Life

The Real : ‘ต้อย ก็มาดิคร้าบ’ ชีวิตที่กำกับ แสดง และรันทุกอย่างด้วยตัวเอง (Part 1)

By: GEESUCH October 7, 2023

เป็นจิงเกิ้ลเปิดรายการพร้อมบีทกึ่งสามช่าไทยสไตล์ที่สายดูรายการตลกทุกคนสามารถตอบได้ทันทีแบบไม่เสียเวลานึกนาน อะ ๆ สำหรับคนที่ยังรู้สึกว่าโจทย์ยากเกินไป เราให้สิทธิ์ใช้ตัวช่วย ‘3 คำใบ้’ และคุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ใน 3 2 1 .. (อ่านแบบเสียงแจ๊ส) 

คำใบ้ข้อ 3 นี่เรียกว่าเฉลยแล้ว ก็มาดิคร้าบ นั่นเอง ถ้าให้นึกถึงคอนเทนต์ของสายฮาอันดับต้นของประเทศยังไงชื่อของรายการนี้ก็ต้องติดโผตัวท็อป ด้วยสมการความสนุกอย่างการรวมตัวของแก๊ง Joker Family ตลกเบอร์ต้นของเมืองไทยในรูปแบบรายการของซิทคอมตลกอย่าง ‘บริษัทฮาไม่จำกัด’ หรือ ‘ก่อนบ่ายคลายเครียด’ และแน่นอน การมีพี่ต้อยในตำแหน่งผู้กำกับที่ถ้าไม่ใช่เขาก็สามารถพูดได้ว่าไม่มีทางที่รายการจะออกมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้เลย

เบื้องหลังความตลก ชีวิตของผู้ชายชื่อ ‘ต้อย-ธงชัย คะใจ’ น่าสนใจมาก เขาเคยทำงานกับนักแสดงตลกตั้งแต่ยุคแก๊ง 3 ช่า เคยเป็นคนคุมกองเชียร์ของบริษัท Workpoint ที่คุณตา-ปัญญาจองตัวว่าต้องเป็นเขาในตำแหน่งนี้เท่านั้น และ (อ้างอิงจากคำพูดของเขาเอง) เป็นคนที่ชีวิตถูกขีดเอาไว้ให้ทำงานตลกตั้งแต่แรก ! นี่คือเรื่องราวของต้อย ในวันที่ก่อนจะใช้นามสกุล ‘ก็มาดิคร้าบ’ ถ้าเปรียบเป็นหนึ่งรายการทีวี ก็เรียกว่าครบรสยิ่งกว่าครบรสเลยทีเดียว


UNLOCKMEN : ก่อนจะคุยกันถึงนามสกุล ‘ก็มาดิคร้าบ’ ของพี่ต้อย เราย้อนกลับไปไกลถึงความเป็นมาและเป็นไปในวันที่เป็น ‘นายธงชัย คะใจ’ นามสกุลแรกของชีวิตกันหน่อยดีกว่า

พี่เรียนรามคำแหงมาก่อน เพราะว่าตอนเรียนจบมัธยมอยากเป็นตำรวจ ตอนม.4 ก็ไปสอบโรงเรียนนายร้อยด้วยนะแบบหัวกลวง ๆ เลย พี่แม่งเรียนไม่เก่งก็รู้ตัวว่าสอบไม่ติดหรอก แต่เผื่อฟลุ๊ค พอเราสอบตำรวจไม่ติดก็คิดแล้วว่าทำยังไงถึงจะเป็นตำรวจได้ เลยไปเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ ผลปรากฎว่าเรียนปี 1 ไม่ผ่านเลยสักตัว แล้วพี่ไม่ได้โดดเรียนเลยนะ ไปเช่าหอพักอยู่ที่ราม 2 เดือนละ 800 บาท ตั้งใจเรียนทุกคาบ เวลาสอบคือเขียนแม่งเต็มหน้ากระดาษอะ แต่ไม่ผ่านอยู่ดี ก็เริ่มรู้สึกไม่ใช่ทางละ 

แล้วทีนี้พี่ชายของพี่เขาจะมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยศรีปทุม พี่ก็เลยลองสมัครด้วยดีกว่า ความคิดเราตอนนั้นคือหาอะไรที่มันเรียนง่ายและน่าจะเหมาะกับเรา ก็คณะนิเทศศาสตร์นี่ล่ะ เพราะธรรมชาติเราเป็นคนกวนตีนด้วยอยู่แล้ว ก็จัดการสมัครเอกโฆษณาที่เราคิดว่าจะได้เรียนพวกสาย Creative มีการคิดมีอะไรหน่อย แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเป็นยังไง สรุปว่าสอบติดเว้ย ! แต่เอกชนเขาคงรับหมดแหละ ตอนบอกแม่นี่หงายท้องเลยลูกชายเรียนเอกชนสองคน 555

