Life

Toys For Boys : ‘ต้อย ก็มาดิคร้าบ’ ความสัมพันธ์ของลูกผู้ชายกับราชาแห่งท้องถนน (Part2)

By: GEESUCH October 14, 2023

ความเดิมจาก Part 1 (ใครยังไม่ได้อ่านกดตรงนี้) : เราคุยกับพี่ ‘ต้อย ก็มาดิคร้าบ’ ย้อนกลับไปในวันที่เขาเป็นเพียง ‘ธงชัย คะใจ’ ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เอาตัวเองกระโจนไปในเรื่องราวมากมายอย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และสู้กับทุกอุปสรรคในชีวิตจนสามารถเคลียร์ได้ทุกสเตจ ซึ่งเรียงไทม์ไลน์ไว ๆ ได้ตามนี้

โดนเศรษฐกิจฟองสบู่แตกปี 2540 – ขายอาหารตามสั่งติดกับตึก Workpoint – ได้เป็นคนคุมกองเชียร์ของ Workpoint – ลาออกไปอยู่ Triple Two – ตามเมียไปอยู่อเมริกา – ตัดสินใจทำรายการออนไลน์กับ ‘ตั๊ก-บริบูรณ์’ – กลายเป็นผู้กำกับรายการตลกที่ดังที่สุดรายการหนึ่งของไทยตอนนี้ ก็มาดิคร้าบ

ใน Part 2 อย่างที่เคยเกริ่นเอาไว้ (คนที่ยังไม่ได้อ่านต้องกดตรงนี้แล้วนะ) เราอยากพาชาว UNLOCKMEN ไปรู้จักกับพี่ต้อยให้มากขึ้น เพราะในบทสัมภาษณ์ก่อนหน้าเป็นเพียงบทหนึ่งของชีวิตเขา ถ้าตัดชีวิตการทำงานพาร์ท ‘ผู้กำกับ’ ออกไป พี่ต้อยคือผู้ชายที่หลงใหลในมอเตอร์ไซต์ฮาร์เลย์ เพราะว่าชีวิตผูกพันธ์กับฮาร์เลย์ตั้งแต่จำความได้ และจะขอมีฮาร์เลย์อยู่ในชีวิตตลอดไป !


ลูกชายคนโตพี่เอง ชื่อ Road King เป็น Harley Davidson รุ่น Road King ปี 2013 เป็นปีที่เครื่องขยับขึ้นมาจาก 96 Cubic เป็น 103 Cubic มันคือฮาร์เลย์ที่อยู่ในตระกูล ‘ทัวร์ริ่ง (Touring)’ ก็คือเป็นรุ่นใหญ่สุดของฮาร์เลย์ รองลงมาจากนั้นก็จะเป็นรุ่นอย่าง ‘ซอฟต์เทล (Soft Tail)’ ไล่ความใหญ่ลงมาเรื่อย ๆ หลัก ๆ ที่ชอบคันนี้เพราะรถทัวร์ริ่งมันขี่ง่าย เจอทางไกลนี่สบายเลย อีกอย่างนึงคือรถมันหนักเจอลมก็ไม่ค่อยแกว่ง เจอหลุมเจอเนินได้หมด 

มันเป็นวันอาทิตย์ที่ฝนทำท่าว่าจะตกตามฤดูฝนที่ยาวนานปี 2023 ของไทย เรานัดเจอกับพี่ต้อยที่ Home Thai Garage (โฮมไทยการาจ) อู่ฮาร์เลย์เพียงหนึ่งเดียวที่เขาใช้บริการ เพราะนอกจากเรื่องงานฝีมืออันยอดเยี่ยมของช่างซึ่งดูแลฮาร์เลย์ให้เหล่าคนดังมาแล้วมากมาย ความเป็น ‘ครอบครัว’ ของบรรดาช่างที่เป็นคนในกลุ่มมอเตอร์ไซต์เดียวกัน ทำให้พี่ต้อยเอาลูกชายคนโตเข้าอู่นี้ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่คลอด และไม่ตัดสินใจไปที่อื่นอีกเลย

เราขอให้พี่ต้อยแนะนำ Road King ให้ทีม UNLOCKMEN รู้จัก ภายใต้ความสง่าของลูกคันนี้ที่พ่อภูมิใจ ผ่านการแต่งในแบบที่พี่ต้อยบอกว่า “มันหาความเป็นเดิมไม่ได้แล้วว่ะ พี่ทำไปเยอะมาก” แล้วเขาทำอะไรไปบ้าง เราถามต่อ

ที่เห็นหลัก ๆ เลยคือแฮนด์ของรถสูงน่าจะสัก 20 นิ้ว ซึ่งสูงเกินกว่านี้จะขี่ไม่ได้ละนะ จะเลี้ยวไม่ได้ ตอนทำมาวันแรกยังกังวลอยู่เลยว่าจะจะยูเทิร์นได้มั้ย ขี่ยากลำบากนะ แต่นาน ๆ ไปมันก็ชินเอง ถ้าถามว่าเมื่อยมั้ย ? เมื่อยมาก 555 อย่างล้อนี่ก็เปลี่ยนเป็นชุดที่ 2 เมื่อก่อนเป็น Big Spoke มันจะเป็นซี่ลวดใหญ่ ๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นซี่ลวดบาง ยางขอบขาวนี่ก็หายากแล้วนะ ตอนนั้นได้มาคู่ 16,000-17,000 บาท แต่งเป็นแบบ Chicano Style อะไหล่บางอย่างของคันนี้ก็เป็นสิ่งที่พี่ขนมาจากตอนอยู่อเมริกา 

สปอยล์ล่วงหน้า พี่ต้อยยังคงเล่าถึงลูกชายของเขาต่อไปอีกหลายนาที ซึ่งจะกินไปอีกหลายบรรทัดในบทความนี้ (บอกแล้วว่าเขาภูมิใจในตัวลูกชายจริง ๆ) เราขอให้พี่ต้อยพอเท่านี้ก่อน เพราะมันถึงเวลาที่ทุกคนจะได้รู้คำตอบของคำถามที่ว่า “อะไรทำให้พี่ต้อยหลงใหลในรถมอเตอร์ไซต์ฮาร์เลย์?” เราจะ Flash Back กลับไปที่อดีตของพี่ต้อยกันอีกครั้ง ย้อนไปไกลยิ่งกว่า Part 1 และเป็นธงชัย คะใจที่เปี่ยมไปด้วยแพชชั่นมอเตอร์ไซต์แบบทุกช่วงจังหวะของชีวิต


