MUSIC

The Real : THE DARKEST ROMANCE : ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา และอีก 10 ปีต่อจากนี้ พวกเราก็จะยังเป็น THE DARKEST ROMANCE

By: GEESUCH September 8, 2024

การทำวงดนตรีหนึ่งวงมันจะต้องใช้ความเชื่อทั้งต่อตัวเองและความเชื่อที่สมาชิกในวงมีร่วมกันมากมายขนาดไหนกันนะ เพื่อที่เราจะสามารถทำเพลงในแบบที่เป็นตัวเอง 100% สื่อสารในแบบที่ต้องการออกไป 100% โดยไม่เอนเอียงไปตามกระแสหรือสิ่งไหน แล้วในวันที่ ‘ยังไม่มีกลุ่มคนฟังเป็นของตัวเอง’ ทำยังไงไม่ให้ถอดใจกันไปเสียก่อน … 

ในฐานะที่ผู้เขียนทำวงดนตรีวงหนึ่งมา 10 ปี และยังคงอยู่ในความมืดไม่ไปไหน เราเก็บคำถามนี้เรื่อยมารอที่จะได้คุยกับ The Darkest Romance วงที่น่าจะตอบคำถามของเราได้ดีที่สุด วงที่ตลอด 14 ปีที่ผ่านมาไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากวันที่ออกอัลบั้มแรก 70,000,000-1=0 (2009) จนถึงอัลบั้ม Sentence (2023) และวันนี้วงก็ได้เดินทางมาถึงช่วงเวลาที่มีผู้คนเข้าใจสาสน์ที่พวกเขาต้องการจะสื่อในวงกว้าง ผ่านดนตรีร็อกที่มีความเป็นเมทัลอยู่ในนั้น ดนตรีที่สำหรับเมืองไทยแล้วแทบจะเป็น Underground มาตลอดเลยด้วยซ้ำ

ผ่านมาแล้ว 2 เดือน กับคอนเสิร์ตใหญ่คอนเสิร์ตแรกในชีวิตของ TDR ‘ทัศนศึกษา’ สิ่งที่ตอกย้ำความเชื่อและความพยายามของวงดนตรีที่เราพูดไปก่อนหน้านี้ ชีวิตพวกเขาดำเนินต่อไปหลังคอนเสิร์ตนั้นจบ ‘ซีเกม–ธณัตชัย เหลือรักษ์’ เป็นครูสอนกลอง ‘เต้–ปัฏฐสิทธิ์ ห้วยห้อง’ เป็นพ่อค้าขายเสื้อมือ 2 Growdung_2hand แล้วก็ทำออเดอร์ส่งพ่อค้าต่างประเทศ ‘ก้อง–ก้องอุดม ใจทัศน์กุล’ เป็นพ่อค้าขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีเวลาขับมอเตอร์ไซค์เลย ‘แม็ก–ธิติวัฒน์ รองทอง’ เป็นฟรีแลนซ์ในวงการดนตรีรับจ้างทำเพลง โปรดิวซ์ อัดเครื่องดนตรี Mix & Master ช่วยดูในภาพของการผลิตเพลงทั้งสเกลเล็ก-ใหญ่ 

และ TDR ก็ยังดำเนินต่อไปเช่นกัน วันที่ 04/09 ที่ผ่านมาพวกเขาได้ลงรูปซีเกมกำลังบันทึกเสียงใน Instagram ของวง พร้อมกับแคปชั่นเรียบง่าย 09.04.2024 สิ่งนี้ทำให้เราคิดทันที ความสำเร็จย่อมมาพร้อมกับ Process ที่คราฟต์ในทุกมิติ แล้วการทำงานเพลงของ TDR เป็นแบบไหนกันนะ ? นี่คือเรื่องแรกจากเรื่องราวทั้งหมดที่เราอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่ผู้คนต่างยอมรับในตัวตนแบบที่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นอะไรอื่น


แม็ก : Process ในการทำเพลงของวง TDR โดยส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะเริ่มจากผมก่อน The Darkest Romance เคยเป็นวงโซโล่โปรเจกต์ของผมคนเดียวมาก่อน จนวงค่อย ๆ เปลี่ยนสมาชิก ซึ่งจริง ๆ แล้วผมเป็นคนที่อยากทำงานแบบเป็นวงมาตลอด 

ตอนแรกที่เป็นโซโล่โปรเจกต์ก็มีเพื่อนมาช่วยเล่น ไม่ว่าจะเป็นตอนโปรเจกต์สอบหรือโปรเจกต์เรียนจบ พอเรียนจบ TDR ก็ยังอยู่ เลยอยากจะให้มันจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้มีการเปลี่ยนสมาชิกตามเหตุและผลของปัจจัยเวลาใด ๆ ต่าง ๆ จนได้สมาชิกชุดปัจจุบัน แต่ว่าด้วยเรื่องที่จะเล่า สิ่งที่จะถ่ายทอด หรือแม้กระทั่งคอนเซปต์ต่าง ๆ จะเริ่มจากผมก่อน พอผมสนใจอะไรสักอย่างนึง หรือรู้สึกว่าเรื่องนี้อยากเล่าจริง ๆ ก็จะทดเอาไว้ แล้วก็ค่อย ๆ ประกอบร่างให้มันเป็นเพลงขึ้นมา

แต่ก่อนตอนทำงานคนเดียวผมสามารถจบเครื่องดนตรีทุกเครื่อง หรือเพลงต่าง ๆ ได้ด้วยแค่ตัวคนเดียวอยู่แล้ว แต่มันจะมีพาร์ทที่ว่า ผมจะโซโล่กีตาร์ไม่เก่ง แล้วการทำงานคนเดียวก็สนุกไม่เท่าทำงานกับวง ก็เลยกลายเป็นว่าเวลาเจอกันกับในวงผมจะชอบขโมยวิชามั้ง ดูว่าตอนนี้ใครเล่นอะไร ใครชอบอะไร ใครชอบฟังเพลงแบบไหน เช่น ซีเกมจะตีกลองยังไง ก้องกับพี่เต้จะมีทางนิ้วในการเล่นกีตาร์แบบไหน แล้วก็ลองมาประยุกต์ใช้ หรือแม้กระทั่งเอามาใช้เป็นไอเดียหรือเป็นเป็นแนวความคิดในการที่จะแต่งเพลงโดยโคจรรอบ ๆ ตัวของพวกเขาด้วย แล้วก็ประกอบกับว่าเรื่องที่เราเล่ามันเข้ากันได้มั้ย จากนั้นก็ส่งต่อให้กับเพื่อน ๆ ทุกคนในวง ซึ่งเขาก็จะมีเรื่องของการทำการบ้าน การพยายามเล่น หรือใส่ไอเดียของตัวเอง แล้วก็จะด่าผมบ้างในบางที (หัวเราะ)

ซีเกม : ไม่ใช่บางที หลายทีเลย (หัวเราะ) จริง ๆ อย่างที่แม็กบอกครับ เพลงมันจะเริ่มที่แม็กเนอะ แต่ว่าต้องบอกว่าแม็กมันจะเป็นคนที่สังเกตเพื่อนในวง เขารู้ว่าเพื่อนในวงทำอะไรได้หรือไม่ได้ตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้น ก้อนแรกที่ออกมามันจะเข้ามือของสมาชิกประมาณนึงอยู่แล้ว สมาชิกที่เหลือก็เอาไปปรับตามที่ตัวเองคิดอีกที หรือเอาไปปรับตามที่ตัวเองสามารถทำได้ หรือกำลังอินในช่วงนั้น โดยตามคอนเซปต์และอารมณ์เพลงที่แม็กคิดขึ้นมา มันเข้าใจได้ไม่ยากในตอนแรก แต่มันเล่นยากกก เพราะมันทำมายากกก ในบางอันนะ แต่สุดท้ายวงจะเห็นภาพรวมตรงกันตั้งแต่แรก เดโม่ขึ้นหัวมายังไงหลังจากนั้นมันไม่ได้มีอะไรฉีกไปจากที่สมาชิกทุกคนเข้าใจหรือทำได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ มันก็เลยเข้าใจตรงกันได้ไม่ยากขนาดนั้น เพลงมันเลยออกมาเป็นวง ถึงแม้มันจะออกมาจากคนเดียวตั้งแต่แรกก็ตาม

UNLOCKMEN : สำหรับ TDR ในพาร์ทของการอะเรนจ์ดนตรีจะรู้ได้ยังไงว่าแค่ไหนถึงเรียกว่า ‘พอดี’

แม็ก : เส้นที่ว่าแค่ไหนถึงจะพอ ถ้าตอบง่ายและสั้นที่สุดคือ “พวกเราทุกคนในวงพอใจในสิ่งที่ได้ยิน” มันดูเป็นคำตอบที่นามธรรมมาก ๆ และดูไม่เป็นรูปธรรมเท่าไหร่ สำหรับผมที่พอเป็นคนลองวางโครงสร้างมาทั้งหมด ผมจะโอเคถ้าเกิดซีเกมตีกลองในลักษณะประมาณนี้ แล้วเราก็ค่อย ๆ หาจุดที่พอดี แล้วก็ไม่ใช่แค่พอดีในแง่ของความรู้สึก แต่ว่าในแง่ของ Physically ของซีเกมต้องตีแล้วรู้สึกว่า Comfortable ที่จะตีด้วย ถ้าเกิดเจอจุดตรงกลางแล้วมันสนับสนุนความรู้สึกและอารมณ์ที่ต้องการจะเล่าจริง ๆ ได้สำเร็จ มันคือพอ 

โดยส่วนใหญ่เบสจะเล่นคุมหรือว่าบางทีอาจจะมีพวกที่เป็นเทคนิคหวือหวาขึ้นมาบ้าง เพื่อไม่ให้มันดูโมโนโทนจนเกินไป แล้วถ้ามันมาถูกที่หรือถ้ามันทำให้เกิดเอฟเฟกต์อะไรบางอย่าง สำหรับตัวเองเราก็จะโอเคแบบนี้ดี กีตาร์ก็เท่าที่สังเกตจากสีหน้าของทั้งสองคน ถ้าเกิดฟังแล้วปากเริ่มคว่ำ ก็อาจจะถูกต้องแล้ว ฟังแล้วในท่อนเพราะมันต้องเพราะ ท่อนที่รู้สึกว่าหนักมันก็ต้องมันส์ ถ้าเกิดว่า “พี่ผมว่ายังว่ะ” อาจจะอัดซ้ำเพิ่มเข้าไป ซึ่งก็อาจจะเป็นอีกครั้งที่ผมจะสร้างเวรสร้างกรรมกับเพื่อน อัดกีต้าร์ Dub เพิ่มเข้าไปอีก (หัวเราะ)

ซีเกม : เหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นพาร์ทไหนก็ตาม ถ้าสี่คนมีใครซักคน “เอ๊ะ?” เราจะตั้งคำถามกับพาร์ทนั้นว่ามันทำอะไรได้อีกมั้ย หรือมันต้องตัดมั้ย แต่ถ้าทั้งสี่คนว่าถูก อันนี้คือจบ แล้วมันจะจบแค่ ณ ตรงนั้นด้วยนะ เพราะว่าของพวกนี้ สมมติเราฟังวันนี้กับฟังเดือนหน้ามันไม่เหมือนกัน เราจะเอาให้จบ ณ ตอนที่เราทำตรงนั้น

แม็ก : ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นผม และก็ผมว่าจริง ๆ อาจจะเป็นพวกเราทุกคนด้วย พอฟังตรงนี้แล้วก็จะรีบเอ๊ะทันที เพื่ออย่างน้อยให้มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า Fail Proof ตัวผมเองจะรู้สึกว่าผมอยากฟังเพลงสักเพลงนึง ซึ่งจะสามารถฟังไปได้หมื่นครั้ง แสนครั้ง ล้านครั้ง หรือฟังไปได้ตลอดชีวิตแล้วเราไม่เบื่อมัน ผมจะต้องทำให้อย่างน้อยในสิ่งที่ตัวเองทำขึ้นมาให้มันถึงความคาดหวังของตัวเองตรงนี้ให้ได้ก่อน ทุกคนฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นยังไงกัน ทุกคนชอบหรือยัง แต่ผมจะต้องชอบในชนิดที่ว่า เราว่าเราอยู่กับเพลงนี้ได้จนตาย อย่างน้อยเรารู้สึกว่าถ้าเกิดเราเจอแผลในการอัด เรารู้ว่าเราทำตรงไหนได้ไม่ดี เราพอใจกับมันหรือยัง แล้วเราต้องซื่อสัตย์กับตัวเองมาก ๆ ด้วยว่า “เห้ย มันดีแล้วจริง ๆ” เมื่อมันถูกต้องแล้วผมจะไม่สงสัยกับมันอีก จบจากวันนั้นคือจบจากวันนั้นเลย