UNLOCKMEN : ก่อนเข้าคณะนิเทศรู้มั้ยว่าต้องไปเจอกับอะไรบ้าง

ตอนนั้นรู้แค่ว่านิเทศศาสตร์เอกโฆษณาคือคนที่คิดโฆษณาที่เราเห็นในทีวี พอได้เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เราชอบคิด แล้วก็ไปฝึกงานอยู่ House ที่เขาทำพวกหนังพวกโฆษณา พอได้ไปออกกองทีนี้แม่งเจอสิ่งที่ใช่เลย ตอนแรกอะ พอฝึกหรือเรียนเป็น Creative โฆษณามันต้องทำงานอยู่ออฟฟิสใช่มั้ย มันทำให้พี่รู้สึกว่าหรือแม่งไม่ใช่ทางอีกแล้วรึเปล่าวะ เลยพยายามหางานที่มันเป็น Production ได้ออกกองก็คือเจอทาง ชอบตากแดด 555 แต่พอเรียนจบศรีปทุมตอนปี 40 ฟองสบู่แตก ชีวิตจบเลย  

 

ตอนนั้นพี่ก็ต้องไปสมัครงานเป็นผู้ช่วยร้านขายไก่ทอดชื่อดังแห่งหนึ่ง เงินเดือนหมื่นกว่าบาท แล้วพี่เป็นคนที่ไม่มีกางเกงสแลคเลยเว้ยเพราะว่าตอนเรียนจบไม่ได้เข้ารับปริญญา ก็ใส่เสื้อเชิ้ตนักศึกษากับกางเกงยีนส์ไปสัมภาษณ์ แม่งโดนไล่ออกจากห้อง เขาถามเลยว่าพี่มาทำอะไรทำไมถึงแต่งตัวอย่างนี้ ด่าพี่แรง เดินขึ้นลิฟต์กลับบ้านร้องไห้เลย “ทำไมชีวิตมันเป็นอย่างนี้ว้า ?” 

บ้านเกิดพี่อยู่ที่กำแพงเพชรทำร้านขายอาหารตามสั่ง มีก๋วยเตี๋ยว ขายของชำ ทำให้เราติดสกิลทำอาหารมากรุงเทพด้วย หลังจากไม่ได้งานนั้นพี่ก็เลยมาเปิดร้านขายข้าวอยู่ข้าง Workpoint กับเพื่อน

UNLOCKMEN : ทำไมถึงเลือกโลเคชั่นมาเปิดตรงข้างตึก Workpoint ในช่วงปี 2540 

พี่ของเพื่อนเขาทำงานอยู่ใน Workpoint เขาบอกว่ามันมีร้านว่างอยู่ติดกับตึกสนใจมาทำมั้ย ก็เลยไปเปิดร้านอาหารตามสั่งกับเพื่อน ก่อนจะไปต่อต้องเล่าก่อนว่า Workpoint ในสมัยประมาณ 20 กว่าปีก่อน เป็นบริษัทผลิตรายการทีวีช่องที่ใคร ๆ ก็อยากทำงานด้วย ในยุคที่เป็นสมัยของ JSL และ กันตนา ซึ่งในขณะที่ขายข้าวเราก็ดูรายการของ Workpoint ทั้งหมด เพราะว่าร้านเราอยู่ติดกับตึกแค่ข้ามถนนในซอยมาก็มองเห็นแล้ว พวกโปรดิวเซอร์เขาก็จะมากินข้าวร้านเรา ทั้งจากรายการชิงร้อยชิงล้าน / เวทีทอง / ระเบิดเถิดเทิง มันก็จะมีอยู่ประมาณ 5-6 รายการ พี่ก็จะรู้ว่าพี่โปรดิวเซอร์คนไหนมากินข้าว เราก็จะคุยถึงรายการที่เขาทำ    