ตั้งแต่เด็ก ๆ อายุไม่กี่ขวบเลย ตอนนั้นน่าจะอยู่ประมาณประถมต้น ป.2 หรือ ป.3 บ้านพี่อยู่กำแพงเพชรเป็นร้านค้าติดถนนสายเอเชียห่างประมาณสัก 20 เมตร วันนั้นเขามีขบวนมอเตอร์ไซต์ขับขี่ผ่านมาถนนเส้นที่บ้าน ตอนนั้นพี่เรียกว่า ‘ช็อปเปอร์’ นะ เพราะเรายังไม่รู้ว่าฮาร์เลย์คืออะไร โห เสียงนี่ลั่น พื้นมันสั่น ฮึ้ววว ! (ทำเสียงฮาร์เลย์) พี่กำลังเล่นอยู่ตรงไหนไม่รู้แปปเดียววิ่งไปข้างถนน แล้วก็โบกมือให้พวกเขา คนขับช็อปเปอร์มากัน 20-30 คัน 

มันก็กลายเป็นความฝันตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่าเราต้องทำให้ได้ คิดเลยว่าวันนึงต้องขี่ไอช็อปเปอร์เนี่ยให้ได้ ทั้งหมดมันเริ่มจากตรงนั้น


พี่ต้อยเล่าเหตุการณ์ที่ทำให้หลงใหลฮาร์เลย์ด้วยแววตาที่เป็นประกาย พร้อมเล่าได้เป็นฉาก ๆ เหมือนว่าเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง แต่ทว่า เขาก็ใช้เวลาหลังจากนั้นอีกนานกว่าจะรู้ว่าช็อปเปอร์ที่เขาเรียกในตอนเด็ก มันคือมอเตอร์ไซต์ Harley Davidson เพราะกระแสของหนังเรื่องคนเหล็ก The Terminator (1984) ที่ไฮป์ในไทยสุด ๆ นั่นเอง … ตั้งแต่วันนั้นชีวิตของพี่ต้อยกับยานพาหนะสองล้อก็แยกจากกันไม่ขาดอีกเลย

ตอนเด็ก ๆ พ่อมี Yamaha SR ตัวที่เขาเล่น ๆ กันอะนะ อย่างเท่ แล้วพอเราโตขึ้นมาหน่อยประมาณ ม.1 หรือ ม.2 พี่เอา Yamaha Y80 รถที่แม่ใช้ซื้อกับข้าวที่ตลาดไปแต่งซะ เปลี่ยนท่อใหม่ โอ้โห ! โดนตีกระจายเลย 555 คิดว่าเขาคงไม่อยากให้ลูกขี่มอเตอร์ไซค์ด้วยมั้งนะ แล้วหลังจากนั้นแม่ก็จะมีมอเตอร์ไซค์อีกคัน เราก็แอบเอาไปแต่งอีก แต่จำชื่อรุ่นไม่ได้ละคันนั้น เอาไปบิดจนไฟขาดโดนตีเหมือนเดิม 

จนมา ม.4 แม่ก็ซื้อมอเตอร์ไซค์ให้พี่กับพี่ชายคนละคันเพราะต้องใช้ไปโรงเรียน ก็เอาไปแต่งอีก 555 จำได้เลยว่าตอนนั้นได้เงินไปโรงเรียนวันละ 20-30 บาท พี่ใช้กินแค่ 5 บาท ที่เหลือเก็บเอาไว้แต่งรถ ก็อยู่รอดด้วยการขอข้าวเพื่อนกินเอา คือเราก็ทำตัวเก๋า ๆ หน่อย “เห้ย มึงขอป้าเขามาเยอะ ๆ เลย เดี๋ยวกูกินด้วย” เวลาอยากกินไอติมก็ “ไม่มีตังเลยลุง ขอเยอะ ๆ หน่อยนะ” ทำอย่างงั้นอยู่หลายเทอมเลย ตอนไปแต่งรถถ้าไม่มีเงินก็ขอช่างเขาผ่อนเป็นรายอาทิตย์อีก คือของมันต้องแต่งอะ 

พูดถึงรถคันแรกที่พี่แต่งแล้วสุดทางเลยคือ Nova S รุ่นแรก แต่งแบบสุดจริง ในสมัยนั้นมันยังไม่มีคำว่าเด็กแว๊นนะ แต่เรานี่คือเด็กแว๊นของยุคนั้นเลย ทำทุกอย่าง เปลี่ยนสี เปลี่ยนล้อ ตัดตูดออก ไม่ใส่ป้ายทะเบียน ปาดเบาะบาง โหลดหน้า สีต้องสะท้อนแสง รถต้องชุบโครเมียมทั้งคัน เอาเป็นว่ารถเราแม่งต้องสวยที่สุดในโรงเรียน แต่สิ่งที่จะมาคู่กันก็คือตำรวจ เรียกว่าโดนจับจนรู้จักกัน

UNLOCKMEN : พี่ต้อยเคยโดนตำรวจจับด้วย ? แล้วไม่โดนยึดรถเหรอครับ

ในยุคนั้นมันไม่ถึงขั้นยึดรถ ก็ปรับกันไป แล้วแม่พี่เขารู้จักตำรวจเยอะไง “ลูกเจ๊ไหมเอาอีกแล้วนะ” แล้วเราก็แต่งมาเรื่อย ๆ เปลี่ยนรถไปตามยุค จาก Nova S มาเป็น Yamaha RZ1

ถ้าใครยังจำได้จาก Part1 ช่วงเวลาหลังจากมัธยม พี่ต้อยก็ขึ้นมาเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ เริ่มจากเรียนกฎหมายที่รามคำแหงเพราะว่าอยากเป็นตำรวจ พอสอบตกทุกวิชาเรียนไม่ไหวเลยตัดสินใจย้ายไปมหาวิทยาลัยศรีปทุมเพื่อเข้าเรียนนิเทศศาสตร์ 

ในช่วงเวลานั้นพี่ต้อยไม่ได้ใช้มอเตอร์ไซต์แล้ว แต่เอารถกระบะ Mitsubishi L200 ขึ้นมาขับแทน เขาออกรถคันนั้นที่จังหวัดตาก แต่เอารถไปแต่งที่นครสวรรค์โดยการพาแม่ไปด้วยเพราะไม่มีเงิน “รถต้องเตี้ย ยางล้น ๆ สวยจริง” แต่ความชอบในฮาร์เลย์ก็ยังคงอยู่ในใจเสมอไม่หายไปไหน