UNLOCKMEN : กับการเขียนเนื้อร้องเองก็ใช้หลักการนี้รึเปล่า

แม็ก : พาร์ทเนื้อร้องของผมเป็นแบบนี้เหมือนกัน ผมทะเลาะกับตัวเองเยอะมาก ๆ ในเรื่องของเนื้อเพลง เพราะมักจะต้องเขียนเรื่องที่อย่างน้อยที่สุดคือตัวเองเข้าใจ หรือรู้สึกว่ามั่นใจที่จะถ่ายทอดมันได้ดีพอ ถ้าสมมติย้อนไปที่เพลง ‘ความรุนแรง’ หรือ ‘ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก’ ก็จะรู้สึกว่าเรากำลังจะเล่าเรื่องนี้นะ เราต้องรู้สึกจริง ๆ ว่าเราเคยเป็นแบบนี้มั้ย เราเคยเจอแบบนี้มั้ย ถ้าเราไม่รู้หรือเราไม่เข้าใจที่จะเล่า เราจะรีเสิร์ชหาข้อมูลเพิ่มเติมได้มั้ย 

ความรุนแรงมันเป็นเพลงที่เรารู้สึกว่าทำงานกับมันได้ยากที่สุดในอัลบั้ม WORDS (2020) ด้วยความที่มันเล่าด้วยหลายมิติมาก ๆ แต่เราจะเลือกเอามุมไหนมาเล่า ตัวอย่างเช่น ความรุนแรงจะมีผู้ที่เป็นผู้กระทำความรุนแรง กับผู้ที่ถูกกระทำ บางครั้งคนที่เป็นผู้ถูกกระทำมันเก็บกดจนกลายเป็นผู้กระทำเสียเองในอนาคต มันกลายเป็นเหมือนการส่งต่อ ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น มันมีคนแบบนี้เยอะขนาดนั้นจริง ๆ ใช่มั้ย หรือมีคนที่ตกอยู่ในสภาวะนี้จริง ๆ ใช่มั้ย ทางจิตวิทยามันมีอะไรอย่างงี้เกิดขึ้นรึเปล่า เราพยายามจะไปรีเสิร์ชตรงนั้นแล้วก็พยายามที่จะเขียนให้มันซื่อตรงกับสิ่งที่เรารู้สึกว่าเราเข้าใจและเรารู้สึกกับมันมากที่สุด เพื่อที่จะถ่ายทอดออกมา ในบรรทัดฐานเดียวกัน เขียนวันนี้ จบวันนี้ อัดทุกอย่างเสร็จ ฟังวนไปเรื่อย ๆ จนต้องแน่ใจว่าเราชอบมัน ต้องแน่ใจว่าเราอยู่กับเดโม่นี้นานจนมันจะไม่ใช่การหลอกตัวเองว่า “มันโอเคแล้ว มันดีแล้ว” ไม่ ถ้ารู้สึกว่าเอ๊ะคำนี้มันแปลก ๆ ผมจะแก้ทันที เรื่องที่ไม่ถูกต้องเราจะโละละเขียนใหม่ มันจะเป็นอย่างงั้นตลอดครับ

UNLOCKMEN : ปกติ Process การทำเพลงของ TDR ใช้เวลานานแค่ไหนมีกำหนดเดดไลน์ตายตัวรึเปล่า

แม็ก : ไม่เท่ากันเลยครับ Process ของการทำเพลง TDR เร็วที่สุดคือ 1 วัน ไม่ถึงวันด้วย เหมือนว่าตอนนั้นจะเป็นเพลงที่ชื่อว่า ‘ทางสองแพร่ง’ เพลงที่พวกเราทำกันเองสมัยยังไม่มีสังกัด แล้วเราก็ส่งออดิชั่นเทศกาลดนตรีโคตรอินดี้ ในปีนั้นเขาบอกว่าต้องมีเพลงที่เกี่ยวกับทางเลือกชีวิตหรือต่อต้านยาเสพติดตามนโยบายอะไรสักอย่าง ผมก็แต่งเพลงขึ้นมาได้เพลงนึง ทำทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบให้เสร็จภายในวันเดียว แล้วก็อัปโหลดลงส่ง ทำ Mix & Master เองด้วย ตอนนั้นพอรู้งู ๆ ปลา ๆ

ส่วนเพลงที่ทำนานที่สุดก็ตั้งแต่ระบบการคิดจนถึงอัดก็คงอัลบั้ม SENTENCE (2023) คิดคอนเซปต์ได้ตอนปี 2015 แต่มาเสร็จอัลบั้มตอนปี 2023 ก็คือกินเวลายาวเพราะว่าได้หัวข้อแล้ว จะเล่าอะไรดี เล่าแล้วไม่ถูกใจสักที ขยำทิ้งเรื่อย ๆ ทะเลาะกับตัวเองนานมาก แต่ว่าโดยส่วนใหญ่ TDR จะช้าที่สุดตอนที่คิด ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะผมเป็นคนคิดมากด้วย เป็นคนที่รู้สึกว่ายังไม่อยากปล่อยผ่านเลยถ้าไม่แน่ใจ พอมาถึงขั้นตอนอัดก็จะเร็วกว่านั้นมาก เพราะว่าสมาชิกในวงอีกสามคนเก่งครับ

UNLOCKMEN : เป็นที่รู้ว่าเพลงของ TDR มีการอะเรนจ์ดนตรีที่ยากและซับซ้อนที่จะเล่นตาม อยากรู้ว่าการทำวางโครงสร้างให้เป็นเพลงยาก ๆ มีส่วนทำให้ต้องใช้เวลาในการอัดหรือการคิดนานด้วยมั้ย

แม็ก : เหมือนโดนด่า (หัวเราะ)

ก้อง : สำหรับผมมันไม่ได้ทำให้ทำงานช้าขึ้น แต่ผมจะต้องเริ่มทำงานเร็วขึ้น จากที่จะเริ่มหนึ่งอาทิตย์ก่อนอัด ก็ต้องกลายเป็นสองอาทิตย์ก่อนอัด แน่นอนครับว่ามันต้องฝึกเพื่อที่จะไปใช้อัด มันจะมีอยู่เพลงนึงที่ผมใช้เวลาฝึกนานกว่าใครเพื่อน ชื่อเพลงอะไรนะ .. 

แม็ก : ‘มา’

ก้อง :  เออใช่เพลงมา จังหวะยกทั้งเพลงครับ เพลงนี้แหละครับที่ผมใช้เวลาเยอะกว่าใครเพื่อน 

แม็ก : ความพยายามอ่ะเรื่องนึง แต่ลืมชื่อเพลงไปเลยเหมือนโละออกไปจากหัวแล้ว เอาออกไปจากสารบบเลย (หัวเราะ)

เต้ : ของผมก็คล้าย ๆ ก้อง พอได้รับเพลงจากแม็กมาแล้วก็ต้องลองมาเล่นกับมือตัวเองให้มันเป็นเรา ก็อาจจะใช้เวลากลาง ๆ ไม่ช้ามาก แต่เราก็อยู่กับมันให้จนรู้สึกว่าเราเล่นแล้วชินมือ และก็ต้องปรับอะไรบางอย่าง ให้มันเข้ากับเพลงด้วย แล้วก็ส่งให้เพื่อนฟังว่าโอเคมั้ย ถ้าพวกมันชอบ งานก็จะจบเร็ว ผมจะไม่ค่อยรื้ออะไรที่ได้มามาก แต่ก็จะมีบางเพลงอย่างเช่น ‘ความรู้สึกผิด’ ผมจะเล่นยังไงก็เล่นไม่ได้ หนักเลย อันนั้นมันฝืนความเป็นตัวผมเหมือนกัน มันอาจจะไม่ใช่พาร์ทที่ถนัด แต่ผมก็ไม่อยากรื้อเพราะมันเหมาะกับเพลงแล้ว ก็ให้มันเป็นเรื่องความทรมานของผมไป (หัวเราะ)

UNLOCKMEN : แบบนี้แสดงว่าแม็กจะยืดหยุ่นให้สมาชิกทุกคนเป็นตัวของตัวเองมาก 

ก้อง : ใช่ ๆ อาจจะมีบางจุดที่ขอนะแต่จุดอื่นก็ปรับได้ จะเป็นเรื่องของกลองบ่อย

ซีเกม : มันจะเป็น Rhythm ภาพรวมมากกว่า มีบางจุดที่แม็กอาจจะบอกว่า “ขอล็อค Rhythm นี้นะ” หรือล็อคลูกนี้นะ ด้วยคอนเซปต์ว่ามันส่งให้อารมณ์อะไรบางอย่าง แม็กจะมีเหตุผลของเขา ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นวงจะไม่ค่อยแตะ เพราะจะเข้าใจตรงกัน โอเคงั้นเดี๋ยวฝึกให้ แต่ว่าเอาจริง ๆ มันจะย้อนกลับไปที่บอกตอนแรกครับ คือแม็กจะรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนเล่นได้ประมาณนี้ ลูกที่ล็อคตรงนั้นมันจะไม่ได้ฝืนมือมากขนาดนั้น หรือถ้ามันต้องทำอะไรเพิ่ม มันจะทำเพิ่มอีกนิดหน่อย จาก 5 เป็น 6 มันจะไม่ใช่เรามี 0 แล้วแม็กมันใส่มาเลเวล 10 

UNLOCKMEN : แสดงว่าเพลง TDR ทำโดยที่แม็กมองจากคนในวงเป็นหลัก

ซีเกม : ใช่ อันนี้เห็นตรงกันทั้งสี่คน เพราะฟังเดโม่ปุ๊บก็คือ “ฮั่นแน่! ลูกนี้กูเล่นบ่อย มึงรู้ด้วยหรอ” อะไรแบบนั้นเลย


ในสารคดี The Darkest Romance | ‘essay’ Documentary มันจะมีพาร์ทหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งซีเกมพูดเอาไว้ว่า ตอนมาอยู่ TDR วันแรก ๆ จะมีช่วงเวลาที่รู้สึกว่าเพลงที่เล่นไม่ได้เป็นของวง แต่เป็น ‘เพลงของแม็ก’ ก่อนที่จะมีบางอย่างค่อย ๆ คลี่คลายกับตัวเอง เราอยากรู้ว่าสมาชิกที่เหลืออีก 3 คนคิดกับเรื่องนี้อย่างไร ผ่านจุดนั้นไปได้ยังไง แล้วแม็กเองที่เป็นผู้เริ่มต้นทุกอย่างล่ะ มองวงนี้ด้วยสายตาแบบไหนตั้งแต่วันแรก 

ซีเกม : ผมเข้าวงมาโดยที่คล้าย ๆ กับพี่เต้ก็คือมาช่วยเล่นก่อนยังไม่ได้เป็นสมาชิกตั้งแต่แรกเหมือนกัน มันกลายเป็นว่าเหมือนกับเราเข้ามาโดยที่เล่นเพลงของเพื่อนเฉย ๆ เราไม่ได้มีความรู้สึกว่าเราจะต้องมีส่วนร่วมอะไร พอมีเพลงมาเราก็แกะ แต่ผมจะเป็นประเภทที่ตัวเองไม่ค่อยแกะเพลงเหมือนขนาดนั้น ผมจะใส่สิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันต้องเล่นอย่างงี้ดิมาตลอด ต่อให้มันไม่ใช่เพลงตัวเอง แต่ถึงจะทำอย่างงั้นก็ตาม ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมแต่งเพลงนั้นด้วยกัน หรือใส่ตัวเองเข้าไปขนาดนั้น แค่เอาเพลงนั้นมาเล่นออกจากมือผมเฉย ๆ ณ ตอนแรก ๆ ที่เข้ามา TDR ทีนี้มันก็ค่อย ๆ ซึมเป็นสมาชิกไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ถอดตรงนั้นออกเรื่อย ๆ จนกลายเป็นว่า มันมีเราเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่เราเล่นให้เขาแล้ว อารมณ์เหมือนเรามาอยู่ในบ้านเช่า แล้ววันนึงเราผ่อนไปเรื่อย ๆ จนมันกลายเป็นบ้านเราอ่ะ (หัวเราะ)