UNLOCKMEN : รีเสิร์ชละเอียดเลยว่างั้น

รีเสิร์ชละเอียดเลย ก็คุยกับเขาถูกคอ อารมณ์แบบผมชอบพี่มาก ๆ รายการสนุกเนอะพี่ ก็อยู่ไปแบบนั้นจนขายข้าวได้อยู่ 6 เดือน ร้านต้องปิด .. เพราะว่าเพื่อนที่ชวนมาเปิดร้านด้วยกันไม่มีเงินแล้ว ร้านมันได้กำไรนิด ๆ หน่อย ๆ แค่พออยู่ได้ เราก็บอกพวกพี่ ๆ ที่ Workpoint ไปตามสภาพ “ผมจะปิดร้านแล้วนะพี่” เขาถามกลับ “ปิดร้านแล้วมึงจะไปทำอะไร?” เราก็บอกกับพี่ ๆ ไปว่าเรียนนิเทศศาสตร์มาแต่คงจะกลับไปอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัดก่อน ไปช่วยขายก๋วยเตี๋ยว พี่เขาก็ถามต่อไปอีกว่า 

โอ้โห ! เบ็ดที่กูหย่อนมาแม่งติดกับแล้วเว้ย 555 (พูดด้วยน้ำเสียงสะใจ) หยอก ๆ ก็พูดคุยกันธรรมดานี่แหละ แต่พอเขาพูดคำนี้มามันเหมือนมีประตูสว่างเปิดให้เราเข้าไป แล้ววันไปสมัครเป็นยังไงรู้ปะ นี่ไปหาซื้อกางเกงแสลคก่อนเลย ฝังใจ ๆ ปรากฎว่าพอเข้าไปสัมภาษณ์โดนด่าอีกแล้ว ! “มึงแต่งตัวเหี้ยอะไรมา” 

UNLOCKMEN : ทำไมงั้น ?

เขาให้แต่วตัวอะไรก็ได้ไง มึงจะใส่กางเกงขาสั้นไปสัมภาษณ์ยังได้เลย ก็คุยสัมภาษณ์กันแต่เขาไม่ได้ถามเราเรื่องเรียนเลยนะ จะถามว่าที่บ้านทำอะไร พ่อแม่มึงเป็นยังไง ตัวตนเป็นยังไง สัพเพเหระ เหมือนตอนนั้นเขาคงดูว่าการพูดคุยเป็นยังไงมากกว่า ไม่ดูเกรดเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายก็สัมภาษณ์ผ่านติด เริ่มต้นงานเป็นคนคุมกองเชียร์ของ Workpoint  

UNLOCKMEN : ในมุมมองของพี่ต้อยทำไมคิดว่า Workpoint ถึงรับเราเข้าไป

โดยส่วนตัวพี่ว่าคนที่นั่นส่วนใหญ่เป็นคนกวนตีน แล้วเขาคงชอบคนกวนตีน มันใช้เวลาคุยกันสนิทโดยไม่กี่เดือนอะ เพราะเวลาคุยกับพี่ ๆ โปรดิวเซอร์เราเป็นคนคุยโต้ตอบแบบเป็นกันเอง พี่คุยเรื่องรายการผมก็คุยกับพี่ได้ พี่คุยเรื่องอะไรผมก็คุยกับพี่ได้ แต่ก็ไม่เคยถามนะว่าทำไมพี่ถึงรับผม หรือเขาอาจจะสงสารเด็กบ้านนอกรึเปล่าก็ไม่รู้ เขาก็ให้เราลองงานคุมกองเชียร์ คุมน้อง ๆ 100 คนให้ปรบมือ หัวเราะ ช่วงทดลองงานได้วันละ 500 แม่งโคตรจะดีใจแล้วตอนนั้น เราก็พยายามทำออกมาให้มันดีที่สุด


ถ้าเปรียบเป็นรายการทีวีสักช่อง ชีวิตของพี่ต้อยในช่วงเวลานี้ก็อยู่ในช่วงที่ภาพสว่างสดใส ในขณะที่ก็มีดนตรีที่ทำให้รู้สึกฮึกเหิมใจดังคลออยู่ข้างหลังตลอดเวลา เพราะว่าเขากำลังจะมีนามสกุลใหม่เป็นครั้งแรก ต่อท้ายชื่อเล่นด้วยคำว่า Workpoint นั่นเอง