UNLOCKMEN : หลังจากเหตุการณ์โบกมือให้คาราวานฮาร์เลย์ตอนประถม รถชนิดนี้กลับเข้ามาในชีวิตพี่ต้อยอีกครั้งเมื่อไหร่ 

จนพี่เรียนจบมหาลัย เปิดร้านข้าวข้าง Workpoint ได้ทำงานอยู่ Workpoint จนมาอยู่ Triple Two มาอยู่กับพี่ติ๊ก พี่กิ๊ก แล้วก็พี่แฉะ (แฉะ-องอาจ เจียมเจริญพรกุล) 

พี่แฉะเนี่ยเขามีฮาร์เลย์อยู่ 2 คัน ทีแรกตอนไปทำที่ Triple Two พี่ยังไม่รู้ด้วยว่าพี่แฉะมีฮาร์เลย์ คันนึงเขาจอดอยู่ที่บริษัทในโรงฉากฝุ่นเกาะแต่ขี่ได้ อีกคันนึงเขาเอาไว้ใช้ขี่เอง เราก็ตาวาวเลย ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่ามันคือรุ่นอะไร แต่ด้วยความชอบมาก ๆ พอเจอพี่แฉะก็เลยถาม สรุปว่าฮาร์เลย์ของพี่แฉะคือรุ่นเก่าโบราณเหมือนเป็น Harley Electra Glide เบาะเป็นสปริง เป็นรถเก่าที่เอามาบิวด์ใหม่

ส่วนอีกคันนึงเป็นรุ่น Road King เป็นรุ่น 100 ปีมั้ง (2003 Harley Davidson Road King 100th Anniversary) แล้วเขาซื้อเงินสดในสมัยเกือบยี่สิบปีก่อน ประมาณล้านนึง ! พอพี่รู้อย่างงั้นก็บอกกับตัวเองเลยว่าความเป็นไปได้สำหรับเราแม่งแทบไม่มี

UNLOCKMEN : ฮาร์เลย์นี่ไม่มีผ่อนเหรอครับ

ในยุคนั้นมันไม่มีผ่อนต้องซื้อสดอย่างเดียว ถ้าจำได้คือฮาร์เลย์เนี่ยไม่ค่อยเห็นบนท้องถนนประเทศไทย เพราะมันมีน้อยมาก เขาจะไม่ค่อยขี่กัน เขาจะขี่เฉพาะเวลาออกทริป แล้วในยุคนั้นมันก็ไม่มีประกันมอเตอร์ไซค์ด้วยไง เพราะฉะนั้นถ้ามึงทำฮาร์เลย์ล้มมึงก็ขายรถเก๋งซ่อมอะ ล้านนึงจะไปเอาเงินจากไหนว้า 

ในตอนนั้นกิจวัตรในการทำงานของพี่คือแบบนี้ เข้าบริษัท กาแฟ 1 แก้ว แล้วก็มานั่งดูฮาร์เลย์ของพี่แฉะ เราก็ไม่กล้าค่อมด้วย เพราะว่าเอาจริง ๆ โดยมารยาทเขาจะไม่ค่อมรถกัน 

จนกระทั่งมีครั้งนึงพี่แฉะชวนไปเที่ยวอยุธยา จำได้เลยตอนนั้นอยู่ Triple Two ประมาณสัก 2-3 ปี ก็สนิทกันมากละ พี่นอนอยู่อพาร์ทเมนต์ พี่แฉะโทรมาตอนประมาณ 10 โมง 

พี่แฉะ : เฮ้ย ต้อยทำไรวะ 

พี่ต้อย : ไม่ได้ทำไรพี่ 

พี่แฉะ : ไปเที่ยวอยุธยากับพี่เปล่า 

พี่ต้อย : ไปพี่

พี่แฉะ : ขี่ฮาร์เลย์ไปนะ 

ไอเรานึกว่าให้ซ้อนก็เลยตอบรับไป “ได้พี่” 

พี่แฉะ : ขี่คนละคันนะ 

พี่ต้อย : เชี่ยยย ! จริงปะเนี่ยพี่ 

พี่แฉะ : เออ มึงขี่คัน Road King ไป 

UNLOCKMEN : ไปจ้องจนพี่แฉะเขารู้แน่เลย

เราก็คุยกับเขาตลอดแหละ แล้วเวลาพี่แฉะจะไปอู่ฮาร์เลย์เราก็จะไปกับเขา เวลาเขาเอารถฮาร์เลย์ไปเซอร์วิสไปซ่อมพี่ก็จะไปกับพี่แฉะตลอด อยากไปดูรถ มันคือความฝันของคนบ้านนอกอะ วันนั้นพี่แฉะโทรมาเราก็แต่งตัวออกจากบ้านเลย ไปถึงพี่แฉะเขาก็ถาม “มึงเคยขี่รึเปล่าวะ” เราก็ตอบเขาไป “ไม่เคยพี่ แต่ผมขี่มอเตอร์ไซค์เก่ง”

UNLOCKMEN : ไม่ได้ตอบแค่ว่าขี่ได้นะ ขี่เก่งด้วย

ตอบแบบนั้นไปก่อนเดี๋ยวแม่งไม่ให้ขี่ 555 เขาเลยบอกให้ลองขี่ซ้อมก่อน ตอนนั้น Triple Two บริษัทมันอยู่ที่ทาวน์อินทาวน์ ลองขี่ในทาวน์อินทาวน์วน ๆ ให้มันรู้ รถแม่งหนักมาก เกือบ 5 ร้อยโล มันคือ Road King แต่เป็นร้อยปีของยุคนั้น ซึ่งมันก็ใหม่ในสมัยนั้นนะ

หลังจากซ้อมขี่พอเป็นแล้ว พี่ก็ขี่รถออกจากทาวน์อินทาวน์เพื่อมุ่งหน้าไปอยุธยา ทีนี้พอลงทาวน์อินทาวน์ไปมันจะเป็นทางชันนิดนึงใช่มั้ย พี่เสือกไปจอดตรงนั้น แล้วก็เอาขาลงข้างเดียวเหมือนตอนขับมอเตอร์ไซค์ทั่วไปเลย คือแม่งไม่ได้ไง ไอเชี่ยแม่งโคตรหนัก “พี่แฉะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” (ทำเสียงตะโกนเรียกพี่แฉะพร้อมกับทำท่ารถค่อย ๆ เอียง) รถแม่งเอียงเลย พี่แฉะบอก “มึงปล่อยเลยต้อย” เพราะว่าฮาร์เลย์มันจะมีตัวกันล้มอยู่วางลงไปได้เลยมันไม่เป็นอะไร ถ้าเกิดว่าเรายังฝืนเอาขาไปยัน ขาหักได้เลยนะ 