ก้อง : รู้ mood เลยเนอะ (หัวเราะ)

ก้อง : จริง ๆ ผมก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน ผมเข้ามา TDR ใหม่ ๆ ก็ช่วงยุคอัลบั้ม Lessons (2015) แล้วเข้ามาตอนช่วงปลาย ช่วงที่อัลบั้มยังไม่เสร็จแต่แม็กมีเพลงในมือหมดแล้ว เพลงของอัลบั้ม Lessons (2015) ว่าง่าย ๆ ผมไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย ยุคนั้นเวลามีคอนเสิร์ตก็เล่นเพลงของอัลบั้มนี้เป็นหลัก ผมก็เหมือนซีเกมครับ ผมก็จะแกะเล่นในแบบที่คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ก็เล่นอย่างงั้นมาหลักปีสองปีจนบางเพลงผมก็เพิ่งมารู้หลัง ๆ นี่เองครับ “อ๋อ กูเล่นผิดมาตลอด” ที่รู้นี่ไม่ได้รู้เพราะถามเองด้วยนะครับ รู้ก็ตอนที่พี่เต้ถามแม็ก แล้วแม็กมันก็ไม่บอกว่าผมเล่นผิดปล่อยให้ผมเล่นอยู่เป็นปี

เต้ : แล้วมึงกับกูแบบเล่นคนละทางกันหมดเลย (หัวเราะ)

ก้อง : ใช่ ๆ (หัวเราะ) อย่างที่แม็กบอกว่าแม็กจะเรียนรู้มือของแต่ละคน ตอนนั้นมีโปรเจกต์ของ Cat Radio เป็นงานชื่อ Cat Expo 1 เราได้รับโอกาสทำเพลง cover เพลง ‘สิ่งที่ไม่เคยบอก’ ของพี่ ๆ Moderndog เพลงนั้นมันก็เป็นช่วงคาบเกี่ยวผมก็ยังไม่ได้ทำเพลงของ TDR แบบเต็มตัว แต่มันมีท่อนที่เป็นโซโล่ ตอนแรกท่อนโซโล่แม็กทำมาอีกอย่างนึง แต่ผมบอกแม็กว่าขอโซโล่อีกแบบได้มั้ย ผมพูดแค่นั้นหละครับ ปึ๊บ ผ่านไปซักแปปมันมาพร้อมเพลงเดโม่ที่มีโซโล่ใหม่ “เออ ! ถ้ากูโซโล่กูจะโซโล่แบบนี้เป๊ะ” คือมันรู้มือผมครับ จากเรื่องนั้นก็ค่อย ๆ เป็นมาเรื่อย ๆ เราเริ่มรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของวงมากขึ้น

เต้ : ของผมชัดเจนอยู่แล้วว่าผมเข้ามาในฐานะซัพพอร์ตเลย ในช่วงปีแรกเนอะ ใช้เวลาประมาณหนึ่งปีก่อนที่พวกมึงจะยอมรับ (หัวเราะ)

แม็ก : ขอแก้ข่าว ๆ พี่เต้ไม่ว่างเลย (หัวเราะ)

เต้ : แต่ในระหว่างที่เล่นซัพพอร์ตผมรู้สึกว่าผมก็เป็นส่วนหนึ่งของวงไปแล้วนะ ทั้งเรื่องต่าง ๆ ที่เราต้องคุยกัน บรรยากาศในวง แต่เรื่องการทำงานผมไม่ได้ลงไปขนาดนั้นเพราะว่าผมยังไม่ได้อยู่ในเซ็ทวงเขาเลยตอนแรก พวกมันก็ชัดเจนกันดี เพราะผมก็ทำวงเก่าอยู่ด้วย มันก็ให้เกียรติผมในตอนนั้น แต่ผมชอบวงเขาอยู่แล้ว เคยไปดูคอนเสิร์ตที่ช่างชุ่ย ผมเคยยืนมองเพลง ‘โจทย์ปัญหา’ / ‘หมากับเงา’ / ‘ความเข้มแข็งกับความอ่อนแอ’ / ผมมองขึ้นไปแล้วคิด “ถ้าเป็นกูขึ้นไปบนนั้นน่าจะสนุก” 

แล้วผมอ่ะชอบคิดว่าเป็นเพลงของผมเอง มันมีท่อนที่ผมชอบมาก ๆ มันมี Mood เพลงที่โดนจังวะ แล้วเวลาไปเล่นในฐานะช่วงขวบปีที่ซัพพอร์ต ผมก็อินอย่างกับว่าผมเป็นคนคิดเพลง อีกอย่างนึงก็คือที่รู้สึกว่าผมเป็นวงจริง ๆ แล้วก็คือตอนที่เข้าห้องอัด ตอนที่เข้า GeneLab แล้ว อัลบั้ม Words (2020) กับ SENTENCE (2023) นี่แหละเป็นตัวผม ผมเป็นวงแล้ว มันเป็นเพลงของพวกเราจริง ๆ 

UNLOCKMEN : พี่เต้อัดเพลงแรกเพลงอะไร

เต้ : ‘ความเยาว์’ เป็นเพลงแรกที่ทำให้พี่รู้สึกว่าเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของวงจริง ๆ พี่รับเหมาเลยเพลงนั้น ตอนแรกแบ่งกับก้องมันแล้วแหละ ก้องจะเป็นพาร์ท Rhythm แต่สุดท้ายพออัดไปอัดมาแล้วมันเหมือนพวกองค์ประกอบต่าง ๆ ของเพลงในแทร็คนั้นมันพอแล้ว มันกลายเป็นว่าก้องไม่ได้อัด แล้วเตรียมมาอย่างดี (หัวเราะ)

ก้อง : อย่างที่ผมบอกครับ ก่อนอัดเพลงผมจะซ้อมเข้มนิดนึงเท่าที่มีเวลา เพลงนั้นคือเพลงแรกที่ผมได้เข้าห้องอัดจริง ๆ จัง ๆ ในชีวิต ซ้อมอย่างดี ซ้อมกับเมโทรนอมเป๊ะทุกอย่างแบบพร้อมสุด ๆ พอไปถึง อ้าว ไม่ต้องอัดละ แต่ก็เข้าใจด้วยเหตุผลครับ (หัวเราะ)

UNLOCKMEN : สำหรับแม็กมองความเป็นวง TDR ตั้งแต่วันแรกว่าเป็นอย่างไร มีความรู้สึกเดียวกับเพื่อน ๆ อีก 3 คนบ้างรึเปล่า

แม็ก : แค่มากกว่าผมคนเดียวก็เป็นวงแล้วครับ (หัวเราะ) มัน Simple มากสำหรับผม จริงๆ แล้วผมเป็นคนไม่ชอบทำงานคนเดียว ผมชอบทำงานกับเพื่อน ผมอยากมีเพื่อนเล่นดนตรีด้วยกัน สมัยก่อนหน้านี้ตัวเองเป็นคนคิดมาก แล้วก็เป็นคนที่ถ้าจะนิยามง่าย ๆ ก็นับว่าเป็น Extrovert รู้สึกว่าอยากไปเจอเพื่อน อยากไปเจอคน อยากไปปาร์ตี้ ก่อนที่จะเริ่มโตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าอยากอยู่บ้านเลี้ยงแมวอย่างเดียว เจอคนแค่ไม่กี่คนจะรู้สึกว่าแฮปปี้กว่า แต่ว่าพอมันเล่นดนตรีด้วยกันกับเพื่อนมันก็รู้สึกถึงความป็นวงแล้ว

ส่วนตัวผมเองไม่ได้เชื่อเรื่องเคมีที่สุดขนาดนั้น ผมก็แค่รู้สึกว่าวงดนตรีวงหนึ่งไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่คิดเหมือนกันเสียเมื่อไหร่ ต้องไปในทางเดียวกัน นโยบายชีวิตแบบเดียวกัน หายใจแบบเดียวกัน อยู่บ้านหลังเดียวกัน ผมไม่ได้เชื่อแบบนั้นที่สุด สุดท้ายแล้วแต่ละคนจะต้องมีเวลาส่วนตัว มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง มีนิสัยของตัวเอง เพราะฉะนั้น แค่มาเล่นดนตรีด้วยกันแล้วรู้สึกว่ามันถูกต้องแล้วแหละก็พอ ตอนที่ทำวงแรก ๆ ผมจะชอบบอกกับเพื่อนในวงตั้งแต่ตอนสมัยก่อนว่า “เล่นให้เวทีแตกไปเลย เอาให้มันสุดยอด เอาให้โลกต้องจำ” แต่ปัจจุบันนี้ผมไม่เคยพูดเลย ทุกอย่างที่คุณเห็น TDR บนเวทีในแอคชั่นใด ๆ เป็นจิตอิสระของทุกคนทั้งหมด จู่ ๆ ซีเกมก็ลุกขึ้นมาตีกลองด้วยการยืน พี่เต้เขาบอกว่าตัวเองสไตล์การเล่นไม่ผาดโผนในเรื่องของมือ แต่สไตล์การโยกเขาผาดโผนมาก ซึ่งก็ไม่ได้บรีฟเหมือนกัน ในขณะเดียวกันก้องก็มีเทคนิคที่เขาอยากจะเล่น หรือแม้กระทั่งลูกอะไรต่าง ๆ แม้กระทั่งการชวนเพื่อนพูดหมาแมวบนเวที เป็นด้วยจิตอิสระของเขาเอง

“ผมอุ่นใจกับการเล่นดนตรีกับคนอื่น แล้วพอมันเป็นแบบนี้ ที่แต่ละคนมีพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองมาอยู่ด้วยกัน ผมเลยรู้สึกว่าตั้งแต่วันที่สี่คนนี้เล่นด้วยกัน มันก็เป็นวงแล้ว” 

ถึงแม้ผมจะบอกว่าผมเป็นคนทำคอนเซปต์หรือแม้กระทั่งเป็น First Main Idea ก่อนที่จะส่งต่อคนอื่น ผมรู้สึกว่าการทำวงมันมีหลายรูปแบบ วงในแบบที่ต้องเป็น Jam Band อยู่ด้วยกัน เล่นด้วยกัน แล้วก็มาหาเคมีที่ถูกต้อง นั่นก็เป็นวงอีกแบบนึง แต่เนื่องจากว่าพวกเราทั้งหมดสี่คนมีธุรกิจรัดตัว การจะให้มาเป็น Jam Band ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าเป็นไปได้ยากมาก ๆ เลย ถ้าสมมติว่าเราเป็นแบบนั้นเพื่อที่จะสร้างเพลงสักเพลงนึง อัลบั้มน่าจะออกนานกว่านี้ น่าจะกินเวลาหนึ่งอัลบั้มเป็นหลักไม่ใช่แค่ 9 ปี หรือ 10ปี แต่อาจจะเป็น 10+ ปี 


UNLOCKMEN : สมาชิกแต่ละคนมีความเชื่ออะไรในวง TDR 

ซีเกม : สิ่งที่ทำให้เชื่อใน TDR คือพอเข้ามาในวงแล้วผมไม่ต้องใช้ความเชื่ออะไรเลย ตั้งแต่ตอนแรก ๆ ที่ผมบอกว่ามาช่วยเล่น ก็คือเหมือนเข้ามาแล้วก็เล่นเพื่อได้เล่นดนตรีตั้งแต่แรก มันจะไม่เหมือนกับการเล่นดนตรีที่เคยที่ผ่านมา ตั้งแต่ตอนเรียนเอกดนตรีหรืออะไรก็ตาม ในอดีตทุกครั้งที่เล่นมันจะต้องมีจุดประสงค์ ต้องมีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเล่นเพื่อสอบ เล่นเพื่อออกผลงาน-ออกผลงานเพื่อให้มีรายได้เข้ามา หรือทำเพื่อให้ได้เล่นคอนเสิร์ต มันมีเรื่องพวกนี้เต็มไปหมด ซึ่งมันไม่ใช่ไม่ดีนะ ของพวกนี้สุดท้ายมันก็ต้องวาง แต่เหมือนกับจุดนึงมันทำให้ผมรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ทางผมขนาดนั้น พอเข้ามา TDR ผมไม่ได้มองอะไรตรงนั้นเท่าไหร่ ทุกครั้งที่ได้เล่น จุดประสงค์ของการเล่นคือก็เพื่อได้ไปซัดบนเวที

