็ต้องตะโกนออกมาว่า ญี่ปู๊น ญี่ปุ่น ! เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในอดีตเลยทีเดียว ด้วยความเท่สุดแหวกแนวนี้ทำให้วงได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ (แถมวงนี้ยังไม่ธรรมดาอีกด้วยนะ เพราะเคยได้ร่วมแสดงบนเวทีกับนักร้องในตำนานอย่าง Amy Lee วง EVANESCENCE –
หากคุณเป็นหนึ่งคนที่วนเวียนอยู่ในแวดวงเพลงร็อก เมื่อเอ่ยคำว่า ‘Industrial Rock’ (อินดัสเทรียลร็อก) ศิลปินคนแรกที่คุณจะนึกถึง คงหนีไม่พ้น Nine Inch Nails หรือ Marilyn Manson สำหรับดนตรีแนวนี้ ถึงจะเป็น Genre ที่แตกแขนงออกมาจากร็อก มีความคล้ายคลึงกับอิเล็กทรอนิกส์ร็อกอยู่หลายประการ แต่ก็ไม่สามารถถูกเหมารวมได้ เพราะดนตรีแนวนี้มีความแปลกแตกต่าง ทั้งในแง่ซาวด์ แนวคิด และประวัติความเป็นมา เอกลักษณ์ของอินดัสเทรียลร็อกคือการหลอมรวมระหว่าง ‘ร็อก’ กับ ‘อิเล็กทรอนิกส์’ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีหัวใจหลักคือความดุดัน ก้าวร้าว และตีแผ่ความไม่น่าอภิรมย์ทั้งหลาย ก่อนหน้าจะมีอินดัสเทรียลร็อก โลกของเรามี ‘ดนตรีอินดัสเทรียล’ แบบดั้งเดิมมาก่อนตั้งแต่ยุค 70’s ถึงแม้จะไม่เกรี้ยวกราดบาดหูเท่า แต่ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังมืดหม่นไม่แพ้กัน เพราะอะไรพวกเขาถึงนำเอาความบันเทิงที่ควรจะสร้างความสุข มาถ่ายทอดความอับเฉาของโลกใบนี้เท่านั้น ? กำเนิดดนตรี Industrial ค.ศ. 1970 เมื่อเครื่องซินธิไซเซอร์ คอมพิวเตอร์ และดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เริ่มเข้ามามีบทบาทกับอุตสาหกรรมดนตรี กลุ่มศิลปินทั่วโลกทั้งในและนอกกระแสต่างให้ความสนและนำดนตรีประเภทนี้มาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในแบบฉบับของตัวเอง ‘ดนตรีทดลอง’ หรือที่เรียกว่าแนว avant-garde เริ่มแพร่กระจายไปทุกหนทุกแห่ง
ทำเอาแฟน ๆ ตามหากันให้วุ่นว่าเขาคือใคร? เมื่อมีหน้ากากดอกกุหลาบลึกลับนามแฝงว่า DIDE เปิดตัวซิงเกิล “Thrill” ออกมาบน YouTube และยังเปิด IG Account ชื่อว่า dideworld พร้อมตั้งคำอธิบายโปรไฟล์ว่า “ผมเป็นนักฟุตบอลในสนาม แต่ที่บ้านเป็นแร็ปเปอร์” . ซึ่งภาพที่ปล่อยออกมาในมิวสิกวิดีโอเพลง “Thrill” นั้นเป็นภาพบรรยากาศบนท้องถนนในเมืองหลวงของสหราชอาณาจักร ทำให้แฟน ๆ แทบจะคาดเดาได้ทันทีว่า แร็ปเปอร์หน้ากากกุหลาบผู้นี้คือนักเตะพรีเมียร์ลีกจากทีมในลอนดอน มีการเดาชื่อต่าง ๆ มากมายเช่น Wilfred Zaha, Noni Madueke, Reiss Nelson และ Eddie Nketiah กองหน้า Arsenal ที่แฟน ๆ หลายคนเชียร์ให้เป็นเขา . แต่หน้ากากดอกกุหลาบจะเป็นใครนั้น ยังไม่น่าสนใจเท่าพรสวรรค์ในการแต่งเพลงอันน่าทึ่งของเขา “Thrill” นั้นเป็นเพลงที่เล่าถึงชีวิตเบื้องหลังของเขาอย่างลึกซึ้ง พูดถึงสิ่งที่ทำให้ทีมชนะอย่างต่อเนื่อง และการใช้ความรู้เรื่องบอลของเขาเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม สุดท้ายนี้หน้ากากกุหลาบจะเป็นใคร เค้าจะเปิดเผยตัวจริงหรือไม่ คงต้องมาลุ้นกันต่อไป ตอนนี้ไปชม Dide –