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคนขี่ฮาร์เลย์ต้องใส่บูท เพราะว่าบูทหนังมันจะรัดข้อเรา เวลาพลาดข้อเท้าของเราจะไม่พลิก และเราจะเอารถอยู่ ตอนนั้นไม่รู้ก็ใส่ Converse หล่อ ๆ เลยไง 

ทีนี้พี่แฉะแกก็จอดรถแล้วมาช่วยดึงรถขึ้นกันสองคน พี่แฉะตัวใหญ่มากนะแต่เกือบเอาไม่ขึ้น เขาก็สอนเราเลย เวลาจอดมึงต้องเอารถให้ตรง แล้วก็ลงขาคู่ อย่าลงขาเดียวเพราะรถแม่งหนัก มึงจะเอียงรถไม่ได้ แล้วถ้าเจอทางชันหรือทางเนินมึงอย่าจอด เวลาจอดให้ดูทางที่มันเรียบ ๆ ตอนนั้นกูก็ใจหายแว้บ รถคันเป็นล้านอะมึง แล้วแกก็พาไปอยุธยาไปไหว้แม่ ไปไหว้พระ ไปกินข้าว แล้วก็กลับ 

หลังจากนั้นคือฝันใหญ่เลย กูต้องไปขี่ที่อเมริกาให้ได้ โดยที่ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าจะได้ไปอเมริกา

UNLOCKMEN : นั่นคือไทม์ไลน์ช่วงเวลาก่อนที่พี่ต้อยจะบินไปอเมริกากับแฟน

ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้เจอเมียเลย มันก่อนที่พี่ลาออกจาก Triple Two ไปอเมริกาประมาณ 1-2 ปี พี่เนี่ยเป็นคนที่ไม่รู้เป็นไรเว้ย เวลาที่ชอบอะไรมาก ๆ จะอยากไปเจอต้นกำเนิดของมัน 

“ขอเล่าข้ามฉากนิดนึงตอนพี่ไปอยู่อเมริกาแล้ว” 

อย่างรองเท้า Red Wing พี่ก็ไปถึงโรงงานในรัฐ Minnesota เลย ขับรถไปสองคนกับเมีย เชี่ยยย เมือง Red Wing City บอกเลยว่ามึงมาเที่ยวทำไม เงียบบบ พี่ไปเคาต์ดาวน์ปีใหม่ที่นั่นด้วยนะ แล้วมันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวเลย เป็นเหมือนเมืองเล็ก ๆ อารมณ์แบบสวนผึ้งบ้านเราอะ เป็นอเมริกาที่มีทางสองเลนสวนกัน มึงคิดดูดิ ฝรั่งแม่งตกใจทำไมมีเอเชียหัวดำมาถึงนี่ ไปถึงโรงงานแม่งปิดอีก ! แต่จริง ๆโรงงานเขาคงไม่ให้เราเข้าอยู่แล้วแหละ เลยแค่ไปเห็นบรรยากาศรอบ ๆ ดูช็อปของ Red Wing ที่เปิดอยู่ 

เหตุผล 2 อย่างที่พี่ไปอเมริกาคือ รองเท้าเรดวิง กับ โรงงานฮาร์เลย์ แล้วก็ฝันว่าแม่งต้องไปถอดเสื้อขี่ฮาร์เลย์ที่นู่น ดูหนังเยอะแหละ มันเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่ตัดสินใจไปอเมริกาได้เร็วขึ้นด้วยนะ แต่เหตุผลแรกสุดคือไปดูแลเมียที่เรียนต่อะ 555


หลังจากโดนเมียท้าว่าถ้ารักกันจริงให้ตามไปดูแลที่อเมริกา (เพราะว่าเธอจะไปเรียนต่อ) พี่ต้อยตัดสินใจลาออกจาก Triple Two โดนพี่กิ๊กด่าเละ ทำพาสปอร์ตเกือบไม่ผ่าน แต่สุดท้ายก็ได้ไปอเมริกาจนได้ มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย สมัครเรียนภาษาแต่โดดไม่เคยเข้าเรียนสักครั้ง ทำงานร้านอาหารไทยแบบแทบที่จะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ มีโอกาสไปหุ้นทำบาร์เปิด Thai Night จนบาร์แตกคนเต็มทุกคืน มีเรื่องต่อยกับฝรั่ง นี่คือเรื่องที่เล่าหมดแล้วใน Part 1 แต่สิ่งที่พี่ต้อยยังไม่เคยเล่าอย่างละเอียด คือทุกช่วงเวลาในอเมริกาของเขามีเสียงเครื่องยนตร์ของ Road King ลูกชายคันแรกอยู่ด้วยเสมอ

UNLOCKMEN : ทำไมพี่ต้อยถึงติดใจกับรุ่น Road King ขนาดนั้น

พอมันเป็นคันแรกที่พี่ได้ขี่ก็เลยฝังใจกับรุ่นนี้ คันมันใหญ่ขี่สบาย

UNLOCKMEN : เล่าเหตุการณ์วันที่ซื้อ Road King คันแรกให้ฟังหน่อย เริ่มตั้งแต่วันวางมัดจำเลยก็ได้ครับ

เรามุ่งมั่นอยู่แล้วว่าต้องเป็น Road King เท่านั้น ก็ค้นคว้าข้อมูลว่าใน San Francisco ที่ไหนมีศูนย์ฮาร์เลย์บ้างพอเจอแล้วเราก็นั่งรถเมล์ไปเลย สัสแม่งปิดไปแล้ว มันย้ายออกไปอยู่นอกเมืองที่ San Bruno ขับรถออกจากซานฟรานประมาณสักชั่วโมงนึง เราก็ให้น้องพาไป 

ศูนย์ฮาร์เลย์ที่นู่นมันอลังการใหญ่โตแบบ “โอ้โห” แต่เชื่อมั้ย พี่ไม่ดูรุ่นอื่นเลย “Road King อยู่ไหน ?” เหมือนตามหาช้างเลยไอเหี้ย 555 ราคาที่นั่นมันอยู่ประมาณ 20,000 เหรียญ ประมาณ 6 – 7 แสนบาทของไทยในยุคนั้น แล้วที่นู่นผ่อนได้ด้วยนะ แต่พอเราไปด้วยวีซ่านักเรียนทำให้ซื้อเองไม่ได้ พี่ก็เลยให้เจ้าของร้านอาหารไทยที่ทำงานด้วยช่วยค้ำประกันให้หน่อยแต่เป็นชื่อพี่นะ เขาก็มาค้ำให้แล้วก็ดาวน์ไปประมาณสองพันเหรียญ ถ้าซื้อที่ไทยอาจจะโดนภาษีไปประมาณล้านกว่าบาท 