“ถ้าถามความเชื่อคืออะไร เชื่อว่าอยู่วงนี้แล้วผมจะได้ทำแบบนั้นตลอดไปมั้ง” 

แน่นอนพอวงมันเริ่มโตขึ้นมันต้องมีเป้าแหละ หรือเรามี Schedule แน่นอนว่าเราจะต้องมีงานเล่นนะ แต่สุดท้ายมันจะกลับไปที่ว่า เราจะได้เล่นแล้วไง เราจะได้ขึ้นไปซัดแบบที่เราเคยขึ้นไปทำวันแรกแล้วไง ไม่ว่าวงจะโตขึ้นแค่ไหน แต่ว่าความคิดนี้ของผมมันจะอยู่ทุกเวทีอยู่ดี สุดท้ายเราก็คือคนนั้น-คนที่อยู่กับ TDR มาเป็น 10 ปี เรายังต้องไปซัดแบบนั้นอยู่ 

แม็ก : หล่อจัง คนอื่นจะตอบไงอ่ะ (หัวเราะ)

ซีเกม : เดี๋ยวมีหล่อกว่า ๆ 

ก้อง : ตอนที่เข้ามา TDR วันแรก ๆ จะบอกว่าเชื่อเลยมันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่เหตุผลของผมแรก ๆ ที่เข้ามาคือตอนนั้นผมอยากซัดครับ ผมเป็นคนชอบเล่นดนตรีแนวร็อคเมทัลมาตลอด ตั้งแต่เริ่มหัดกีตาร์ก็คือรู้เลยว่าตัวเองมาสายร็อคแน่นอน จนถึงช่วงตอนนั้นช่วงเรียนจบใหม่ ๆ ผมก็เล่นผับกลางคืนอยู่ประมาณ 2-3 ปี มีรับสอนกีตาร์ด้วย แต่ห่างไกลจากคำว่าเมทัล จนตอนนั้นผมหยุดฟังเพลงเมทัลไปเลย เลิกเล่นด้วย เล่นแต่อะไรที่เลี้ยงชีพได้อย่างเดียว จนผมได้ไปทำงานประจำก็เกี่ยวกับดนตรีมีหน้าที่นั่งแกะคอร์ดเพลงลงเว็บ จนวันนึง ‘ป๊อบ’ มือกีตาร์คนเก่า TDR โทรมาชวนว่าสนใจไปเล่นกับวงมั้ย ผมก็ลังเล เพราะตอนนั้นก็เริ่มเบื่อสิ่งที่ทำอยู่ด้วย เริ่มคิดถึง อยากกลับมาเล่น ก็แบบเอาวะ อยากซัด จากวันนั้นจนถึงวันนี้ในใจผมก็ยังเหมือนเดิมครับ เวลาจะมีคอนเสิร์ตหรืองานอะไรให้ทำก็ตาม มันถือว่าเป็นความเชื่อมั้ย ก็เหมือนซีเกมครับ เชื่อว่าถ้าอยู่กับ TDR เล่นกับเพื่อนพวกนี้ เชื่อแน่นอนว่าจะได้ซัดตลอดครับ 

เต้ : ตั้งแต่ตอนที่พี่มาเล่นซัพพอร์ตให้วงนี้ครั้งแรกเลยนะ พี่อยากแค่มาเล่นให้สนุก เอาจริง ๆ ทุกวันนี้พี่ก็ยังคิดแบบเดิม ก็ไม่นึกว่าจะเลยเถิดมาขนาดนี้เหมือนกัน ไม่ได้คิดถึงเรื่องเข้าค่ายด้วยซ้ำ เพราะชีวิตเมื่อก่อนพี่เคยคิดหวังกับดนตรีมาก ๆ “กูจะต้องแบบทำมาหากิน วงจะต้องมีแดกเพราะมัน” สมัยก่อนตอนที่ยังไม่ได้อยู่ TDR เคยคิดแบบนั้นมาแล้ว แต่สุดท้ายพอคิดแบบนั้นมันไม่ตอบโจทย์

“ถ้าถามว่าพี่เชื่ออะไร พี่เชื่อในตัวเพื่อน ๆ เวลาอยู่บนเวทีพี่ไม่กลัวไม่กลัวใครเลย” 

กลัวตัวเองเฉย ๆ ว่าจะเล่นเหี้ยมั้ย (หัวเราะ) ความเชื่อของพี่แม่งคือพี่เชื่อในเพลงที่พวกเราร่วมกันทำ แล้วก็เชื่อในพวกมันสี่คน มันมั่นคงมาก ๆ เวลาพี่ยืนบนเวทีกับพวกมัน พี่สนุกมาก ๆ อยากซัดเหมือนกัน ยังเป็นชุดความคิดแบบนี้อยู่เสมอ

แม็ก : ผมเชื่อในป่าไม้ ธรรมชาติ (หัวเราะ) ฉีก ๆ ในฐานะที่อยู่กับ TDR มาตั้งแต่ Day 0 ตั้งแต่มันอยู่ในหัวจนถึงตอนนี้ ผมว่าสิ่งที่ผมเชื่อ มันดูเป็นคำที่ Cliché นะ ผมเชื่อในคำว่า ‘ความเป็นจริงของโลก’ อะไรบางอย่าง เชื่อในในความเป็นไปในแบบของมัน เชื่อในธรรมชาติ ดูเหมือนคำตลก แต่ว่าคำว่าธรรมชาติสำหรับผมคือทุกอย่างมันมีเกิดมีดับ มันมีความเป็นไปในอะไรบางอย่างของมัน มันมีความสุข มันมีความทุกข์ มันมีสิ่งที่มนุษย์เราล้วนทั้งรู้สึกหรือถูกทำให้รู้สึก มันคือหลายสิ่งที่นามธรรมมาก ๆ แต่ว่ามันแค่ต้องมีอะไรสักอย่างที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะพูด มันทัชใจเรามาก ๆ แล้วมันรู้สึกว่า เราเชื่อในเรื่องเหล่านี้มากพอที่เราจะถ่ายทอดมันออกมาโดยที่เราไม่เขินที่จะพูดมัน 

เราเชื่อในเรื่องเล่า เราเชื่อในสัจธรรมบางอย่าง เราเชื่อในความเป็นไป เราเชื่อในสิ่งที่ทั้งตาเราเห็นและตาเราไม่เห็น เราเชื่อว่าเรากำลังพูดเรื่องจริงอย่างน้อยในมุมมองของเรา เราเชื่อในสิ่งที่เราพูดไปแล้วเราจะไม่เสียใจในมุมมองของเรา เราเชื่อในพลังแห่งการถ่ายทอด เราเชื่อในอิสระในการถ่ายทอด เราไม่เคยเชื่อว่าคนจะพูดไม่ได้ หรือพูดอะไรไม่ได้ ที่มันรู้สึกว่าพูดยากมันอาจจะเป็นเพราะเราถ่ายถอดไม่ถูกที่ เราสื่อสารไม่ถูกคน เราอยู่กับวงที่ไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เราอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นไปในแบบเดียวกัน 

ผมอาจจะเป็นคนที่โชคดีมาก ๆ ที่บังเอิญว่าสามคนที่อยู่ข้าง ๆ ตอนนี้คือคนที่มีความเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างแรงกล้าเหมือนกัน เขาเชื่อในสิ่งที่เขาเชื่อ ผมเชื่อในพวกเขา ผมเชื่อในเรื่องที่เล่า ผมดีใจที่เขาเชื่อในเรื่องที่ผมจะเล่าเหมือนกัน ดังนั้น ถามว่าผมเชื่ออะไร มัน Pin Point เป็นข้อเดียวได้ยากสำหรับผม ไม่รู้ว่ามันคือชะตาหรืออะไรรึเปล่านะ แต่ว่า The Darkest Romance คือการเจอกันของคนสี่คน และเป็นเรื่องที่สุดยอดมากสำหรับผม แล้วผมไม่รู้ว่าผมเชื่ออะไรก็ตาม แต่เพราะที่ทุกคนเชื่อมันทำให้เรามีวันนี้ ผมเลยรู้สึกว่ามันคงเป็นความเป็นไปของโลกมั้งครับ แล้วเราก็แค่ทำปัจจุบันกาลให้ดีที่สุด


ความผิดหวังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญบนเส้นทางของคนทำงานศิลปะอย่างดนตรี ที่ไม่สามารถเดาได้เลยว่าความเป็นตัวตนของเราจะมีคนที่พร้อมโอบรับเข้าไปอยู่ในชีวิตรึเปล่า และความผิดหวังก็เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ประกอบขึ้นมาเป็นเพลงของ TDR ที่ทุกคนได้ฟังกันอยู่ ไม่ว่าเพลงโปรดสำหรับคุณจะคือเพลงอะไรก็ตาม

ก้อง : ช่วงยุคอัลบั้ม Lessons (2015) ตอนที่ผมเริ่มเข้ามาทำกับ TDR ได้สักพักแล้ว ตอนนั้นงานออฟฟิศผมก็ไม่ชอบอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่ก็ต้องทำไปเพราะว่างานกลางคืนที่เคยเล่น อยู่ ๆ มันก็หายไปหมดเลยภายใน 1 อาทิตย์ เพราะงานดนตรีกลางคืนถ้าให้รอเวลาไปออดิชั่นตามร้านใหม่มันไม่ทันกิน แล้วตอนนั้นผมก็มีเพื่อนมาชวนไปทำเป็นวงโปรเจกต์นึง ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ มันมาชวนเข้าวงนั้นผมไม่มีทางทำเลยครับ แนวเพลงก็ไม่ใช่ แนวความคิดก็ไม่ใช่ อะไรที่เขาสั่งมาไม่ใช่ผมเลยทุกอย่าง ผมก็ต้องยอม เพราะคิดว่ามันจะสามารถสร้างเงินเลี้ยงชีพเราได้ หวังว่าจะมีชื่อเสียง มีงานมาให้เล่น มีเงินให้เราเลี้ยงชีพ แล้วพอถึงจุดนึง มันไม่ได้อย่างที่หวัง มันก็เฟลมาก เพราะเราต้องลงแรง ต้องเสียเวลากับมัน ยอมเสียตัวตน จะว่าเสียใจก็ไม่เชิง แต่ผิดหวังว่า “กูยอมขนาดนี้แล้วทำไมมันถึงไม่สำเร็จ” ผมก็รู้สึกแย่กับตัวเองไปพักใหญ่ ๆ เลยตัดสินใจหยุดไม่ทำต่อ เลิกคิดเลยว่าจะใช้ดนตรีเลี้ยงชีพ ถ้าผมยังใช้มุมมองนั้นในการทำ TDR ผมก็คงไม่นั่งอยู่ตรงนี้ แต่ต้องบอกว่าผมไม่ได้ผิดหวังต่อดนตรีหรือวงการดนตรี ผมแค่ผิดหวังตัวเอง ไม่ได้ว่าดนตรีมันไม่ดี

