MUSIC
Next Cover, Same Mood 14 : ดูหนังเรื่องไหนต่อดี เมื่ออินกับเพลงในอัลบั้ม NOICE ของ WIM
By: GEESUCH October 9, 2024 232830
ไม่ใช่เพราะว่าเป็นแฟนคลับของ HYBS มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราถึงชอบเพลงของ WIM แต่เพราะว่า ‘กานต์-กษิดิ์เดช หงส์ลดารมภ์’ เป็นคนทำเพลง Pop ที่เก่งจริงต่างหากล่ะ ถ้าจะมีอัลบั้มที่ใช้เป็นตัวแทนนิยาม ‘ผู้ชาย’ ที่แอบมีความซุกซนต่อทุกความสัมพันธ์ที่เอาใจลงไปเล่นสนุก ๆ แต่กลับพร้อมจะยอมแพ้ให้กับคนที่เขาโดนเวทมนตร์บางอย่างตั้งแต่แรกเห็นได้ล่ะก็ เพลงในอัลบั้มชื่อ NOICE ก็ควรจะเป็นตัวแทนของผู้ชายเหล่านั้นนะ
ไม่ได้เปรียบเทียบ แต่เพลงของ WIM ฟังแล้วมันชวนให้คิดถึงเพลง Pop ชั้นดีปี 1980s ของศิลปินอย่าง Stephen Bishop / Michael Frank หรือ The Doobie Brothers อยู่ไม่น้อย และก็ชวนให้คิดถึงเสน่ห์ของภาพฝันในหนัง Rom-Com ยุคที่มี Meg Ryan เป็นผู้หญิงในฝันของผู้ชายทุกคนด้วยเหมือนกัน
NEXT COVER, SAME MOOD ตอนล่าสุด UNLOCKMEN ขอยกตัวละครผู้ชายที่ทำเพื่อผู้หญิง True Love ในชีวิตของตัวเอง จากภาพยนตร์ที่เรารัก เพราะเราเชื่อว่าผู้ชายเหล่านี้สามารถเป็นตัวแทนตัวตนของคำถามที่คุณกานต์ตั้งเอาไว้ในชื่อวงว่า “Who Is Me?” ได้ครบทั้ง 8 เพลง
เป็นเพลงแบบที่เราเรียกว่า ‘เพลงเต้นรำในคืนที่งานเลี้ยงมีแค่คน 2 คนบนฟลอร์’ เคล้าไปด้วยซิการ์จากเคาเตอร์บาร์ แสงไฟของ Downlight ที่สปอตไปบน Slow Dancing คู่อื่น ๆ ริมฝีปหากที่ถูกเติมลิปสติกอย่างดีบนปากคู่นั้น สายตาที่เว้าวอนอยู่ตลอดเวลาแบบที่ไม่รู้ว่าคิดเล่นหรือจริงจัง และถึงแม้ว่าเสียงรอบข้างจะดังแค่ไหน มันก็ถูก Mute จนเงียบด้วยสเปซของเราสองคน เพลงนี้ทำงานกับเราแบบนั้น
โหหห อะเรนจ์ได้เวทมนตร์สมกับที่ตั้งชื่อเพลงเอาไว้ แล้วเป็น Magic ที่ซิงก์กับเพลง Pop & Soul ในยุค 1980s มาก ๆ อะ ฟังแล้วชวนให้นึกถึงไวบ์ของบอยแบนด์ The Stylistics หรือเพลงอารมณ์ดิ่งของ Simply Red ที่สุด ไม่รู้ว่าคนอื่นชอบตรงไหนบ้าง แต่เราโคตรแพ้ริทึ่มของกลองไดนามิกแบบที่ตีแสนร์เหมือนจะหมดแรงมาก ๆ ช่วยขับให้ไวบ์ Sexy ของเพลงได้เย้ายวนสุด ๆ
“Sweet Baby” ตอนแรกโดนฆาตกรรมด้วยคำหวาน ๆ ให้ตายในท่อน Pre-Chorus แต่พอเข้าเมโลดี้ท่อน Chorus ก็คือใจเต้นแรงจนต้องขอให้หยุดเต้นเอาไว้ก่อน คุณกานต์คืออัลคาโปนเมโลดี้จัด ๆ ซัดกะเอาให้คนรู้สึกทุกจุดไปเลย
“We can take it slow tonight”
น้ำเสียงของผู้ชายที่เล่าเรื่องของเพลงนี้มันชัดมากอะ ไม่ได้รู้จักคุณกานต์เป็นการส่วนตัวนะ แต่ผู้ชายที่พูดคำว่า I’m so ready to give it all in กับผู้หญิงคนหนึ่งได้ มีเสน่ห์ของความเป็นนักบริหารเสน่ห์บางอย่าง แล้วมันเข้ากับคาแรกเตอร์ของคุณกานต์สุด ๆ แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ก็ต้องตั้งคำถามกันในเพลงต่อ ๆ ไป ว่า Who Is You
เพราะฉะนั้นอะไรจะเหมาะกับตัวละครของผู้ชายคนนั้นได้ดีกว่าเจ้าของโควทชวนใจสั่นตลอดกาลในซีรีส์ Gilmore Girls ที่ว่า “I’m All In” อย่าง Luke Danes อีกล่ะ เจ้าของร้านกาแฟผู้แสนเย็นชาที่สุดท้ายยอมเปลี่ยนแปลงตัวตนบางอย่างเพื่อผู้หญิงที่เขารัก ถึงขนาดยอมเอาชีวิตของตัวเองเททั้งหมดหน้าปักให้กับคนที่เชื่อว่าเป็น Magic ของตัวเองเลย นี่คือเพลงที่คุณจะใช้เต้นรำกับรอเลไรได้เลยนะลุค !