UNLOCKMEN : คนคุมกองเชียร์ของ Workpoint ต้องทำอะไรบ้างครับ

เริ่มแรกจะมีเด็ก 100 คนนั่งรถบัสมาที่ Workpoint ตอนประมาณ 9 โมง มันก็จะมีตั้งแต่เด็กประถมปลาย ๆ  เด็กพาณิชย์บ้าง เด็กมัธยมบ้าง เด็กช่างบ้าง หน้าที่ของเราคือต้องไปเทคแคร์เขา ต้องดึงใจเด็กให้มาอยู่กับเราไม่งั้นเขาจะไม่เชื่อ พี่ก็คุยแบบกวนตีนให้เด็กมันขำ 

ซึ่งเราก็ต้องดูว่าเด็กกลุ่มนั้น ๆ เป็นยังไงด้วยนะ เคล็ดลับคือมันจะมีเด็กกลุ่มก๊วนที่มันกวนตีนอยู่ซึ่งจะมาทุกครั้ง เราก็ต้องเอาเด็กกลุ่มนั้นมาเป็นพวกให้ได้ เพราะว่าถ้าเกิดสั่งพวกนี้ได้นะ แม่งสบายละ งานนี้ก็อยู่กับเด็กทั้งวัน เดี๋ยวคอยตะโกนบอกให้เชียร์แผ่นป้ายนู้นแผ่นป้ายนี้คล ะๆ กันไป “เวลาปรบมือปรบแล้วหยุดไม่เอานะลูกนะ ปรบมือแล้วค่อย ๆ เฟดเบาลง” อะไรอย่างงี้ งานมันจะละเอียด

ทุกครั้งที่เป็นรายการของพี่ตา (ปัญญา นิรันดร์กุล) หัวหน้าก็มาบอกว่า “พี่ตาเขาต้องให้มึงเป็นคนคุมกองเชียร์เท่านั้นนะ” เพราะเราเอาเด็กอยู่ และพี่ตาเขาให้ความสำคัญกับกองเชียร์มาก ๆ เขาจะไม่ชอบให้เฮแบบไม่เป็นธรรมชาติ น้อง ๆ ต้องหัวเราะธรรมชาติ อย่าไปบังคับน้อง ซึ่งเอาจริงเราก็รู้สึกดีใจครึ่งหนึ่งตรงที่พี่ตาเขาเลือกเรา แต่อีกใจนึงก็อยากทำงาน Backstage 

หลังจากนั้นพอคุมกองเชียร์ได้อยู่ไม่กี่อาทิตย์ พี่เขาก็บอกให้ขึ้นเป็น Backstage โอ้โห ! โคตรดีใจเลย การคุมกองเชียร์พี่ก็ใช้ความสามารถประมาณนึงนะ แต่พี่อยากไปเรียนรู้งานเป็น Backstage มากกว่า ข้างหลังเขาทำอะไรกันวะ เขาจัดของแก๊งสามช่า เขาใส่หูฟังคุยอะไรกัน ตอนที่ยังไม่ได้เป็น Backstage ช่วงเบรคที่น้อง ๆ กองเชียร์กินน้ำ พี่ก็วิ่งเข้าไปช่วยงานทีมนั้นตลอด

พอเริ่มเข้าทำเป็น Backstage ก็พบว่ามันเป็นอีกศาสตร์นึงเลย เพราะ Backstage ของ Workpoint ในสมัยนั้นมันไม่ใช่แค่คนปล่อยคิว ต้องรู้ทุกอย่างทุกกระบวนการในสตูดิโอ

UNLOCKMEN : งาน Backstage ต่างกับ Producer ยังไง ? 

Producer เขาเป็นคนคิด ส่วน Backstage เป็นคนรันทุกอย่าง เป็นคนรับบรีฟแล้วทำให้มันเป็นภาพ มันเลยค่อนข้างไม่ใช่เป็นแค่ Backstage ปล่อยคิว ต้องรู้เยอะ ต้องจัดไฟ มุมกล้องก็ต้องรู้ ของที่จะเอามาใช้ในฉากต้องรู้ทุกอย่าง แล้วในสมัยก่อนรายการชิงร้อยชิงล้านค่อนข้างที่จะเล่นเยอะ เป็นงานที่เพิ่มความเป๊ะให้เรา ตอนนั้นจำได้ว่าพี่เป็น Backstage แล้วพ่อพี่เสีย ตอนกลับไปจัดงานศพที่ต่างจังหวัด พี่รันแม่งทุกอย่างได้เองเลย 