 แม็ก : ความผิดหวังในการเล่นดนตรีสำหรับผมมีอยู่แค่ไม่กี่อย่างครับ เอาจริง ๆ แล้วผมมักจะไปจบที่คำว่า ‘ความผิดหวังในตัวเอง’ ซะมากกว่า เช่น คิดอะไรได้แต่พอทำจริงแล้วมันไม่ได้สักที มักจะเป็นในส่วนของการทะเลาะกับตัวเอง หรือแม้กระทั่งแต่ก่อนถ้าตอนที่ยังเป็นเด็กกว่านี้ เอาจริง ๆ ก็จะมีความผิดหวังมากมายหลายเรื่องเกิดขึ้นในวัฏจักรเอย ผิดหวังกับสิ่งรอบตัวเอย เอาแบบเด็กที่สุดก็คือ “มันจะไม่มีคนฟังเราจริง ๆ หรอ” มันเคยมีแว้บขึ้นมาบ้าง ผมขอออกตัวว่าผมไม่ได้ต้องการที่จะไขว่คว้าแสวงหาชื่อเสียงในการทำวงดนตรีวงนี้อยู่แล้ว ผมรู้สึกว่าผมแค่อยากสื่อสารในสิ่งที่ใจอยากจะพูด มันก็จะมีความเหนื่อยล้าหรือความเด็กอะไรบางอย่างในวันวานกาลก่อนแบบนั้น ที่บอกว่า “เห้ย เราก็เหนื่อยไม่ต่างกับคนอื่นเลยนะ มันจะไม่มีผลตอบรับอะไรบ้างเลยเหรอ” ไม่ได้ต้องแบบตู้มต้ามขนาดว่าวันนี้ปล่อยเพลงแล้วพรุ่งนี้จะมีคนฟังระดับสนามศุภชลาศัยมากองอยู่หน้าบ้าน มันไม่ใช่อย่างงั้นนะ แต่ว่ามันจะไม่กระดิกไปถึงไหนเลยจริง ๆ เหรอ เคยมีความคิดอย่างงี้บ้าง แต่สุดท้ายเราก็กลับมาโฟกัส เหมือนพลิกตัวเองเลยว่าถ้าเราผิดหวังว่าไม่มีคนฟังก็แปลว่าเราก็ผิดจุดประสงค์นะ เพราะว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราอยากทำคือเราอยากส่งออก เราอยากเล่าเรื่องในสิ่งที่เราอยากเล่า ดังนั้น ถ้าเราควรจะผิดหวัง เราก็ควรผิดหวังว่าเรายังทำมันดีไม่พอรึเปล่า เหมือนผมรู้สึกว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ไปไหนคือตัวเอง ถ้าเราไม่เคลียร์กับตัวเองให้ขาด เราก็จะจมอยู่ในความผิดหวัง 

แต่ว่าทุกวันนี้ถามว่าดีขึ้นมั้ย คิดว่าดีขึ้นเพราะโตขึ้นและคิดว่าเข้าใจมากขึ้น แต่ว่ามันยังไม่ได้หายขาด เราแค่รู้ว่าเรายังมีความผิดหวังตรงนี้อยู่ เรายังมีความคาดหวังเราแค่ต้องมีสติรู้เท่าทันตัวเองให้ได้ เราคิดอย่างนี้นะ เราจะแก้ปัญหาอย่างนี้ มันก็เลยค่อย ๆ คิดเป็นเหตุเป็นผล คิดเป็นเปราะ ๆ เป็นชั้น หรือบางทีเราก็แทบจะไม่ได้คิดอะไรตอนนี้เลย อาจจะแค่นอนน้อย พอนอนบางทีตื่นมามันหายจริง ๆ 

แต่ว่าสุดท้ายแล้วสำหรับผมถ้าหนักสุดก็คงเป็นเรื่อง Writers Block ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต เพราะว่าเหมือนมันคิดมาหัวแทบแตกแล้ว แต่ทำยังไงก็รู้สึกว่าทำไมอยู่ ๆ มันมืดแปดด้านไปหมด เราก็รู้สึก Suffer กับตัวเองว่าเราไม่มีวิธีแก้อื่นเลยหรอ จนกระทั่งมันอาจจะต้องการการพักผ่อนจริง ๆ 

มันจะกลับไปที่คำตอบแรกครับ ถ้าจะผิดหวังกับอะไรที่สุดเกี่ยวกับการทำงาน การเล่นดนตรี ก็คงจะเป็นเรื่องตัวเองยังรู้สึกว่าตัวเองยังไปได้มากกว่านี้แต่แค่ไม่รู้จะไปยังไง แต่ยังคงแสวงหาทางที่จะพัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกว่าให้มันเหมือนเป็นเกมส์แล้ว Keep Challenging ตัวเองไปเรื่อย ๆ ก็เลยลดทอนมันลงไปได้ ต่อสู้กับตัวเองได้ ดูแลตัวเองได้ดีขึ้น เรื่องความผิดหวังมันยังมีอยู่ เรารู้ว่ามันมี เราไม่ได้ละเลยมัน เราไม่ได้ทิ้งมัน เราแค่หาวิธีอยู่กับมันยังไง

ซีเกม : ผมไม่ค่อยรู้สึกกับภาวะดนตรี ผมจะรู้สึกผิดหวังกับตัวเองมากกว่า เพราะผมรู้สึกว่าดนตรีไม่ได้ทำอะไรผิด มนุษย์เป็นผู้สร้างสิ่งต่าง ๆ สำหรับผมดนตรีคือหนึ่งในสิ่งที่เป็นสิ่งสรรค์สร้างของมนุษย์ ดังนั้น ถ้าเราผิดหวังต่อดนตรี ก็เท่ากับว่าเราผิดหวังต่อสิ่งที่ตัวเราเองสร้าง เราจะไปโทษดนตรีมันหาใช่เรื่อง ผมยืมคำพูดพี่โอม Cocktail มาได้เลยครับ เขาสอนว่า 

“สิ่งใด ๆ ก็ตามที่เราสร้าง สิ่งใด ๆ ก็ตามที่เราคิดว่าเป็นของเรา เป็นผลงานที่เราสร้างขึ้นมา เมื่อปล่อยมันออกจากตัวเราไปแล้วต่อผู้ฟัง มันจะไม่ใช่ของของเราคนเดียวอีกต่อไป” 

ทุกคนสามารถมีความเห็น และไม่ใช่ทุกคนที่จะรักในสิ่งที่เรารัก เพลงหนึ่งเพลงพอออกไปสู่สาธารณะชน ต่อคนฟัง ต่อแสงไฟ เขาไม่จำเป็นต้องมาชอบเหมือนที่เราชอบ เขาอาจจะไม่ได้เข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจ แต่สุดท้ายแล้ว นั่นคือปัจเจกบุคคลครับ ทุกคนจะมีความเห็นต่อสิ่งนี้ เราแค่ต้องรู้ว่าเราทำสิ่งนี้แล้วเราภูมิใจกับมันจริง ๆ แล้วรึยัง ผมไม่เคยรู้สึกผิดหวังในนามดนตรีที่ตัวเองทำออกไป ผมอาจจะแค่ผิดหวังเพราะความคาดหวังที่ตัวเองเคยมี ผิดหวังเพราะตัวเองยังไม่เข้าใจโลกมากขนาดนั้น ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เข้าใจแบบถ่องแท้ที่สุด แต่ว่าอย่างที่บอก ส่วนตัวผมมักจะผิดหวังกับอะไรที่น่าจะเป็นตัวแปรที่ควบคุมได้ซึ่งอาจจะเป็นตัวเองมากกว่า

ถ้าถามว่าความผิดหวังต่อดนตรีมันไม่มี ดนตรีมันอยู่ของมันอย่างงั้น ถ้าเราจะผิดหวังอะไรโดยมีดนตรีเป็นส่วนประกอบแปลว่าเราผิดหวังกับอื่น ๆ มันแค่ว่าในช่วงเวลานั้นมันดันมีดนตรีเป็นส่วนประกอบ ถ้าอย่างของผม ความผิดหวังของผมตั้งแต่เด็กถึงตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ ย้อนกลับไปตอนมัธยมแค่ไม่มีคนฟังผมก็ผิดหวังละครับ แต่มันผิดหวังเพราะอะไร เพราะเราคิดว่าเราเล่นแบบนี้มันน่าจะมีคนเข้าใจเยอะ เราทำแบบนี้คนน่าจะชอบเราเยอะ แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่

มันอยู่ที่ว่าเราเอาใจไปผูกไว้ตรงไหน ตอนเด็ก ๆ ผมไม่ได้โฟกัสที่เราจะมาเล่นสนุกกับเพื่อน แต่ผมดันโฟกัสว่าผมทำอย่างงี้คนมันต้องสนุกสิ ผมดันไปคิดที่จะควบคุม “เห้ย ! มึงต้องสนุก” มันเกิดขึ้นง่าย ๆ แค่นั้นเลย โดยที่ตัวดนตรีคือเสียงที่มนุษย์สร้างขึ้นมันมีแค่นั้นเอง มันจะผิดอะไรอ่ะ มันไม่สามารถทำอะไรกับใครได้อยู่แล้ว นอกจากเราใช้มันทำอะไร แล้วเราไปหวังผลอะไรกับมัน แล้วพอมันไม่ได้อย่างนั้นเราก็สติแตก 

แล้วพอโตมาเรื่อย ๆ ก็ยังมีเรื่องนี้อยู่ที่พอทำแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด หรือผมใช้คำว่าพยายามไปคุมสิ่งที่ผมคุมไม่ได้ เช่น ผมไปสอนดนตรี เด็กเล่นไม่ได้อย่างที่ผมคิดผมก็ผิดหวัง เพราะผมไปหวังจะครอบหัวเขาว่าคุณต้องทำได้อย่างที่ผมเซ็ทดิ ทั้ง ๆ ที่ผมลืมมองว่าทำไมเขาทำไม่ได้ ผมมองแค่ว่าผมเคยฝึกอย่างนี้ คุณฝึกตามนี้คุณก็ต้องทำได้ตามที่ผมเคยทำมา ซึ่งไม่เกี่ยว คนแต่ละคนมันมีวิธีการไปไม่เหมือนกัน ก็ผิดหวังอีก

เต้ : พี่แม่งเหมือนผิดหวังกับกับตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง ที่เราหิวความสำเร็จ เราเอาตรงนี้มาตั้งเกินกว่าดนตรีเกินไป อันนี้พูดถึงอดีตที่พี่เดินทางมานะ จากเป็นวงตอนเด็ก ๆ เริ่มต้นแค่สนุก แล้วก็มีความฝัน จนมันพัฒนากันไปแบบว่ามีจุดนึงที่แบบหิวจัดเลย “มันคงจะดีเนอะถ้าเราเล่นดนตรีแล้วก็หาเงินได้กับมัน” สุดท้ายมันกลายเป็นความเครียด แล้วมันก็แตกสลาย ในวันที่ Deep เคยนอนร้องไห้เลย แล้วพอมองย้อนกลับไปนะ ทำไมเราเป็นแบบนั้น พอมาได้อยู่กับ TDR พี่ก็รีเซ็ทความคิดใหม่ พี่จะไม่เอาเรื่องรายได้หรือว่าความหิวตรงนั้นมาตั้งไว้กับดนตรี เหมือน TDR แม่งชุบชีวิตพี่ให้มาเล่นดนตรีมีความสุขอีกครั้ง 

มันมีงานไหนสักอย่างพี่ไปเล่นกับ TDR ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นเมมเบอร์นะ พี่เอก SLEEPING SHEEP เดินมาหาหลังจากเล่นเสร็จ “ไอเต้ มึงมาเล่นกับวงนี้ได้ไงวะ” พี่ก็เล่าให้ฟัง เขาก็บอกว่า “มึงเหมือนกลับไปเป็นเด็กที่เล่นดนตรีมีความสุขอีกครั้งเลยนะ” เราไม่รู้ตัว เรามองตัวเองเราไม่เห็น ต้องให้คนอื่นต้องมาบอก เราไม่รู้ภาษากายหรือแววตาตอนที่เล่น เราก็เหมือนได้ตกตะกอน ได้คำตอบว่า นี่สินะกู กูต้องเล่นดนตรีด้วย Mindset แบบนี้สินะถึงจะออกมามีชีวิตชีวา พี่ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ต้องมาถึงขนาดนี้ด้วยซ้ำนะ อันนี้แม่งถือว่าเป็นโบนัสมาก ๆ ก็เลยรู้สึกว่าไม่เอาแล้วแบบที่ผ่านมา 