เพลง Road Trip Song ขอพาเธอไปส่งที่บ้าน ปักหมุดหมายว่าอยากให้เราได้มีช่วงเวลาแสนดีร่วมกัน แต่แทนที่จะขึ้นรถกลับบ้าน เรามาเต้นรำช้า ๆ จนถึงบ้านของเธอหรือผมราวกับว่าเป็นเซบาสเตียนที่จับมือของมีอาใน la la land (2016) กันเถอะ
ขยับจังหวะขึ้นมาจากเพลงแรกของอัลบั้มนิดหน่อย ใครติดดาวเพลงนี้เป็นเพลงโปรดของอัลบั้ม ขอแนะนำให้ไปตาม The Paper Kites ชุด Twelvefour ในปี 2015 ต่อเลย เพลงโทนกลางคืนย้อนยุคแต่โมเดิร์นที่ดีต่อใจคนอยากตกหลุมรักใครสักคนไม่ต่างกับเพลง All The Way Home ของ Wim
ขอเดาว่าคุณกานต์น่าจะเขียนเพลงจาก In The Moods หลากอารมณ์ในตัวเอง เพลงเมื่อกี้คือความคลั่งไคล้ยกให้เธอเป็นเทพธิดา แต่เพลงนี้คือด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ผสมกับความมึนเมาทำให้เกิดความสับสนในตัวเองว่าจะเอ่ย .. ออกไปดีมั้ย (ทำคาแรกเตอร์คนเล่าโคตรเก่ง) และที่มันเมายิ่งกว่าแอลกอฮอลล์คือท่วงท่าเต้นของเธอที่ไม่แคร์ว่าใครจะมองอย่างไรในคืนนั้นนั่นล่ะคือสาเหตุของการตกหลุมรักในครั้งนี้
Oh, girl take my hand
And let me dance you all the way home
โอ้ววว ดีใจ ฟังเพลงนี้ก่อนที่จะดูเอ็มวีแล้วรู้สึกว่ามันคือเพลงที่ประกอบช่วงเวลา After Scene ของงานพรอมที่วุ่นวายจริง ๆ เว้ย (คุณกานต์นี่คือ Marty Mcfly จาก Black To The Future มาก ๆ) เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรจะเหมาะไปกว่าตัวละคร George McFly พ่อของพระเอกในเรื่อง ที่เกือบไม่ได้ลงเอยกับรอเลไลหญิงที่เป็นรักสุดท้ายในชีวิตแล้ว ตัวละครโคตร Loser ที่ใครจำซีนต่อยหน้า Biff ได้ จะรู้ว่าไม่มีใครเหมาะเท่าเพลงนี้ได้กับเขาอีกแล้ว
เพลงที่อนุญาตให้เราลาพักร้อนจากโลกความจริงทันทีที่เปิดฟัง ตั้งแต่อินโทรขึ้นมันฮีลจิตฮีลใจวัยทำงานได้มากเลย แล้วเพลงนี้มันมีความเป็น Beach Song จังหวะสนุกเปิดได้ทุกหน้าร้อน
พอฟังเข้าเพลงที่ 3 ก็เริ่มจับทางได้แล้วว่าสิ่งที่เราชอบในเพลงของ WIM คือความเรียบง่าย แอบมีความเป็น Minimal Music อยู่ประมาณหนึ่ง ที่รู้เลยว่าเกิดจากการคิดเยอะ ประกอบจนเป็นเพลงจานที่ปรุงได้กลมกล่อมอร่อยหู โดยที่ไม่รู้สึกว่าจะต้องจับรายละเอียดมากเกินไป
เออ ! เสริมจากบรรทัดก่อนหน้านี้ สิ่งหนึ่งที่เราว่าอธิบายความเรียบง่ายของ Mr.Feelgood คือคอรัสของท่อนฮุกที่อะเรนจ์ให้ฟีลเพลงบลูส์แบบ Me & Mr Jones แล้วคือบาลานซ์ความเบาในระดับที่เราว่าเบากว่าปกติ แต่พอตั้งใจฟังจนได้ยินมันจะเพราะแบบที่เหมือนเราเจอ Magic Note ตัวลับแบบนั้น โคตรเก่ง ! (ชมอีกแล้ว)
The Man Who Light Up The Room คือคำนิยามของผู้ชายที่จะเป็น Mr.Feel Good ของเพลงนี้ มันก็จะมีผู้ชายคนหนึ่งในหนังของ Tim Burton ที่ชื่อ Edward Bloom ผู้ชายที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะส่งต่อพลังงาน Positive และเปลี่ยนให้โลกสีเทาที่เคยหมองหม่นของผู้คนให้กลายเป็นทีวีจอสีที่เต็มไปด้วย Colorful ตลอดเวลา ในแง่นึง เพลงนี้ก็สอนให้เรามี Positive Feeling ส่งต่อให้คนอื่น เพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่เหมือนกันนะ