บทนำ By UNLOCKMEN : ถึงทุกคนที่มีความทรงจำผูกพันธ์กับครอบครัวผ่านอาหาร (โดยเฉพาะกับแม่) หนังสือบันเล่มนี้อาจจะคล้ายเป็นเหมือนบันทึกช่วงเวลาของคุณด้วยเหมือนกัน มันอาจจะเป็นหนังสือต้องห้ามในวันที่ใครคนนั้นจากไป และก็สามารถเป็นหนังสือเพื่ออ่านให้คิดถึงเขาอย่างหมดใจในวันที่จู่ ๆ ความทรงจำก็ย้อนกลับคืนมาอย่างไม่ตั้งใจอีกครั้งนึง เรื่องย่อจากปกหลัง : นี่คือบันทึกความทรงจำพาร์ทหนึ่งในชีวิตของ Michelle Zauner หรือที่เราทุกคนรู้จักเธอในฐานะฟรอนท์แมน ร้องนำ เล่นกีตาร์ และแต่งเพลงของวงดนตรีดรีม-ป็อปชื่อดัง Japanese Breakfast เล่าย้อนกลับไปในช่วงที่วงยังไม่เกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่เธอเป็นออนนีของผู้เป็นแม่ที่เป็นเหมือนทุกอย่างของชีวิต ผู้ซึ่งจู่ ๆ วันหนึ่งก็พบว่าตัวเองเป็น ‘โรคมะเร็ง’ แล้วความรัก ความสับสน การตัดสินใจที่ยากลำบาก ที่มีมื้ออาหารเป็นเหมือนกาวใจของสายสัมพันธ์อันพิเศษนี้ก็เริ่มต้น “H-MART คืออะไร ?” พูดง่าย ๆ มันคือซุปเปอร์มาร์เก็ตในอเมริกา ที่ขายข้าวสารอาหารแห้งทุกสิ่งอย่างจากเอเชีย (ฟีล Makro บ้านเรา) แต่สำหรับมิเชลล์ ซอเนอร์ มันคือสถานที่ ‘ของ’ เธอกับแม่ตั้งแต่เด็กจนโต ตั้งแต่ตอนที่แม่เข็นรถเข็นแล้วเธอเดินตามต้อย ๆ จนถึงวันที่มิเชลล์กลายเป็นคนเข็นเองในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ถือโทรศัพท์ถามสูตรอาหารเกาหลีจากผู้เป็นแม่ ในบทที่ 1 มิเชลล์ให้คำนิยาม H-MART ของตัวเองเอาไว้ว่าแบบนี้
เรือนเวลารุ่นล่าสุดจาก RM ที่หยิบเอาความหรูมาอยู่คู่กับความร็อกได้เท่ลงตัวสุด ๆ กับโมเดลใหม่รหัส RM 66 Flying Tourbillon ที่มีจำนวนจำกัดแค่ 50 เรือนทั่วโลก RM 66 Flying Tourbillon ตัวเรือนขนาด 42.70 x 49.94 x 16.15 mm. ผลิตจากวัสดุสุดแกร่ง Carbon TPT และ grade 5 titanium จุดเด่นของเรือนนี้ก็คือ มือกระดูกสีทองทำสัญลักษณ์ Rock n’ Roll คล้ายเขาของปีศาจกลางหน้าปัด ผลิตจาก 5N red-gold และฝีมือช่างระดับสูงในการเก็บรายละเอียดทั้งหมด และโชว์กลไก flying tourbillon ดีไซน์หัวกะโหลกด้านบนบริเวณ 12 นาฬิกา เป็นการแสดงออกถึงความขบฐของชาวร็อก เพราะปกติ flying tourbillon มักจะอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา เพิ่มความดิบอย่างมีสไตล์ด้วยลวดลาย Clou
“Y2K” ช่วงเวลาที่ตรงกับค.ศ. 2000 ณ เวลานี้แฟชั่นในยุคนั้นได้ย้อนกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แต่โดยส่วนมากคงมักจะพูดถึงการแต่งตัว แต่อาจจะลืมไปแล้วมีเพลงดังหลาย ๆ เพลงที่โด่งดังเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะเพลงร็อกในบ้านเราที่ยังคงอยู่ในห้วงเวลาของความรุ่งเรือง ดังนั้นเรามาลองย้อนเวลากลับไปสัมผัสกับ 8 เพลงร็อกที่ได้รับความนิยมในยุค Y2K กันครับ (เกณฑ์คัดเลือกมาจากอัลบั้มที่ออกในปี 2000 เท่านั้น) FLY “2000” เรียกได้ว่าออกอัลบั้มมารับกระแส “Y2K” พอดีเป๊ะ สำหรับวง Fly แถมยังชื่ออัลบั้มว่า “Y2K” อีกด้วย รวมไปถึงเพลงโปรโมตยังใช้ชื่อว่า “2000” อีกด้วย โดยสไตล์ดนตรีมาในแบบอัลเทอร์เนทีฟร็อกที่มีกลิ่นอายของร็อกอะบิลลี เน้นจังหวะโจ๊ะกับกรูฟหนึบ ๆ ส่วนเนื้อหาเพลงนี้ประชดประชันได้อย่างเจ็บแสบ เป็นการเล่าถึงปีที่เปลี่ยนแปลง แต่ชีวิตเราก็ยังเหมือนเดิมไม่ได้ดีขึ้นตามไปแต่อย่างใด SILLY FOOLS “จิ๊จ๊ะ” หลังจากที่เริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นในอัลบั้ม “Candy Man” ทางวง Silly Fools และค่ายมอร์มิวสิค จึงไม่รอช้ารีบส่งผลงานชุดใหม่ชื่อว่า “Mint” ออกมาขยี้ทันทีในปี 2000 ซึ่งผลตอบรับก็ออกมาในทิศทางที่ดีมาก ๆ เพราะชื่อเสียงของ Silly
Red Hot Chili Peppers คืออีกหนึ่งวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ พวกเขาเสิร์ฟคนฟังด้วยซาวด์สไตล์ฟังก์ร็อกสุดร้อนแรงเร้าใจเข้ากับชื่อวงได้เป็นอย่างดี เป็นวงที่โดดเด่นทั้งเพลงช้าและเพลงเร็ว แถมยังมีลีลาการเล่นสดแบบสุดเหวี่ยง โดยเฉพาะในคอนเสิร์ต Woodstock ปี 1999 ที่ทุกคนต่างจดจำการแก้ผ้าเล่นเบสของ Flea ได้เป็นอย่างดี Red Hot Chili Peppers ก่อตั้งวงตั้งแต่ปี 1983 พวกเขาค่อย ๆ ไต่ระดับความสำเร็จจนมาเริ่มพีคในอัลบั้ม “Mother’s Milk” ในปี 1989 หลังจากนั้นชื่อเสียงของพวกเขาก็ติดลมบน จนได้ก้าวมาเป็นวงร็อกระดับโลกได้สำเร็จ ส่วนผลงานเพลงที่เราหยิบยกขึ้นมาเล่าก็เป็นเพลงที่ฮิตระเบิดในช่วงต้นยุค 2000’s นั่นก็คือ “By The Way” “By The Way” เป็นผลผลิตจากอัลบั้มชื่อเดียวกับเพลง มันถูกปล่อยให้ฟังเมื่อวันที่ 24 มิถุยายน ปี 2002 ซึ่งเป็นเพลงแรกที่ถูกนำมาโปรโมต โดยเป็นช่วงเวลาก่อนที่อัลบั้มจะวางขายประมาณ 2 สัปดาห์ และมันยังเป็นเพลงแรกที่อยู่ในอัลบั้มด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ณ ตอนแรก ทางวง Red Hot Chili
หากให้พูดถึงวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จมากวงหนึ่งในช่วงที่กระแสดนตรีอีโมเบ่งบาน (2003-2007) คงต้องยกให้ My Chemical Romance วงอีโมพังก์จากเมืองนิวอาร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ฟอร์มวงตั้งแต่ปี 2001 ก่อนจะมาประสบความสำเร็จในระดับเมนสตรีมกับอัลบั้มที่ 2 “Three Cheers for Sweet Revenge” และเพลงที่เป็นตัวชูโรง จนทำให้ใครหลายคนถวายจิตวิญญาณเป็นสาวกพวกเขา คงต้องยกให้กับเพลง “Helena” “Helena” ถูกหยิบมาโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลที่ 3 ในอัลบั้มต่อจากเพลง “I’m Not Okay (I Promise)” และ “Thank You For Your Venom” โดยแรงบันดาลใจการสร้างเพลงนี้มาจากการเสียชีวิตของ Elena Lee Rush ซึ่งเป็นคุณยายของ Gerard Way นักร้องนำของวง เขามีความผูกพันธ์เป็นอย่างมาก เพราะคุณยายเป็นคนสอนการวาดรูป, การร้องเพลง รวมไปถึงยังซื้อรถคันแรกให้กับ Gerard ซึ่งรถคันนั้นคือรถตู้สีขาวที่ปรากฏใน MV เพลง “I’m Not Okay (I