UNLOCKMEN: ตอนนั้นพี่ต้อยทำ Backstage รายการอะไรบ้าง

ทุกรายการ ชิงร้อยชิงล้าน / เวทีทอง / ระเบิดเถิดเทิง / เกมแก้จน แล้วมันก็หมุนเปลี่ยนเพิ่มรายการนู้นรายการนี้เข้ามาเรื่อย ๆ เพราะว่า Backstage ยุคนั้นมีน้อย ก็ทำงานทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ก็ไปออกกองถ่าย VTR

UNLOCKMEN : โห ทำงาน 7 วันไม่รู้สึกเหนื่อยเหรอครับ

มันเหนื่อยแต่ตื่นมาก็ไม่เหนื่อยแล้ว แต่ทำงาน 7 วัน ข้อดีมันคือมึงได้ OT อันนี้คือผลพลอยได้ คือพี่ได้ OT มากกว่าเงินเดือนอีก ตอนนั้นพี่ได้เงินเดือน 8,500 บาท แล้วพี่ก็ได้ OT อีกประมาณ 9,000 – 10,000 บาท

จากนั้นพอเราทำ Backstage มาได้ 2-3 ปี เขาก็ให้เป็น Stage Manager คนคุมรายการ คุมทุกอย่าง รับผิดชอบทุกอย่าง ทีนี้เรารู้งาน Production แล้ว แต่เราอยากรู้ว่า Creative เขาคิดกันยังไงวะ ตัดต่อยังไง ความอยากแม่งเกิดอีกละ ที่ Workpoint สมัยก่อนใครที่จะเป็น Creative ต้องผ่านงาน Backstage มาก่อน จะได้รู้ว่างาน Production มันเป็นยังไง 


UNLOCKMEN : แล้วทีนี้พี่ต้อยทำอย่างไรเพื่อให้ได้ขึ้นเป็น Creative ของ Workpoint

“ป๋า อยากเป็น Creative” พี่ขอหัวหน้าชื่อ ‘พี่แดง’ เขาเป็น Producer สนิทกัน

UNLOCKMEN : ต้องฝึกฝนอะไรบ้าง

ไม่ฝึก

UNLOCKMEN : ห้ะ แล้วเขาให้เราลองทำเลยเหรอครับ ?

เหมือนเขาก็คงดูว่าเราทำพอได้ เวลาเป็น Backstage เวลามีวันหยุด พี่ก็จะเดินไปหากลุ่มทีมรายการเพื่อช่วยคิด พี่จะไม่อยู่ในโต๊ะของตัวเอง “พี่ ๆ มีอะไรให้ช่วยคิดไหมครับ” แบบเสือกอะ ก็ไปช่วยเขาคิด เพราะความอยากเป็น Creative แล้วสุดท้ายก็ได้เป็น

UNLOCKMEN : Creative ของ Workpoint ต้องทำอะไรบ้าง

ตอนนั้นเป็น Creative รายการเวทีทอง คิดคำต่าง ๆ ภาพปริศนา และตรงที่เป็นหมวดคำถาม ช่วยคิด  ถ่ายเสร็จก็เอาเทปมาตัด ตัดเสร็จอีกวันก็มาดูมิกซ์ สมัยนั้นตัดต่อมันยังเป็นเทป Beta (Betamax) มันไม่ใช่ Digital แบบสมัยนี้ ทำให้ตัดพลาดไม่ค่อยได้ เพราะมันแก้ไม่ได้ ถ้าจะแก้ต้องเอาภาพมาอินเสิร์ทเลย แก้ค่อนข้างยากเลยล่ะ

UNLOCKMEN : งาน Creative สนุกแบบที่คิดเอาไว้ไหม

พี่ว่าแม่งสนุกตรงที่เราได้คิดแล้วเราก็ได้ออกกองด้วย สมองมันได้ทำงาน พี่ไม่ค่อยชอบอยู่เฉย ๆ แบบฝ่อ ๆ  ไม่ว่าไปที่ไหนก็ตามพี่จะชอบสังเกตสิ่งต่าง ๆ จะดูหนัง ฟังเพลง หรือไปเดินจตุจักร แล้วเราก็เอาทุกอย่างมาใช้งาน เหมือนมันถูกสอนมาอย่างงั้นด้วย พวกพี่ Producer เขาจะสอนว่า 

มันจะไม่มีโอกาสเลยที่พี่จะส่งงาน 8 หรือ 9 พี่คิดแบบมีแผนหนึ่งแผนสอง มี Option มาให้ มันจะได้ไม่ต้องตกม้าตาย ทำงานให้แม่งเกินร้อยเข้าไว้