UNLOCKMEN : แล้วเหตุการณ์วันที่เอารถออกจากร้านเป็นยังไงบ้าง

วันที่ไปรับ Road King ก็ให้รุ่นน้องขับพาไปที่โชว์รูมแล้วก็ไปกับเมียด้วย แต่พี่ไม่ได้ซื้อรถที่ San Bruno นะ มาได้รถที่เมือง Redwood City เป็นเมืองที่ออกจาก San Francisco ไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ต้องผ่านอ่าว ผ่านสนามบิน ก็ทำเรื่องเซ็นต์รับรถ แล้วก็ไปหลอกให้เมียซื้อเสื้อหนัง หมวกกันน็อค อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่นู่น 

แต่ก่อนหน้าที่จะหลอกเมียไปซื้อของใหม่ ๆ พี่ก็ใส่บูท ใส่กางเกงยีนส์อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน มีใส่รองเท้าวิ่งบ้าง เราเล่น Red Wing เพื่อที่จะเตรียมตัวขี่ฮาร์เลย์นั่นแหละ หมวกกันน็อคของพี่เองก็แอบสั่งมาจาก Ebay เหตุผลนึงที่ตัดสินใจซื้อฮาร์เลย์เพราะเราก็มีคิดเอาไว้ว่าเวลาวันหยุดเราจะได้พาเขาขี่ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ด้วย


ขอแวะเล่าย้อนกลับไปวันก่อนที่จะซื้อ Road King ก่อน การจะขี่รถหรือมอเตอร์ไซต์ที่นู่นมันต้องมีใบขับขี่ด้วยเนาะ ซึ่งแม่งสอบโคตรยาก พี่ไปสอบอยู่ 2 รอบถึงผ่าน 

ก่อนหน้านั้นพี่ไปสอบใบขับขี่รถยนต์จนได้มาละ แล้วพอเราศึกษาว่าสอบใบขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ต้องทำยังไงบ้าง เลยได้รู้ว่าสอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์ใหญ่ที่นู่นมันไม่ต้องใช้ฮาร์เลย์สอบก็ได้ แต่ต้องเป็นมอเตอร์ไซค์ใหญ่ที่ 300cc ขึ้นไป จำได้ว่าไปเช่า Vespa 300cc คันใหญ่หน่อยวันละร้อยเรียญ ขี่ไปสอบรอบแรกแล้วไม่ผ่าน

สอบข้อเขียนแม่งว่ายากแล้วนะ เพราะว่ามันเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย อย่างที่เคยเล่าให้ฟังพี่ก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนโดดเรียนภาษาตลอดอยู่แล้ว แต่พี่ก็สอบข้อเขียนผ่าน ส่วนสอบปฎิบัติจริง ๆ มันก็คงคล้ายที่ไทยนะ ขี่บนเส้นตรง ซิกแซก แล้วก็วนวงกลมซ้ายขวา แต่ที่สำคัญคือฝรั่งแม่งเขี้ยว เพราะว่า California เป็นเมืองที่ค่อนข้างเข้มงวดกับกฎหมายจราจรมาก แล้วแม่งไม่ค่อยมีใครใช้มอเตอร์ไซค์ สกู๊ตเตอร์ หรือรถเล็ก ๆ ฮาร์เลย์นาน ๆ เห็นทีนึง

รอบแรกก็สอบไม่ผ่าน เครียดเลย เพราะว่ามันต้องเช่ารถสอบเสียเงินตั้งร้อยเหรียญ ไม่ผ่านก็เอาใหม่ ทีนี้ศึกษาดีเลย เช่าเวสป้าระยะเวลานานขึ้น แล้วพี่ก็ไปถึงก่อนเวลา มองดูเห็นว่ายังไม่มีใครมาสอบ ไปลองขี่ก่อนแม่ง ลองขี่จนฝรั่งมาไล่ 555 พอรอบนี้ได้ซ้อมก็สบายแล้ว ผ่านฉลุย หลายคนเขาตกใจนะ มึงสอบมาได้ไงวะ มันยากมากนะ


มาต่อที่เหตุการณ์วันที่พี่ต้อยพา Road King ออกจาก Redwood City เอาจริงมันทำให้เรานึกถึงฉากในเกมส์อย่าง Read Dead Redemption หรือ GTA V ที่พอเปลี่ยนพาร์ทตัวละครจะมีการขับขี่พาหนะผ่านเมือง ให้เห็นทิวทัศน์ภาพกว้างทั้งหมด พร้อมกับให้เราครุ่นคิดตกตะกอนกับความรู้สึกบางอย่างจนเติบโตขึ้นในที่สุด เราเชื่อว่าภาพของพี่ต้อยวันนั้นก็คงไม่ต่างกันมาก เขาได้เติบโตจนทำฝันที่เฝ้ารอมานานจนสำเร็จสักที 

พี่ต้องขี่รถออกจาก Redwood City มาที่ San Francisco ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง แล้วอากาศเย็น ลมแม่งอย่างแรง เมียนี่กอดตัวสั่นอะ เพราะเขาก็ไม่เคยซ้อนมอเตอร์ไซค์ แล้วที่อเมริการถยนต์ขับกันเร็วมากนะ 

คืออเมริกามันเป็นอย่างงี้ ถ้ามึงอยู่บน Highway (ทางด่วน) มอเตอร์ไซค์มันขึ้นทางด่วนได้ ถ้าขับช้ามึงโดนจับเพราะมันอันตราย สมมุติว่าสปีดลิมิตอยู่ที่ 70 ไมล์/ชั่วโมง ต้องขับอยู่ประมาณนั้น ขับเร็วก็ผิดกฎหมาย ขับช้าก็ผิดกฎหมาย เราก็เลยต้องขับเท่ารถยนต์ซึ่งแม่งก็ร้อยกว่า พอผ่านช่วงสนามบินกับอ่าวลมแม่งทำรถสั่นเลย ขนาดรถเราใหญ่ยังโยก เอาจริงตื่นเต้นนะ เราก็กลัวแฟนเป็นอะไรไป