มันเคยมีเพื่อนของเราพอเห็น TDR ชัดเจนในความเป็นตัวตน มาพูดว่าทำไมไม่ลองทำเพลงแบบที่เผื่อดังขึ้นมาได้ทัวร์ได้เยอะ ๆ “ไม่อ่ะเพื่อน” พี่ก็ตอบไป เพราะว่าถ้าไปคิดแบบนั้นกูว่าไม่ใช่ว่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด กูจะไม่เอาโจทย์นี้มาตั้งเพื่อการทำเพลง แม็กอยากสื่อสารอะไรสื่อสารเลย แล้วก็เป็นวงแบบพวกเราที่เป็น


UNLOCKMEN : ทั้ง 4 คนคาดหวังอะไรในวง TDR

เต้ : เบสิกเลย ก็ให้พวกมันมีแรงกันแบบนี้แหละ เอาจริงพวกพี่แม่งวงดนตรีแบบนี้

แม็ก :  พี่ใช้คำเหมือนเราเป็นอาชญากรมาก (หัวเราะ)

เต้ : อีก 3-4 ปีพวกเราก็จะ 40 แล้ว แต่ยังเล่นด้วยแนวเพลงแบบนี้อยู่ ที่คาดหวังคืออยากให้มันทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะก็ไม่รู้ว่าร่างกายมันจะผุพังกันตอนไหน แล้วต้องเพอร์ฟอร์มกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ถ้ายังมีแรงกูก็อยากเล่นกับพวกมึงต่อไปเรื่อย ๆ แค่นี้เลย

ซีเกม : ความคาดหวังของผมต่อวงนี้คืออยากเล่นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน เวลาผมเห็นวงอย่าง Metallica / Slipknot เล่นกัน เอาจริง ๆ ผมอยากเป็นแบบพวกเขา ไม่ได้ว่าต้องดังเท่านะ แต่อายุ 50+ กันแล้วยังสุดได้ในแบบที่เขาทำได้ จะบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็คงไม่ได้ มันคงมีแหละ เดี๋ยวหลังก็เริ่มจะต้องไปตามกาลเวลา แต่ยังอยากหาวิธีเล่นไปได้เรื่อย ๆ ละกัน

ก้อง : ของผมคล้าย ๆ กันเลยครับ ความคาดหวังก็คือเรื่องการเล่น เรื่องสุขภาพ เดี๋ยวนี้ผมเจอกันก็จะอัปเดต โดยเฉพาะกับพี่เต้จะอัปเดตสุขภาพกันซะส่วนใหญ่ ช่วงนี้ผมปวดขา ปวดเข่า ปวดท้อง อายุก็เริ่มเยอะขึ้นทุก ๆ วัน ผมก็ขอแค่ยืนระยะยาว ๆ โดยที่ไม่มีใครเป็นอะไรไปซะก่อน

แม็ก : สำหรับผมจริง ๆ เรื่องสุขภาพผมไม่ค่อยเป็นห่วงครับ เพราะว่าอยู่กับพวกคนเถื่อนพวกนี้ ยังไงก็น่าจะอยู่ได้อีกยาว (หัวเราะ) จริง ๆ งานคอนเสิร์ตใหญ่ล่าสุดที่เพิ่งผ่านไปมีแค่ผมคนเดียวที่เส้นเสียงอักเสบบวม แต่เขาก็ใส่กันสุดดีนะ คนนึงก็โยกซะคอจะหัก คนนึงก็เอวจะหัก เรื่องเล่นได้นานผมรู้สึกว่าผมไม่ค่อยห่วง 

สิ่งที่ตัวเองคาดหวังมากกว่าคือเราอยากจริงใจแบบนี้กันไปเรื่อย ๆ เรารู้สึกอะไรแล้วเราก็อยากจะอย่างน้อยส่งไปหาคนฟังทุกคนด้วยความบริสุทธิ์บางอย่างออกไป เราอยากทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุกครั้ง พออายุมากขึ้นมันก็คงจะเป็นไปตามกาลเวลา แต่ผมเชื่อเสมอเลยครับ อายุวง TDR ที่กำลังจะ 15 ในปีหน้าเราทำมาได้ดีกันมาตลอด ใน Performance ที่เราทำได้ ในประสบการณ์ที่เรามี ในอุปกรณ์ ในอะไรก็ตามแต่ที่มันเกิดขึ้น ทุนที่เราเสียไป หรือแม้กระทั่งความตั้งใจที่เราทำไป มันได้ผลที่สำหรับผมพอใจกับมันมาตลอด ผมก็เลยรู้สึกว่า 

“อยากจริงใจแบบนี้ให้ได้ไปเรื่อย ๆ อยากทำเต็มที่อย่างงี้ไปได้เรื่อย ๆ อยากซื่อสัตย์กับทุกคนแบบนี้ไปได้เรื่อย ๆ แม้มันจะเหลือคนที่ฟังเราแค่จำนวนเป็นหลักหน่วย เหมือนกับตอนที่มันเริ่มต้นแรก ๆ” 

หลักหน่วยหรือหลักสิบต้น ๆ ผมก็ยังรู้สึกว่าผมก็จะทำแบบเดิม ก็จะเล่าเรื่องแบบเดิมในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แล้วก็ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนสี่คนคงจะเล่นในสิ่งที่ตัวเองเชื่อแบบสุดชีวิตเหมือนกัน แค่นั้นเองครับ แล้วก็ ถ้าจะคาดหวังอย่างสุดท้ายก็คือ มันมีเพลงเพลงนึงของวงชื่อ ‘จุดสุดยอด’ ก็คาดหวังว่าเพื่อนจะเล่นได้ (หัวเราะ) ขอบคุณครับ

ซีเกม : ผมตัดให้เลย เป็นไปไม่ได้ (หัวเราะ)

ก้อง / เต้ : (หัวเราะ)

แม็ก : เสียใจ 


UNLOCKMEN : พูดถึงเรื่องความจริงใจที่แม็กพูดมาเมื่อกี้ ถ้านับจากนี้ไปอีก 10-15 ปี อะไรที่ตัววงและเพลงของ TDR จะไม่มีวันเปลี่ยนไปเลย ไม่ว่าโลกจะหมุนไปแค่ไหน

แม็ก : อย่างแรกที่ผมรู้แน่ ๆ เลยไม่รู้ผมจะตอบถูกหรือผิดนะ แต่บุคลิกภาพของพวกเราที่เป็นอยู่ไม่เปลี่ยนหรอก ที่ผมพูดอย่างงี้ก็อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่แน่ใจว่าภาพจำของที่คนอื่นมองพวกเรามาเป็นยังไงกันบ้าง แต่พอพวกเรามองกันเองสี่คนเราจะเห็นว่า ซีเกมมันมีความเป็นหมอจิตวิทยา มันมีความขี้เล่นแต่พอจริงจังก็จริงจัง แล้วพอมันจะเครียดเดี๋ยวมันก็ทำให้เห็นเองว่าเครียด / พี่เต้ก็คงจะมีความกังวลในแบบที่ตัวเองเป็น หรือจะมีความพ่อค้า หรือมี Skill ประนีประนอมเป็นท่านทูต / ก้องก็เป็นพ่อที่ดีของลูก เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ คงเป็นคนพูดน้อย เป็นคนไม่ค่อยได้สื่อสารมากเท่ากับที่ผมหรือซีเกมพูด / หรือแม้กระทั่งตัวผมเองก็คงเป็นคนคิดมาก เป็นคนที่มีอะไรที่ต้องทบทวน มีอะไรที่ต้องรับผิดชอบ

ทุกอย่างที่ผ่านมาในชีวิตของแต่ละคนมัน Shape จนเราเป็นเราอย่างงี้ แล้วมันส่งผลต่อวิธีการเล่นดนตรี ส่งผลต่อวิธีการเล่าเรื่อง ส่งผลต่อวิธีการคิดงาน มันนานพอจนรู้สึกว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเราคงไม่เปลี่ยนไป แต่ที่แน่ ๆ คือเราซื่อสัตย์กับสิ่งที่เราจะทำ ผมเคยพูดว่าถ้าวันนึง TDR จะทำเพลงที่เป็นเพลงป็อป หรือเพลงที่ฟังง่าย เราก็จะสามารถทำได้เพราะเราอยากทำมัน ไม่ใช่เพราะเราถูกสร้างมาเพื่อให้ทำ เราถูกว่าจ้าง หรือเราถูกติดต่อแกมบังคับว่าต้องทำสิ่งนี้ เราก็จะรู้สึกว่าเราจะมีความป็อปในแบบของเรา ต่อให้มันเป็นความเป็นเราที่อยู่ในนั้นแค่ไม่กี่เปอร์เซนต์ แต่ผมจะพยายามให้มันไม่ต่ำกว่า 49% ของความเป็นเพลงนั้น ๆ ทั้งหมด เรารู้สึกว่าเราไม่เปลี่ยนไปแน่ ๆ 

แล้วก็เรื่องที่คงคิดว่าน่าจะเปลี่ยนแน่ ๆ ก็คงเป็นการเล่นมั้ง เราคงโยกสุดเหมือนกับตอนสมัย 18-19 ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่สุดท้ายแล้ววงดนตรีที่อยู่มานานหลายสิบปีมันไม่ได้อยู่ที่การโยก หรือท่าทางที่สุดขนาดนั้นแล้ว มันคือคุณยังเป็นคุณคนนั้นอยู่รึเปล่า และผมมั่นใจว่าอย่างน้อยที่สุด TDR จะไม่เปลี่ยนไปในส่วนนั้น กระดูกของเราจะอยู่ตรงนั้น

ซีเกม : พวกเราทำเพลงกันเราไม่เคยโกหกตัวเองว่าเราอยากสื่อสารอะไรออกมา เราแน่ใจว่าเราต้องการสื่อสารด้วยเนื้อหาแบบนี้ ด้วยอารมณ์เพลงแบบนี้ ทุกคนต้องเห็นพ้องต้องกัน ผมว่าเรื่องนี้มันจะไม่เปลี่ยน จริง ๆ วงเราแนวเพลงมันไม่ได้ล็อคขนาดนั้น-ล็อคหมายถึงว่าไม่ได้มาร์คว่าจะเล่นเมทัลเท่านั้น ก็อย่างที่ฟังกันมันจะหลากหลายใช่มะ อย่างที่แม็กบอก ถ้าวันนึงมันจะเป็นป็อป นั่นแปลว่าเพลงนั้นมันต้องเป็นเพลงป็อป เรื่องที่เราจะเล่ามันต้องเป็นเพลงป็อป ถ้าสี่คนโอเคที่จะไปอย่างงั้นมันก็จะไป ผมว่าเรื่องนี้เราจะโกหกตัวเองไม่ได้

แม็ก : ก็รู้สึกว่าเหมือนเอาแต่ใจนิดนึงนะ อย่างเพลง ‘ในชีวิตนี้’ ที่มีความเป็นแจ๊ซ ผมรู้อยู่กับใจเลยว่าวงไม่ถนัด แม้กระทั่งตัวเองก็เล่นแจ๊ซไม่ถนัดแน่ ๆ มันไม่ได้ถึงกับสร้างความปวดหัวที่สุดขนาดนั้น มันคือสิ่งที่ไม่ถนัดเฉย ๆ แต่ผมไม่สามารถโกหกตัวเองได้จริง ๆ ว่ามันต้องเป็นเพลงที่ขับเคลื่อนด้วยดนตรีประเภทอื่น มันเป็น Blue Rock ไม่ได้ มันเป็น Swing Rock ไม่ได้ มันต้องเป็น Traditional Pop ที่ติดแจ๊ซขึ้นมา มันต้องเล่าเรื่องด้วยวิธีนี้เท่านั้น แล้วที่เหลือก็เป็นเรื่องที่ผมต้องเอาเหตุผลไปคานกับเพื่อนในวง “ช่วยเล่นให้กูเถอะ”(หัวเราะ)

ก็เลยคิดว่าผมไม่เคยเชื่อว่าพวกเราจะทำเพลงได้แค่แนวเดียว ถึงแม้ว่าสิ่งที่เราชอบที่สุดมันจะเป็นร็อกหรือเมทัล แล้วความโชคดีของผมคือผมดีใจที่พวกเราสี่คนเราเปิดกว้างมาก ๆ เช่น ล่าสุด ‘ก้องอุดม ใจทัศน์กุล’ คัฟเวอร์เพลง Rockstar ของ Lisa ผมก็รู้สึกว่ามันก็ถูกต้องหนิ แม้กระทั่งพี่เต้ที่ชอบ Post Rock ซีเกมก็เล่นตั้งแต่ Folk Song ยันเป็นนักร้อง มันร้องเพลงดีกว่าผมด้วย แต่ผมแค่ยังไม่ได้ทำเพลงให้มันเฉย ๆ เราอยู่ด้วยกัน เลื่อยขาเก้าอี้กันเองครับ วันหนึ่งผมอาจจะถูกถอดถอนจากการเป็นนักร้องก็ได้ (หัวเราะ)