โอ้โห ไม่ได้เป็นแค่เจ้าพ่อเนื้อเพลงจีบสาวอย่างเดียวแล้ว แต่ยังเป็นเจ้าพ่อเนื้อเพลงคลั่งรักด้วย ท่อนเวิร์ส 1 คือตายทั้งประโยคกลายเป็นศพสีชมพูเรียบร้อย เขินมากกก ไม่เชื่อลองอ่านดูดิ
Girl it’s not a metaphor
Cupids knocking at the door
I see arrows on the floor
Oh girl, you’re so golden
เป็นเพลงที่หลับตาฟังก็ซิงก์กับภาพเดียวเลย “To Me, You Are Perfect” ไม่มีใครลืมหนุ่มน่ารักอย่าง Mark ได้ลงหรอก ไม่มีใครที่จะไม่เอาใจช่วยรักข้างเดียวที่ทั้งเราและ Mark รู้ดีว่าตัวเขากับ Juliet จะไม่มีวันสมหวังกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะเป็น Best Friend คนที่จริงใจที่สุดของเธอไปเสมอ ความคลั่งรักนี้มันน่าเศร้าเหลือเกินนะ
รักเพลงนี้ที่สุดในอัลบั้ม NOICE แพ้เพลงช้าที่รึทึ่มของกลองซอยจังหวะไฮแฮทให้วิ่งไปข้างหน้าเร็ว ๆ แบบนี้จัง แล้วไลน์เบสที่ซนตามกันมายิ่งสะใจสุด ๆ แต่เหนืออื่นใดคือ WIM ทำให้มันสามารถมาซัพพอร์ตสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสารถึง Midnight Beach กับช่วงเวลาที่มีแค่ตัวเองกับเธอคนนั้นแค่สองคนได้เป็นอย่างดี
อาจจะไม่ใช่ซีนของชายหาดสักทีเดียว แต่เพลงมันทำให้นึกถึงฉากในร้านอาหารตอนกลางคืนของคุณน้า Melvin Udall ใน As Good as It Gets สำหรับใครที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ หนังเล่าเรื่องของตัวละครคุณน้า Melvin Udall นักเขียนผู้เป็นโรคบางอย่างที่ไม่สามารถสัมผัสผู้คนได้ และส่วนหนึ่งมันก็ทำให้เขากลายเป็นคนที่เกลียดการปฎิสัมพันกับคนอื่นตลอดทั้งชีวิตของตัวเอง จนวันหนึ่งเพื่อนบ้านที่เป็นศิลปินเกย์ถูกทำร้ายอย่างรุนแรง การช่วยเหลือครั้งนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
มันจะมีฉากหนึ่งของหนังที่คุณน้าเมลวินไปออกเดทกับ Carol สาวเสิร์ฟของเรื่องที่เขาปิ๊งมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ฉากสุดไอคอนิกที่มาพร้อมกับไดอะล็อกที่ใครก็แพ้ให้กับคำพูดนี้ “You Make Me Want to Be a Better Man” นั่นล่ะ หลังจากคำพูดของชายที่มีแต่ความฉุนเฉียวให้คนรอบตัวตลอดทั้งชีวิตคำนี้ถูกส่งออกไป ร้านอาหารนั้นก็เหลือเพียงแค่ Two Of Us จริง ๆ ล่ะ
อะเรนจ์เพลงนี้คุณกานต์เขาร้ายกาจมากกก มีไวบ์ความเป็น Black Music จังหวะ Lay Back หน่วง ๆ ในขณะที่ก็อะเรนจ์เสียงซินธ์อันโบราณนั้นให้ดูโมเดิร์นด้วยเมโลดี้สุดเฉียบคม (รักคุณกานต์อะเรนจ์ซินธ์มาก) แล้วส่วนตัวเราเป็นแฟนคลับของเพลงรักที่อ้อนวอนในพระเจ้าเพื่อให้คนที่หมายปองได้มีความรู้สึกตรงกันอยู่แล้วอะ เนื้อเพลงนี้คือทำถึงเลย ชวนให้นึกถึงเพลงช้าของ Leon Bridges อยู่ไม่น้อย
ติดอย่างเดียวคืออยากให้เพลง 02:43 นาทีมันยาวกว่านี้อะ ก็เพราะซะขนาดนี้ แล้วว่าด้วยเพลงที่ปล่อยเธอไปไม่ได้ ก็ต้อง William Thacker ที่มันไม่ใช่เรื่องของดารา คนดัง หรืออะไรแล้ว แต่การตกหลุมรักระหว่าง Anna Scott เป็นเรื่องที่ว่าเราปล่อยคน ๆ หนึ่งที่ใช่ไปไม่ได้แล้ว
Oh, could you be my light in the dark?