ในช่วงเวลาสำคัญที่พี่ต้อยกำลังจะได้ขึ้นเป็นตำแหน่ง Producer รายการของ Workpoint ก็เกิดเหตุการณ์ที่เบนเข็มชีวิตของเขาไปอีกทาง … คุณพ่อของพี่ต้อยเสีย ทำให้เขาต้องตัดสินใจย้ายงานและลาออกจาก Workpoint เพื่อเอาน้องชายมาดูแลส่งเรียนหนังสือ  

ตอนนั้นรายรับของพี่อยู่ที่ประมาณหมื่นปลาย ๆ ก็เลยออกมาอยู่กับพี่ซูโม่กิ๊ก ที่ Triple Two เราไปหาเขา แล้วพูดความจริงทุกอย่างให้ฟังว่าพ่อเสียต้องใช้เงิน จริง ๆ ก่อนหน้านั้นเราทำงานกับพี่กิ๊กอยู่แล้วในรายการเวทีทอง เป็นคนออกมาส่งจดหมายก็เลยซี้กันประมาณนึง เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเราทำงานเป็นยังไง 

แกก็ให้เป็น Producer ขึ้นรายการชื่อ ‘ยุทธการบันเทิง’ แล้วมึงก็เป็นพิธีกรด้วยนะ คือเขาให้เราคิดเองเล่นเองเลย ตอนนั้นรู้สึกว่าจะได้เงินเดือน 25,000 บาท แล้วก็ได้ค่าพิธีกรอีกเทปละ 5,000 บาท เฉลี่ยอยู่ได้ประมาณ 50,000 – 60,000 บาท แล้วก็ยังมีค่าพิธีกรเกมพันหน้า ค่าพิธีกรรายการวันหยุดสุดขีดอีกนะ ก็ทำให้เราสามารถส่งน้องจนเรียนจบได้ 

UNLOCKMEN : การทำงาน Workpoint กับ Triple Two ต่างกันมากมั้ย

เอาจริง ๆ ไม่ค่อยได้ปรับอะไรเยอะนะ เพราะว่าทีมงานของพี่ซูโม่กิ๊กตอนนั้นเขาก็อารมณ์แบบเรียนรู้งานหรือมาจอยกันอยู่แล้ว มีปรับเรื่องของการทำงานร่วมกันมากกว่า

แล้วที่นั่นเขาทำงานแบบ ‘ลูกทุ่ง’ เลย ทำงานเร็ว ลุย มันก็ทางเราเลยแหละ “ลุยก็ลุยพี่” เขาก็เลยให้เราเป็นพิธีกรภาคสนามของเกมพันหน้า ไปเป็นพิธีกรวันหยุดสุดขีด เพราะมันเป็นรูบแบบรายการที่ต้องลุย ทั้งสนุกและใช้ชีวิตแบบหนักมาก เที่ยวด้วย ดื่มด้วย คือไปถ่ายรายการดื่มกันยันตีสองตีสาม จากนั้นตื่นเช้าหกโมงไปถ่ายรายการกลางแดด สุดจริง ! อยู่กับพี่กิ๊ก พี่ติ๊ก แล้วก็พี่แฉะ ไปไหนไปกัน แล้วรายการมันมีอยู่แค่ 3-4 รายการ ไปเที่ยวกินเหล้าแล้วต้องมีหญิงติดมือทุกวัน หนักจริง เป็นคนไม่ดี คนเลว เป็นคนชั่วหนึ่งคนในยุคนั้น จนมาเจอเมียคนนี้

ถ้าใครเป็นแฟนคลับของพี่ต้อยและเคยดูสัมภาษณ์มาบ้าง จะรู้ว่าภรรยาพี่ต้อยมีส่วนสำคัญในเส้นทางของชีวิตเขามาก ๆ และเหตุการณ์ความรักของทั้งคู่เริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้ (ทำไมดูเป็นพรีเซนเทชั่นแต่งงาน)

เรื่องมันเป็นงี้ ตอนนั้นพี่เป็นพิธีกรรายการยุทธการบันเทิง แล้วก็อยากจะหานักศึกษาที่พูดภาษาอังกฤษได้มาอยู่ในรายการ ซึ่งตอนนั้นเรามีเด็กอยู่ ไม่ใช่แฟนนะ เป็นเด็กที่ทำพริตตี้ เลยบอกเขาให้ช่วยหาน้องที่พูดภาษาอังกฤษให้หน่อยคนนึง เขาก็ส่งแฟนเรานี่ล่ะมา ตอนนั้นเหมือนเขาทำเป็น MC ตามโชว์รูมรถอยู่ พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย กำลังเรียนอยู่จุฬาลงกรณ์อีกต่างหาก ไอเรามันเด็กทาวน์อินทาวน์ นาฬิกาดังหกโมงกูตั้งวงแดกเหล้ากันแล้ว พอเจอคนนี้เขามาในรายการ เราก็ “โอ้โห ! ขาวผ่อง”