เต้ : แล้วที่รู้สึกว่าไม่เปลี่ยนจริง ๆ เลย ไม่ว่าจะ 10 ปีร่างกายจะสึกก่อนยังไง แต่ผมเชื่อว่าถ้าคนไปดู TDR คุณจะได้รับ Emotion ในมวลเดิม แต่แค่พวกผมอาจจะไม่ได้ดุเหมือนเดิมแล้ว หมายถึงการเพอร์ฟอร์มนะ แต่ผมเชื่อว่าการส่งอารมณ์ของพวกผม แววตา สีหน้า ท่าทาง ผมว่ามันจะไม่เปลี่ยน 

แม็ก : ไม่รู้ทำไมผมรู้สึกว่าพอเราอายุมากขึ้นแล้วจะซื่อสัตย์กับตัวเองมากขึ้น เหมือนอย่างวันที่เราได้เห็น Metallica มันจะมีโชว์นึงที่ James Hetfield เขาพูดออกมาว่าตัวเองยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้ดี จนร้องไห้ข้างบนเวที มันคือการโอบรับว่าตัวเองอาจจะไม่ได้มีสภาวะจิตที่นิ่งหรือไม่ได้สดใหม่ มีความกังวล มีความกลัว เอาจริง ๆ สิ่งที่เราไม่กล้าคาดหวังเลยคือ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มันจะมีคนอยู่กับเรามากน้อยเท่าไหร่ เราไม่สามารถควบคุมตัวแปรนี้ได้ แต่สิ่งที่เราควบคุมได้และเรารู้สึกว่าเราน่าจะมั่นใจได้คือ เราคงพยายามเหมือนเดิม เราพยายามถ่ายทอดจิตวิญญาณที่เรามีออกไป


UNLOCKMEN : จนถึงวันนี้ TDR เติบโตไปอย่างไรบ้าง แล้วมันส่งผลต่อการเติบโตของสมาชิกแต่ละคนยังไง

แม็ก : การเติบโตของ TDR ก็คงเริ่มต้นจากการที่ผมเคยคิดว่าคงมีคนฟัง TDR แค่ไม่เกิน 15 – 20 คน เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตก็คงมีคนดูไม่เยอะ จะมีคอนเสิร์ตให้เล่นรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย แล้วมันจะมีวงจริง ๆ รึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะว่าพอทำคนเดียวปุ๊บ แล้วใครมันจะมาอยากเล่นอะไรที่เราเขียนวะ ผมจะชอบคิดว่ามันคือโชคดีด้วยที่มีคนตอบรับในสิ่งที่เราเขียน ตอบรับในสิ่งที่เราสื่อสารออกไป จากหลักสิบ มันค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ แล้วในบรรดาการเผยแพร่ผลงานหรือการส่งต่อเครื่องมือทางการตลาดที่ผมมีความเชื่ออะไรบางอย่างประหลาด ๆ ว่าสิ่งที่มันเป็นการส่งต่อที่ดีที่สุดคือปากต่อปาก 

พวกเราโชคดีที่เราส่งต่อผ่านปากต่อปากว่าวงนี้เพลงโอเค วงนี้เพลงดี เราชอบเพลงวงนี้ ไปดูสดให้ได้นะ มันเริ่มไปเข้าหูผู้จัด เริ่มไปเข้าหูคนฟังคนอื่น ๆ แล้วมันก็ค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งเราไปเล่นในงานที่ไม่มีคนรู้จักเราเลย แต่เขาก็อยู่ฟัง บางครั้งเราไปเล่นในงานที่มีคนรู้จักเราบ้าง หรืออาจจะเคยได้ยินต่อกันมาแล้วเขามาชอบในวันนั้น มันก็เลยโต ถ้าในแง่ของปัจจัยภายนอกมันโตแบบนั้น 

ส่วนปัจจัยภายในก็คงคิดว่าเราชัดเจนในตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าเราไม่ได้อยากจะเขียนเพลงที่เป็นเพลงรัก เพลงความสัมพันธ์ การเล่าเรื่องแบบที่คนอื่นเล่า หรือแม้กระทั่งเราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะต้องเขียนเพลงที่ด่ากราด สาดเสียเทเสีย เราแค่อยากเขียนเพลงที่มีเหตุผลของมัน ทำไมเราถึงต้องด่า ทำไมเราถึงเขียนเพลงรัก ทำไมเราถึงสงสัยกับสิ่งนี้ แล้วเราเอาสิ่งนั้นมาถ่ายทอดได้ ใน Skill ที่สูงขึ้นตามประสบการณ์ ในประสบการณ์ที่สูงขึ้นจากการทำงาน จากการได้ออกไปเล่น จากการได้ทดลองอะไรมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับผมรู้สึกว่าผมโตขึ้นในทางนี้ แล้วก็ถ้าผมคิดในนามวงก็คือ กลับไปที่ประโยคแรกที่ตอบครับ จากที่เคยคิดว่าคงมีคนดูไม่เกิน 15 – 20 คน วันที่เราแสดงคอนเสิร์ต ‘ทัศนศึกษา’ ที่ผ่านมา มันคือหลัก 2000+  แล้วเป็นงานที่เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ที่เสียเงินซื้อบัตร มันมีคนเยอะขนาดนั้น ผมยังมองว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับผมอยู่ดี แต่ถามว่ามันคือการเติบโตมั้ย ผมคิดว่าผมพูดไม่ผิด ผมว่ามันคือการเติบโตที่ใหญ่ที่สุดครั้งนึงที่เราเคยมีมา 

ซีเกม : ผมเคยพูดกับแม็กว่าเราเป็นเหมือนตัวตุ่น เราทำหน้าที่ขุดดินไปเรื่อย ๆ แล้ววันนึงพอเราหันมาข้างหลังมันมีคนตามลงมาพอสมควร หรือพี่เต้เคยบอกว่าเราเหมือนสร้างเกาะส่วนตัวไว้ ไม่ได้โปรโมทว่าจะให้ใครเข้ามานะ แต่ทำสะพานไว้ หันไปอีกทีมันมีคนข้ามมาหาเราด้วย

ผมว่าสิ่งที่ผมเติบโตจาก TDR ตลอดชีวิตการเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก ผมใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการทำหลากหลายสิ่งมาก ตั้งแต่ผมเริ่มเล่นดนตรีครั้งแรก มันคือเครื่องมือในการที่ผมได้เจอคนที่มีแนวคิดเหมือนกัน จากเพื่อนในห้องเรียนห้าสิบคน มันทำให้ผมเจอกลุ่มประมาณสี่ห้าคนที่เราอยู่ด้วยกันได้ – ต่อมามันทำให้ผมรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่มันทำให้เราสามารถสื่อสารบางอย่างที่คำพูดมันพูดไม่ได้ คนเราพูดเก่งไม่เท่ากัน แต่พอมันผ่านตัวเพลงมันก็สื่อสารแบบนี้ได้ ก่อนหน้านี้ผมเห็นสิ่งนี้ไม่ชัด แต่พอมากับ TDR มันมีคนที่ฟังเพลงเราแล้วเขาอินในรูปแบบที่เราไม่คิดว่าเขาจะอินขนาดนั้น หรือเขาตีความในรูปแบบที่เราไม่คิดว่าเพลงเรามันสื่อสารแบบนั้นได้ด้วย โห อันนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ตอนเรียนผมก็ไม่รู้ว่ามันทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย ต้องบอกว่าเคยได้ยินแต่ไม่เคยเจอกับตัว มันทำให้เหมือนเติมความรู้ให้ตัวเอง ผมถือว่านี่คือการเติบโตของผมเหมือนกัน

เต้ : ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวพี่ได้เรียนรู้จากแม็กจากเพื่อน ๆ มันทำให้คิดกับตัวเองว่า ‘การเป็นธรรมชาติดีที่สุด’ เพราะว่าพี่ได้เรียนรู้ในเคสที่พี่เข้ามาอยู่ในวงนี้โดยที่ตัวเองไม่ได้เรียนเอกดนตรีเหมือนพวกเขา แล้วเราก็มีความกดดันในตัวสูงว่าจะเล่นเข้ากับพวกมันได้มั้ยนะ ชอบกดดันตัวเองบ่อย ๆ แต่ในทุกครั้งที่คิดงานหรือว่าไปเล่นอะไรกัน ช่วงแรก ๆ ก้องหรือทุกคนในวงก็บอกว่า พี่เต้ถ้าท่อนนี้เล่นไม่ได้ก็เล่นสายเปล่าไปเลย “ได้ด้วยหรอ?” นี่พวกมึงเอกดนตรีนะเนี่ย พวกมึงมาพูดอะไรกันแบบนี้วะเนี่ย ! พอมันพูดคำนั้นมาพี่ไม่ได้กดดันอะไรอีกเลย แล้วพวกมันไม่เคยกดดันอะไรพี่เลย ในการคิดงานต่าง ๆ แม็กก็ไม่เคยมากดดันอะไร ให้เราเป็นธรรมชาติในแบบที่เราเป็น อันไหนพี่เล่นไม่ได้ก็ให้ก้องอัดแทน (หัวเราะ)

ก้อง : ถ้าอันไหนผมเล่นไม่ได้ พี่เต้ก็เป็นคนเล่น (หัวเราะ)

เต้ : พอเป็นธรรมชาติแล้วมันดีสุดจริง ๆ แล้วมันก็ใช้กับเรื่องอื่นได้ด้วยนะ อย่างสมมติว่าเพื่อนชอบกินอันนี้ กูไม่ชอบ มึงก็ไม่ต้องบังคับเขา หลาย ๆ อย่างบางทีตอนเด็กพี่อาจจะมีมุมนิสัยไม่ค่อยดี แต่พอมาได้เรียนรู้ กับวงมันดีหวะ กลับมาเหมือนแก้นิสัยตัวเองได้ด้วย การเติบโตของวงก็เหมือนที่แม็กกับเกมพูด พี่เชื่อว่าเพลง TDR มันดีอยู่แล้ว จากตอนที่คิดหวังว่าวันหนึ่งเพลงวงนี้คนน่าจะได้เห็นเยอะ ๆ นะ จากที่ได้มามั่วงานกับวง ได้อัดเพลงความเยาว์ วงได้มาร่วมกับ GeneLab เฉย แล้วก็มาได้ทำอัลบั้มสิบนาทีห้าเพลงเฉย งงมาก จนล่าสุดที่เดอะมอลล์งามวงศ์วานคอนเสิร์ตคน 2000+ โชว์วันนั้นก่อนเล่นประมาณ 10 นาทีผมร้องไห้หนักเลย มันมีความสุข ภาพเก่า ๆ ตั้งแต่ร่วมกับพวกมันมา เหตุการณ์ในชีวิตต่าง ๆ มันย้อนกลับมาหมดเลย จากคนดู 50-60 คน แล้วต้องฮึบเพราะเดี๋ยวแย่ ก็ถือว่ามันเป็นโบนัสสำหรับชีวิตการเล่นดนตรีมาก ๆ แล้ว เรื่องทุกอย่างที่ผ่านมาตั้งแต่ได้อยู่วง