So I can be
Your morning alarm
ชอบจังที่ WIM ไม่ได้เลือกเล่าแค่ในมุมของหนุ่มมีความขี้เล่นเหมือนจะเพลย์บอยนิด ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่เขายังเล่าพาร์ทของหนุ่มที่โคตรจะไม่มั่นใจในตัวเองเลย Insecure and Self Doubt เมื่อเจอเธอคนนั้นที่ทำให้ใจสั่น มองตัวเองเป็นตัวประหลาด คิดแง่ลบ แล้วเนื้อเพลงที่แอบบูชาความรักนิด ๆ โคตรทำให้เราเอาใจช่วยหนุ่ม Weirdo ในเพลงคนนี้มาก ๆ อะ
ท่อน Bridge คือการเอามือเข้ามาขยำหัวใจคนฟังไปเลย เขียน Metaphor สวยมาก แล้วชอบที่ตั้งแต่วินาทีแรกจนถึงก่อน Outro สุดท้ายเลือก Filter ให้เพลงเหมือนถูกร้องอยู่ในฟองน้ำตลอดเวลา ก่อนจะทำให้ท่อนก่อนจบหลุดพ้นออกมาจากตรงนั้น เหมือนว่าความหวังได้เกิดขึ้นแล้ว
ตัวละคร Hank Moody คือตัวละครที่เราโคตรรักและก็โคตรเกลียดมาตลอด แต่เขาเหมาะกับเพลงนี้ไงถึงเลือกมา ผู้ชายนักเขียนโคตรเก่งที่ใช้ชีวิตอย่างอีโก้และเพลย์บอยเสเพลสุด ๆ รักษาชีวิตคู่ไว้ไม่ได้ เลี้ยงลูกสาวคนเดียวได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เราเชื่อ (และหวัง) ว่าการที่แฮงก์ยังคงคอยที่จะตามจีบ Caren อยู่เรื่อย ๆ แม้จะไม่เคยสำเร็จเลย ทำให้เราคิดได้ว่า แฮงก์น่าจะมองตัวเองเป็น Weirdo ตลอดชีวิต ยกเว้นกับคาเรนคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
ดีจัง WIM ทำเพลงโฟล์กที่เป็น Modern Folk ได้ซื่อสัตย์กับความเป็นรากของดนตรีประเภทนี้มาก อัดกีตาร์โปร่งให้มีความชัดหน่อย ใส่ใจกับเมโลดี้ร้องหวาน ๆ มีความฟุ้งฝันของ Space ที่ไม่ได้พยายามปรุงแต่งด้วยเสียงซินธ์จนคนฟังไม่เหลือพื้นที่ให้จินตนาการไปกับความคิดของตัวเอง
แล้วเนื้อเพลงก็ดีอีกแล้ว เราเคยเขียนอยู่เสมอว่าเพลงที่เหมือนมีใครสักคนมานั่งปรบบ่าข้าง ๆ กัน พร้อมบอกว่าพรุ่งนี้ก็ผ่านไป ไม่เป็นอะไรหรอก พอท่อนที่ร้องว่า Someday I’ll fly Feel alive Will be alright มันแอบน้ำตาไหลดีใจเบา ๆ นะ ขอบคุณจริง ๆ ที่เขียนเพลงแบบนี้ออกมา
อยากมอบเพลงนี้ให้ Gordie Lachance ทั้งในวัยเด็กที่ได้เดินทางไปหาเด็กชายที่กลายเป็นศพคนนั้นกับเพื่อน 4 คน และในวันที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ สำหรับเราเขาคือหนึ่งในตัวละครใจสลายที่สุดที่ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วที่สุด โดยที่ไม่มีวันลืมความเจ็บปวดในใจได้เลย