วันแรกก็ยังไม่ได้ขี่กลับอพาร์ทเมนต์หรอก พี่ลุยขี่ไป PIER 39 มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในซานฟราน เป็นเหมือนที่จอดเรือรบของสมัยสงคราม เอาไว้จอดรถถ่ายรูปสวย ๆ โห แม่งภาคภูมิใจอะ โชว์แอคเลย ใส่เสื้อหนัง กางเกงยีนส์ รองเท้าหนัง กลับไปย้อนดูรูปตอนนี้ใน Facebook แม่งขี้อวดชิบหาย แต่คือเพื่อน ๆ ทุกคนในยุคมัธยมมันรู้อยู่แล้วว่าเราชอบ เพื่อนมันก็ชื่นชมแหละว่ามึงทำได้แล้ว 

ที่อเมริกาพี่จะมีวันหยุดวันเดียวไม่วันเสาร์ก็วันอาทิตย์ เมียพี่ก็เรียนวันธรรมดา เราจะล็อควันไปเที่ยวขี่ไปในเมืองต่าง ๆ ด้วยกัน แต่มีรถมอเตอร์ไซต์ในอเมริกาเรื่องที่จอดก็เป็นสิ่งยุ่งยากนะ จอดข้างถนนแบบที่ไทยได้แต่ไม่ตลอด เพราะที่นู่นมันจะมี Street Cleaning ตอนตี 4 ตี 5 ห้ามจอดแช่ รถทำความสะอาดไอหมุน ๆ มันมาตรงเวลาเลย ถ้าไม่ย้ายรถก็เจอค่าปรับ ถ้าเราไม่ย้ายบางทีแม่งลากไปเลย ต้องมาเสียค่ารถลาก ค่าปรับหลายร้อยเหรียญ แล้วอีกอย่างมันอันตราย บางทีเราไม่รู้พวกโฮมเลสจะมาทำอะไรรถรึเปล่า เลยต้องไปเช่าที่จอดรถเอา ตกเดือนนึงน่าจะเกือบหมื่น มันมี Garage ที่เช่าที่จอดรถอยู่เยื้อง ๆ กับอพาร์ทเมนต์พี่อยู่

แล้วหลังจากนั้นก็ได้ไปรู้จักกับพวกน้อง ๆ กลุ่มคนไทยในซานฟรานที่ขี่ฮาร์เลย์ เคยนัดกันไปขี่วันชาติของอเมริกา คิดดูดิ ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ข้ามสะพาน Golden Gate แล้วพอมันขี่เป็นกลุ่มมันรู้สึกแบบโห แม่งใช่ว่ะ ! แต่เสือกขี่วันชาติเชี่ยรถติด ! ติดแบบจริงจัง แล้วรถของน้อง ๆ ในกลุ่มมันไม่ใช่ทัวร์ริ่ง คันไม่ได้ใหญ่เท่าเรา จะมี Softail ที่มันเล็กลงมาหน่อย มันก็มุดตามร่องไปดิ พี่นี่แบบได้หรอวะ ก็นัดกันขี่กันไปเมืองนู้นเมืองนี้เรื่อย ๆ

UNLOCKMEN : ขี่รถฮาร์เลย์ในอเมริกาเป็นแบบที่ฝันเอาไว้มั้ยครับ หรือมีเหตุการณ์พีค ๆ บ้างมั้ย 

มีกับที่ขี่เป็นกลุ่มกับคนไทยในฮาร์เลย์นี่ล่ะ  

มันมีน้องคนนึงเพิ่งได้ฮาร์เลย์มาใหม่เหมือนกัน ตอนนั้นกลุ่มเราขับไปเป็นที่ถนนเส้นหนึ่งสวย ๆ เลย ทีนี้พอถึงจังหวะจะลงเขา เป็นทางโค้ง พี่เพิ่งเข้ากลุ่มใหม่ก็ขี่ตามหลังเป็นคนสุดท้าย ไอรุ่นน้องคนนี้แม่งคว่ำแหกโค้ง โอ้โห แล้วมันฮาร์เลย์อะเข้าใจปะ ใจเราแม่งหล่นเลย กลัวน้องเป็นไรด้วย แล้วก็กลัวรถเป็นไรอีก ฝรั่งเขาก็ขี่มาช่วยกันดึงรถขึ้นมา

ส่วนอีกครั้งนึงเกิดขึ้นอย่างนี้ ที่อเมริกาเรื่องแก๊งเป็นอะไรที่ค่อนข้างรุนแรง วันหนึ่งเราก็เจอฝรั่งมันขี่มาถามเลย “มึงซัพพอร์ตอยู่กลุ่มไหนวะ” แต่ตอนพี่ขี่ฮาร์เลย์ที่นู่นพี่ไม่ได้มีใส่เสื้อกั๊กหรืออะไรนะ พี่ก็ใส่เสื้อเชิ้ต ธรรมดา มันมาคนเดียวในขณะที่พี่อยู่กันเป็นสิบคัน แม่งไม่กลัวเลย กูก็ตอบไปว่า “No Support กูคนไทยเว้ย” มันก็ไม่ได้ยุ่งอะไร


ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่าพี่ต้อยกลับไทยเพราะปัญหาสุขภาพ “ตับบวมเพราะแดกเหล้าเยอะไง” นี่คือสิ่งที่เขาพูดเอาไว้กับเราตอนถามว่ากลับไทยทำไมถ้ามีความสุขในอเมริกา แต่ก่อนกลับไทยเขาได้จัดทริปอำลาประเทศที่ใฝ่ฝันนี้ โดยการเก็บ Bucket List สถานที่ที่อยากไป และหนึ่งในหมุดหมายสำคัญคือ ‘โรงงานฮาร์เลย์’ สถานที่แสดงความเป็นตัวตนของพี่ต้อยตรงที่ว่าถ้าอินอะไรสุด ๆ จะต้องไปเห็นต้นกำเนิดของสิ่งนั้นให้ได้

พอรู้ตัวว่าอีก 1 ปีเราจะกลับไทยก็วางแผนเที่ยวกับเมีย ตอนแรกเลยวางแผนว่าจะเอา Road King ขี่ไปในถนนเส้นที่ชื่อ Route 66 (U.S. Route 66) เป็นเส้นตั้งแต่แคลิฟอร์เนีย ชิคาโก ไปทางเหนือ วางแผนแล้วว่าเดือนนึงเอาฮาร์เลย์ไปลุยพักที่ต่าง ๆ แต่เพื่อนฝรั่งบอก “มึงจะไปตายเหรอ?”