จำได้เลยว่าวันที่ถ่ายทำเทปนั้นเสร็จ วันรุ่งขึ้นมันเป็นวันคริสต์มาสต์ ตอนนั้นโสดด้วย กูจะจีบผู้หญิงคนนี้ยังไงดี พี่แฉะที่เป็นหัวหน้าพี่เขาบอกว่า “มึงไม่มีอะไรจะเสียแล้วต้อย ไม่ลองไม่รู้หรอก ดอกฟ้าเขาก็ต้องคู่กับหมาวัดรึเปล่าวะ” พี่เลยแมสเสจข้อความไปหา หลังจากนั้นก็ได้คุยกัน 

ตอนนั้นมีนัดเที่ยวกันครั้งแรกที่ Starbucks สยาม สภาพพี่นี่แม่งคนไม่เคยเข้าเมือง ตอนนั้นเขาไปเป็นพิธีกรอยู่ที่สยามพารากอนก็เลยนัดเราไปที่นั่น พี่แม่งยืนเหงื่อแตกอยู่หน้า Starbucks แอบมองเขา “คนอะไรแม่งสวยขนาดนั้นวะ” พี่ก็ไม่กล้าเข้าไปทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นคุยกันแล้วด้วยนะ แล้วสุดท้ายพอเดินเข้าไปนั่งกินกาแฟ เขาเห็นเราก็ถามว่า “พี่เป็นอะไรไหมดูไม่ปกตินะ” นั่งในห้องแอร์นะแต่เหงื่อแม่งเต็ม นั่นแหละคือเดทแรกเลย

แล้วก็คุย ๆ กันมาได้สักเกือบปี เขาก็บอกว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกา แม่งแบบช็อตฟีลเลย พี่คิดกับตัวเองแล้วว่าเราทำตัวไม่ดีมาเยอะ ถ้าอยากจะหยุด อยากจะมีครอบครัว เราต้องหยุดที่คนนี้แหละ เพราะช่วงที่คบกับเขาพี่หยุดเจ้าชู้ทุกอย่างเลย สุดท้ายถ้าเราไม่หยุด เขาก็ไม่อยู่กับเรา ตอนที่กำลังจะไปอเมริกาเขาบอกกับพี่แบบนี้ “แน่จริงป่ะละ แน่จริงก็ไปด้วยกันสิ” พี่ก็เลยตามไป 

โดนพี่กิ๊กด่าเละ ! “มึงจะไปทำเหี้ยอะไร มึงเคยไปเหรอ แล้วมึงพูดอังกฤษเป็นรึเปล่า” เขาก็เป็นห่วงแหละ แต่สุดท้ายเราก็ไป แฟนเราไปเรียนต่อปริญญาโท ส่วนพี่ก็อย่างที่พี่กิ๊กบอกเลยพูดอังกฤษสักคำไม่เป็น 


ตั้งแต่บรรทัดต่อไปจะเป็นพาร์ทที่เราเรียกว่า ‘ต้อย อิน อเมริกา’ ซึ่งชาว UNLOCKMEN อาจจะงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับชีวิตการเป็นโปรดิวเซอร์ของพี่ต้อย ก็เอาจริง ๆ มันทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยว เพราะพาร์ทนี้จะไม่มีรายการทีวีหรือการเป็นพิธีกรเลยแม้แต่คำเดียว แต่มันเกี่ยวตรงที่เส้นทางนี้ถูกปูขึ้นเพื่อให้เขาขี่ Harley คันโปรดมุ่งสู่ถนนของการเป็น ‘ต้อย-ก็มาดิคร้าบ’ ได้ในที่สุด และชีวิตของเขาช่วงเวลานั้นก็สนุกมากจนอดไม่ได้ที่จะเอาออกจากบทสัมภาษณ์นี้ 

พี่จะเล่าเรื่องตอนทำวีซ่าเข้าอเมริกาให้ฟัง แม่งโคตรฮา คือพี่ไปในฐานะท่องเที่ยวก่อนรอบแรก เพื่อที่จะไปดูว่า San Francisco เป็นเมืองที่ดีมั้ย