ก้อง : ของผมคล้าย ๆ กับของทุกคนครับ แล้วก็คล้ายกับของพี่เต้ซะส่วนใหญ่ เมื่อก่อนผมค่อนข้างเป็นคนเอาแต่ใจ ผมเล่นกีตาร์เคยทำวงมาหลายวง และโดยส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนนำ ทำไมกีตาร์อีกคนเล่นไม่ได้อย่างเราวะ ทำไมมือเบสเล่นตามกูไม่ได้วะ เวลาอัดก็ด่าเสียเลยครับ ทะเลาะกัน อันนี้พูดถึงวงเก่านะครับไม่ใช่วงนี้ (หัวเราะ) แล้วเวลาทำงานหรือทำเพลงผมจะใส่รายละเอียดกีตาร์เยอะถม ๆ พอเวลาผ่านมาได้ทำงานเยอะขึ้น ได้ทำงานกับ TDR เริ่มได้มาอยู่ค่ายใหญ่ ผมเลยเปลี่ยนมุมมองจากที่โฟกัสแค่พาร์ทของตัวเองจะต้องเล่นเยอะ จะต้องเด่น กลายมาเป็นมองภาพรวมที่ใหญ่ขึ้น และการเติบโตของวงพูดง่าย ๆ วันที่ TDR มีคนมาต่อคิวรอดูคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเราจำนวนขนาดนั้น มันเซอร์ไพรส์มาก ๆ ในชีวิตการเล่นดนตรีของผม


ตลอดการพูดคุยกับ TDR จนถึงช่วงเวลาก่อนที่เราจะลากัน วงดนตรีที่ผมทำข้อมูลมาก่อนหน้าแล้วพบว่าความเป็น Bandmate ของทั้ง 4 คนน่าศึกษามากกก นี่แทบจะไม่ใช่วงดนตรีอย่างเดียวละ พี่รับจ็อบกลุ่มไมโครโฟนได้เลยอะ เพราะฉะนั้นช่วงสุดท้ายก็ขอรู้หน่อยเถอะ ว่าความเป็นเพื่อนร่วมวงสำคัญต่อการทำงานเพลงของ TDR แค่ไหน

แม็ก : ผมตอบคำถามนี้โดยการ Based On ความคิดตัวเองเป็นหลัก ‘มีผลแน่นอน’ เพราะว่าความสัมพันธ์ที่ดีในวง ผมมองว่ามันอาจจะไม่ใช่ทุกอย่างแต่เป็นพื้นฐาน ทำไมผมถึงรู้สึกอย่างนั้น เพราะว่าการที่เพื่อนในวงมีความเป็นทีมเวิร์คที่ดีและมีความสามัคคีที่ดี มันมีประโยชน์หลายทาง ทั้งในแง่ของการช่วยเหลือเกื้อกูลกันไม่ใช่แค่เฉพาะในเรื่องของชีวิตของวง แต่มันอาจจะเป็นเรื่องของชีวิตจริงด้วย เมื่อกี้ที่ก้องบอกว่า ก้องคุยกับพี่เต้เรื่องสารทุกข์สุขดิบ เรื่องสุขภาพ หรือแม้กระทั่งผมกับซีเกมคุยกันเรื่องเรื่องจิตวิทยา หลายเรื่องอยู่เหมือนกันในระหว่างที่ทำอัลบั้มสองชุดล่าสุด 

ในช่วงที่ผมยังเด็กกว่านี้และผมยังไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมมีความอ๊อง ๆ อะไรบางอย่างอยู่แล้ว ซีเกมก็เป็นเหมือนหมอจิตผมจริง ๆ ในตอนนั้นเหมือนกัน เพราะว่าตอนที่ผมมีปัญหาผมก็คุยกับมัน แล้ว หลาย ๆ ครั้งทีเดียว คนที่เตือนสติเนี่ยจะมีพลอยภรรยาผม แล้วก็มีซีเกมที่เป็นคนเหมือนเตือนสติว่าตกลงตอนนี้เป็นไร แล้วทำไมถึงรู้สึกอย่างงั้น มันก็ทำให้เราได้ทบทวนตัวเอง ตั้งแต่วันที่ซีเกมมันเล่นด้วยกันจนถึงตอนนี้ เกมมันพูดติดตลกอยู่คำนึง ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงด้วย ตอนพี่เต้เข้ามาเป็นสมาชิกวงจะมีประกาศอย่างเป็นทางการที่เพจ แต่จนถึงทุกวันนี้ ผมไม่เคยประกาศว่าซีเกมมันเป็นสมาชิกวงเลย ไม่ใช่กูลืมนะ แต่มันเหมือนชิน (หัวเราะ)

มันเหมือนกับมันกลายเป็นว่าเรามองเรื่องความสัมพันธ์ในวงเป็นเรื่องที่มันเป็นไปตามธรรมชาติเหมือนกัน พออยู่กับมันไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็รู้สึกว่าสบายใจที่จะอยู่ มันจะมีเหตุที่รู้สึกว่าคนนี้อยู่ด้วยได้ และมันจะมีเหตุที่รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องของการบังคับขู่เข็ญให้มาอยู่ด้วยกัน มันไม่ใช่เรื่องของการใช้สิทธิ์ก่อนหลัง อำนาจอาวุโสอะไรก็ตาม แต่มันคือเพื่อนที่แชร์กันได้ มันมีอะไรที่มันคุยกันได้มันก็คุย มันมีอะไรที่ถามกันก่อนได้ก็ถามกันก่อน 

มันมีผลต่อวงตรงที่เพราะว่าเรารู้ว่าเพื่อนมันจะทำแบบนี้เราจึงสามารถทำแบบนี้ได้ เพราะเพื่อนรู้ว่าเราจะทำแบบนี้ เขาจึงสามารถซัพพอร์ตเราได้ เราต่างซัพพอร์ตกันและกัน เราต่าง Take Lead Role, Support Role สลับกันไปมา แล้วพอเป็นสี่คนนี้ผมรู้สึกว่าผมไม่เคยบอกเลยในปัจจุบันนี้ว่าทุกคนต้องเล่นแบบไหน ต้องทำอะไร ต้องใส่สุดเต็มที่ ผมไม่เคยบอกเลยว่าเราต้องโยกพร้อมกัน หลาย ๆ ครั้งที่ผมชอบดูวิดีโอที่มีคนถ่ายพวกเราตอนที่เล่นดนตรีอัปโหลดลงโซเชียลเน็ตเวิร์ค ผมมักจะเห็นก้องกับพี่เต้โยกหัวพร้อมกัน หมุนไปทางเดียวกัน ในรัศมีที่เท่า ๆ กัน ในไทม์มิ่งที่พร้อม ๆ กัน โดยที่แบบก็ไม่ได้นัด มันเป็นภาพที่สำหรับผมรู้สึกว่า “เห้ย เชี่ยเท่หวะ” คนเราที่ไม่ได้คุยกันบนเวทียืนอยู่ห่างกันเป็นสิบ ๆ เมตร แต่ทำสิ่งนี้ได้พร้อมกัน 

แล้วก็วงดนตรีที่แข็ง ๆ แรงหลาย ๆ วงที่ผมรู้จักและเห็นและยังคงอยู่จนถึงตอนนี้ ผมพบความสวยงามตรงนี้หมด มันไม่ใช่แค่เรื่องของการออกท่าทาง มันเป็นเรื่องของความเป็นกลุ่มก้อน มันไม่มีใครนำใครที่สุด และผมก็ไม่อยากนำใครด้วย ต่อให้ผมบอกผมเป็นสมาชิกตั้งแต่แรกสุด เป็นผู้ก่อตั้ง แต่ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นลีดเดอร์เลย เพราะว่าเราจะนำไปทำไมในเมื่อถ้าเราไปพร้อมกันมันทรงพลังกว่า 

ก้อง : สำหรับผมมันก็มีส่วนสำคัญครับ แต่ในมุมผมก็คือผมเชื่อในพวกมันสามคน เชื่อว่าแม็กจะทำอะไร เกมจะทำอะไร พี่เต้จะทำอะไร ผมจะเชื่อว่าที่ทุกคนทำมันดีมีเหตุผลรองรับนะ ยกเว้นจังหวะยกที่แบบมันไม่ดีเลย (หัวเราะ) เปล่า ๆ ถ้าผมไม่เชื่อจริง ๆ ผมไม่เล่นหรอกครับจังหวะยกอะ 

เต้ : เวลาเราอยู่ด้วยกันการทำงานกันในห้องอัด ผมว่าเรามีบรรยากาศที่ดีในการคุยกัน มันก็ส่งผลในการทำงานด้วย แล้วก็เวลาไปอัดเพลงเราก็สนุกกันในห้องอัดนั้น หลาย ๆ ครั้ง มันกลายเป็นว่าเหมือนที่ก้องพูด มันเป็นเรื่องเคมี เหมือนเราเชื่ออะไรจะคล้าย ๆ กัน แล้วก็โตมาตรงยุคเดียวกัน เพลงที่ฟังมันหล่อหลอมพวกเราสี่คนมาในทิศทางนี้ ผมว่ามันมาจากเคมีที่เรามีด้วยกันแล้วก็ความเข้าถึงในดนตรีที่ตัวเองเล่น มันส่งผลออกไปสู่หน้าเวทีเสมอ อันนี้คือที่ผมรู้สึกจริง ๆ นะ 

แต่อันนี้ส่วนตัวนะ ผมว่าทุกวงมันต้องมีผู้นำและต้องมีผู้ตามที่ดี แม้แม็กจะพูดว่าเราไปด้วยกันตลอด อันนั้นก็จริง อันนั้นผมคิดว่ามันเป็นเรื่องหลักการทำงานและก็การจะเล่น เพราะเราก็จะมีสไตล์ของแต่ละคน แต่ถ้าเริ่มจากหลังบ้านจริง ๆ ผมว่าเราสามคน ก้อง เกม เต้ จะเชื่อแม็กมาก เราเชื่อในเซนส์มันมาก ๆ แต่ถ้ามันมีอะไรแหม่ง ๆ ผมก็ขัด เรื่องนี้ก็มีส่วนเพราะไม่งั้นขึ้นนำกันหมดก็ตีกันตาย ผมว่ามีหลาย ๆ วงที่มีแต่คนเก่งๆ  แล้วแข่งกันจะนำสุดท้ายไปกันไม่รอด

ก้อง : เวลาอัดเพลงถ้าแม็กบอกว่าอันไหนไม่ดี ผมลบเลย ซึ่งเมื่อก่อนทำไม่ได้ “ถ้ามึงไม่ให้กูเล่นงั้นกูไม่เล่น” ทุกวันนี้ถ้าแม็ก เกม หรือพี่เต้บอกว่ายังไม่ใช่ผมตัดเลย แล้วผมไม่คิดไรด้วย แล้วก็จะมีพี่กร Sound Engineer เขาจะเป็นอีกหนึ่งแรงอีกหนึ่งสมองที่คอยบอก สำหรับผมง่าย ๆ เลยครับ สมาชิกทั้งสี่รวมพี่กรด้วย ถ้าเขาไม่ผ่านสักคนก็ไม่ต้องหวังเลยครับว่าใครจะมาชอบ ผมคิดแค่นี้ทำยังไงก็ได้ให้เพื่อน ๆ ชอบก่อน


จริง ๆ ก่อนคุยกับ The Darkest Romance (ขอปิดท้ายด้วยชื่อแบบเต็มยศ) ตัวเราเองที่เป็นผู้สัมภาษณ์ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้สำเร็จในวงการดนตรีอะไร แต่การมี Bandmate ที่เข้าใจในทุกอย่างของกันและกัน ส่งผลให้ทุกเพลงที่ทำร่วมกันมาไม่เคยมีเพลงไหนที่รู้สึกเกลียดหรือไม่กล้าที่จะฟังเลยสักครั้ง พูดได้แค่ว่าดีใจ ที่ TDR เองก็เชื่อในสิ่งนี้ และปล่อยผลงานเพลงที่มีคุณภาพมีผลต่อความรู้สึกของคนฟังออกมาเสมอ ในขวบปีที่ 15 ที่กำลังจะมาถึงของวง เราตั้งตารอเหลือเกินกับอะไรก็ตามที่แม็ก พี่เต้ ก้อง และซีเกมอยากจะสื่อสารต่อคนฟัง .. ไม่เอา ๆ ปิดสวยเกิน ขอปิดแบบ TDR STYLE โดยให้แม็กเป็นคนจบบทสัมภาษณ์ดีกว่า

“ขอบคุณ UNLOCKMEN นะครับ การสัมภาษณ์น่าจะจบเร็วกว่านี้สัก 30 นาทีถ้าพวกเราไม่ไร้สาระ ขอโทษด้วยครับ ขอบคุณครับ (หัวเราะ)”

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line