UNLOCKMEN : Route 66 มันอันตรายยังไง ?

มีเรื่องของแก๊ง สีผิว ชนชาติ มันจะเป็นถนนที่เราเห็นในหนังเป็นสองเลนส์ยาว ๆ เปลี่ยว ๆ ประมาณเป็นร้อยไมล์แล้วมึงค่อยเจอปั๊มทีนึง พอมึงเจอปั๊มก็ไม่รู้ว่ากลุ่มแก๊งไหนคุมอีก มันจะเหยียดเรามั้ย ฝรั่งเองยังไม่อยากไปเลย เอเชียหัวดำ ๆ ไปคืออันตรายแน่ ก็เลยพับทริปฮาร์เลย์ ซื้อตั๋วขึ้นเครื่องแล้วก็ไปเช่ารถยนต์เที่ยวแทน

UNLOCKMEN : วันที่ได้ไปโรงงานฮาร์เลย์เป็นยังไงบ้าง

โอ้โห มันสุด โรงงานอยู่ที่เมืองชื่อ Milwaukee รัฐ Wisconsin ก็อยู่ในแพลนอำลาอเมริกาที่จัดทริปเอาไว้นี่แหละ มันมีความสุขอะ ได้เห็นฮาร์เลย์คันแรก มีผ่าเครื่องยนตร์ให้ดู มีทุกอย่างเลยที่เกี่ยวกับฮาร์เลย์ตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน เดินจนเมียแบบ โอ้ยไปเหอะ ! 

มันเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์แล้วใหญ่มากมีหลายชั้น แล้วมันก็จะมีที่ขาย Merchandise ขายเสื้อ ขายของต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับฮาร์เลย์ ทะเลาะกับเมียตรงนั้นแหละ พี่อยู่ตรงนั้นนานมากจนพี่ก็รู้ว่ามันนานนะ รู้เลยว่าเมียเริ่มไม่ชอบละ ก็ชื่นชมพร้อมกับกวาดเสื้อมาไม่รู้กี่ตัว

UNLOCKMEN : มันคือครั้งสุดท้ายก่อนกลับประเทศไทยใช่มั้ยครับ

ใช่ แล้วเสื้อฮาร์เลย์บางตัวเขาทำผลิตลายนี้ขายเฉพาะที่แต่ละเมืองเท่านั้น มันไม่ได้ขายไปทั่วโลก พี่ก็จัดเต็มเลย แล้วทุกวันนี้ไม่ได้ใส่นะ เอาไปให้แม่ใส่บ้าง ขนไปให้คนอื่น เรารู้สึกว่าความฝันในวัยเด็กของเรา Complete แล้ว

UNLOCKMEN : เกือบลืมถาม แล้วตอนกลับไทยพี่ต้อยทำอย่างไรกับ Road King คันแรก ? 

ตอนแรกพี่ว่าจะเอากลับมาด้วย ถามพวกน้อง ๆ ที่ไทยมันบอกเอากลับมาได้ แต่ว่าเสียค่าขนส่งค่าภาษีแพงน่าจะอยู่อีกหลายแสน คิดเบ็ดเสร็จแล้วมันเท่าซื้อรถคันใหม่ที่ไทยเลย ก็เลยต้องขาย วันไปขายนี่เอาจริง ๆ ร้องไห้เลยนะ มันเป็นรถคันแรกของเรา จะเอามันกลับมาไทยด้วยอะ “มึงเกิดอเมริกาแต่มึงต้องไปใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยนะเว้ย” บอกกับรถแบบนี้ แต่สุดท้ายต้องเอาไปขายอยู่ดี เศร้าเลยแหละ ก็ขายคืนโชว์รูมไป แล้วมันก็มีคนมาเอาต่อเลยเพราะรถพี่สภาพดีมาก 

แล้วอีกอย่างนึง ตอนอยู่ที่นู่นมีแอบซื้อของแต่งเมียไม่รู้เยอะมาก เอาเวลาตอนออกไปเรียนภาษาแอบไปซื้อมา

UNLOCKMEN : เอ้า ไม่ได้แค่ไปร้านกาแฟกับเพื่อนขาวจีนทั้งวัน

ไม่ได้ไปแค่ร้านกาแฟ พอเมียไปเรียนปุ๊ป พี่ก็เอาเงินที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานบาร์เอาไว้แต่งรถ ขี่ออกไปดูอะไหล่ตามแหล่งต่าง ๆ หรือบางทีก็สั่งมา แล้วก็มาเปลี่ยนเองที่ Garage ที่เราเช่า บางวันก็ไม่ได้ออกไปไหนนะ นั่งขัดรถ ซ่อมรถ เปลี่ยนของแต่งเอง จริง ๆ ไปทำที่โชว์รูมได้แต่ว่าเขาจะคิดค่าแรงแพง สมมุติพี่จะเปลี่ยนแฮนด์ ซื้อที่นู่นหมื่นนึง เสียค่าแรงอีกหมื่นนึง ค่าแรงเขาคิดเป็นชั่วโมง 

UNLOCKMEN : พี่ต้อยเลยต้องฝึกหัดทำเองเลย

 จริง ๆ พี่ทำเป็นอยู่แล้ว แค่พี่ไม่ได้เป็นช่างไง แต่ก็ทำรถเองอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม

UNLOCKMEN : ศึกษาจากไหน

มันไม่ยากอะ มันก็แค่ขันน็อตปะวะ แล้วก็ดูคู่มือเอา แต่พี่ไม่ได้ถึงขั้นรื้อรถนะ แค่เปลี่ยนท่อเอง เบาะซื้อมาจัดการเอง ทีนี้มันฮาตรงที่ของแต่งบางอย่างมันไม่รู้จะเก็บไว้ที่ไหนของบางอย่างพี่ก็ทิ้งเลยนะ กลัวเมียถามว่าไปเอามาจากไหน เอาไปวางในขยะตรงอพาร์ทเมนต์ แต่ของแต่งบางอย่างเราก็เอากลับมาไทยด้วยนะ เพราะพี่รู้สึกว่าเดี๋ยวพี่ต้องมาซื้อ Road king ที่ไทยให้ได้ ก็เลยเอาของแต่งบางอย่างขนกลับมา ซึ่งถ้าซื้อที่ไทยเนี่ยแม่งโคตรแพง แล้วอีกอย่างนึงมันก็แบบของ Made In Usa หาของยากนะ


UNLOCKMEN : หลังจากกลับไทย ทำงานเป็นพี่ช่วยพี่แฉะ ได้เป็นฟรีแลนซ์ให้ Workpoint ข้ามมาเจอพี่ตั๊กจนได้ทำก็มาดิคร้าบ พี่ต้อยซื้อฮาร์เลย์คันที่ 2 ตอนไหนครับ

ตอนกลับไทยมาไม่กี่ปีก็คุยกับเมียว่าจะซื้อฮาร์เลย์ แล้วก็มาได้เข้ากลุ่มมอเตอร์ไซค์ด้วย ตอนที่ยังไม่มีฮาร์เลย์ขับเราก็ไปยืมรถเพื่อนขี่ก่อน มันเป็นเหมือนรถคัสตอมที่เอาหลาย ๆ อย่างมารวมกันแต่คือฮาร์เลย์นี่แหละ หลังจากนั้นก็มาได้ Harley Davidson 48 เป็นคันที่ 2 ต่อจากคันแรกที่อเมริกา 

ซึ่งรถคันนี้ซื้อต่อมาจากรุ่นน้องที่เข้าฟิตเนสด้วยกัน พอดีรุ่นน้องมันซื้อมาแล้วมันรู้สึกว่าขี่ยาก มันก็ขายพี่ก็ซื้อต่อมา ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้แต่งงานนะ พี่รู้แล้วว่าถ้าแต่งงานโอกาสที่จะซื้อมันก็ยากเพราะว่าเราต้องสร้างครอบครัวแล้วไง ก็ซื้อเอาไว้ก่อนโดยที่ตอนแรกยังไม่ได้บอกเมียด้วย แล้วก็ค่อยมาบอกเมียทีหลังว่าเดี๋ยวต้องโอนให้น้องมันนะ ประมาณเก้าหมื่นหรือแสนจำไม่ได้

Harley Davidson 48 มันคือฮาร์เลย์รุ่นเล็กสุด ซึ่งคันนี้พี่ใช้อยู่สัก 2 ปี ก็มันรู้สึกว่า “ไม่ใช่” ใจเรามันคือ Road King ไง บอกได้เลยว่าขี่ทุกครั้งไม่เคยมีความสุข แล้วก็เลยต้องเปลี่ยน

UNLOCKMEN : ฮาร์เลย์คันที่ 3 กลับมาเป็น Road King อีกครั้ง ได้รถมาตอนไหน

น่าจะประมาณ 6-7 ปีที่แล้ว เป็นคันที่ 3 ได้มาจากร้าน CFM Suphanburi แล้วก็ไม่คิดจะเปลี่ยนละ เพราะโดยนิสัยส่วนตัวพี่ไม่ค่อยชอบเปลี่ยนรถเท่าไหร่ พอมันเจอคันนี้มันก็จบแล้ว


หลังจากที่อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนก็จะเห็นแล้วว่าชีวิตของพี่ต้อยไม่เคยห่างจากมอเตอร์ไซต์เลย โดยเฉพาะกับฮาร์เลย์รุ่นที่มีชื่อว่า Road King สิ่งที่เราอยากรู้คือ จากความประทับใจในตอนที่โบกมือให้ขบวนฮาร์เลย์ จนมาถึงวันนี้ อะไรทำให้ผู้ชายคนนึงเลือกที่จะรักรถรุ่นเดียวไปตลอดทั้งชีวิตของตัวเอง

พี่รู้สึกว่ามันเป็นที่สุดของมอเตอร์ไซค์ คงเป็นเพราะเราเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่จำความได้ด้วย เราเห็นฮาร์เลย์เป็นขบวนในตอนเด็กมันสุดมากนะ ทุกวันนี้เวลาพี่ขี่ไปต่างจังหวัดกับกลุ่มน้อง ๆ ประมาณ 30-40 คัน เมื่อไหร่ที่เห็นเด็กโบกมือก็จะ เชี่ย ! นั่นคือกูเลย

UNLOCKMEN : เหมือนเห็นตัวเอง

ใช่ เรารีบโบกมือให้เด็กเลย เรารู้สึกว่าน้องมันคงฝันแบบเรา

UNLOCKMEN : พูดได้มั้ยว่า Road King มีส่วนสำคัญในชีวิตพี่ต้อย เพราะมันอยู่ในแทบทุกช่วงเวลาของชีวิต

พี่ว่ามันคือส่วนนึงในครอบครัวเลยนะ ต่อให้พี่ไม่มีรถยนต์พี่ไม่เป็นไร แต่พี่ไม่มี Road King พี่ว่าแม่งอยู่ยากอะ มีช่วงนึงก่อนหน้านี้พี่ไม่มีรถยนต์ใช้ บ้านพี่มีรถยนต์คันเดียว เมียพี่บอกว่าให้ขาย Road King แล้วซื้อรถ พี่ก็ไม่เอา บอกเขาว่ามันคือชีวิตของเรา ให้มันอยู่ไปกับพี่เถอะ ถ้าวันนึงเราไม่อยู่แล้วก็อย่าไปขายมันละกัน ให้ลูกได้ดูแลต่อ เพราะลูกก็ชอบขึ้นไปเหยียบปีนป่าย คืออย่าไปล้างรถตอนเขาอยู่นะ รถเราจะเป็นรอยทันที จะเกิดการเอาสกอตไบร์ทมาถู

UNLOCKMEN : คำถามสุดท้ายครับ ช่วยนิยามความสุขในการขี่ฮาร์เลย์แบบฉบับพี่ต้อยหน่อย

พี่รู้สึกว่ามันได้ปลดปล่อย ยิ่งได้ออกต่างจังหวัดมันจะรู้สึกถึงความอิสระ ถ้ากูบินได้กูบินไปแล้ว ! อยากเจอลม เจอแดด ประทะเข้ากับความร้อน ชอบมีคนถามว่าไม่ร้อนหรอ ร้อนดิ บางทีไหม้เลยนะ แต่มันเกิดจากสิ่งที่เรารักไง ขับจนได้กลิ่นของฝน แล้วเวลาพวกพี่เจอฝนกันจะไม่มีจอดนะลุยต่อเลย พี่รู้สึกว่ามันคือธรรมชาติแหละ ถ้าขี่แล้วมึงกลัวมึงอย่าขี่ แต่ไม่ใช่แบบฝนพายุอันนั้นพี่ก็หาที่จอดเหมือนกัน .. การขี่ Road King มันคือการออกไปเติมพลัง ชาร์ตแบตจนเต็มพร้อมกลับมาทำงานอีกครั้ง สำหรับพี่มันเป็นความรู้สึกแบบนั้น


Photographer : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line