ตอนสัมภาษณ์วีซ่านักท่องเที่ยวเนี่ย มันจะมีฝรั่งผู้ชายหัวโล้นคนนึงสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยเลยเว้ย พี่ก็อยากสัมภาษณ์กับคนนี้มาก ๆ แล้วเราก็แจ็คพ็อตได้ช่องที่ฝรั่งคนนี้คุมพอดี ปรากฎว่าแม่งเสือกสปีคอิงลิชเฉยเลย เหี้ย ! ตอนนั้นแฟนเราสัมภาษณ์อยู่ช่องข้าง ๆ เสร็จไปก่อนแล้ว ไอเราพูดไม่ได้ก็ต้องเรียกแฟนให้มาคุย แฟนก็บอกฝรั่งว่าพี่จะไปเรียนภาษาที่นู่นและไปดูแลเขาด้วย ทำเหมือนกับบริษัทส่งให้ไปเรียนที่นู่น ผ่านว่ะ แต่ผ่านแบบสปีคอิงลิชม่ายด้ายเลย

ชีวิตในอเมริกาของพี่ดำเนินไปแบบนี้ พี่ต้องไปลงเรียนภาษาก่อน ด้วยความเป็นต้อย ก็จัดการลงเรียนแต่ไม่ได้ไปเรียน โดดสิค้าบ บอกแฟนว่าจะไปเรียน ก็ออกไปจริง แต่ไปอยู่ที่ร้านกาแฟหน้าโรงเรียนแทน พี่เข้าไปเดินไปเซ็นชื่อแล้วพี่ก็เดินออกเลย เหมือนเก๋าอะ พี่โดดเรียนกับเพื่อนชาวเกาหลีที่พูดไม่ค่อยรู้เรื่องกันด้วยนะ มันก็พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง ไอเราเองก็พูดไม่ได้เลย บอกเลยว่าใช้ภาษามือกันจนเมื่อย พอได้เวลาก็เข้าไปเช็คชื่อออกกันอีกรอบหนึ่ง 

หลังจากนั้นเราก็หาทำงาน ซึ่งก่อนหน้านั้นพี่กับแฟนว่างงานอยู่เป็นเดือนเลย ตอนแรกพี่ก็ไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านอาหารไทยก่อน แล้วตามสไตล์ต้อย พี่ก็ขอเขาทำงานฟรีเพื่อเรียนรู้งาน ไปเป็นเด็กเสิร์ฟอาหารให้ฝรั่งโดยที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ฝรั่งแม่งขอตะเกียบ ขอหลอดพี่ยังไม่รู้เรื่องเลย มันมาแบบโนผงชูรสพี่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่วันไหนที่แฟนไปทำงานด้วยเราก็จะใจชื้นละ ให้เขาคุยให้ ซึ่งถ้าแฟนไม่ไปคุยให้เราก็ช่างแม่งฝรั่งคนนั้นไปเลย 

หลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ เรียนรู้แล้วว่าถ้าเราไม่หัดพูดภาษาอังกฤษก็จะอยู่บ้านเขาไม่ได้ แต่แทนที่เราจะไปตั้งใจเรียนที่โรงเรียนภาษาที่โดดทุกวัน พี่มาให้แฟนช่วยสอนแทน จนสามารถได้งานที่ร้านอาหารไทย เรื่องพีคคือตอนทำงานอยู่ที่ร้านอาหารมีคนไทยเขารู้จักเราอยู่แล้วด้วย เพราะเขาดูรายการทีวีไทยจากกล่องที่สามารถดูเรียลไทม์จากเมืองไทยได้เลย “ต้อยมึงมาที่นี่ทำไม แล้วทำไมต้องมาเสิร์ฟข้าววะ” พอเขารู้จักเราก็อาย แต่มันจะไม่มีกินไงก็เลยไม่อาย 

พอทำร้านอาหารไปสักพัก เจ้าของร้านอาหารไทยเขารู้อยู่แล้วว่าเราทำอะไรได้ เราถ่ายได้ เราตัดต่อได้ เขาจัดการพาพี่ไปซื้อกล้อง Mini DV ตลับเล็ก ๆ ให้ไปถ่ายนู่นนั่นนี่ ถ่ายเสร็จพี่ก็ตัดต่อ ตัดต่อเสร็จพี่ก็ส่งเทปไปที่ LA ตอนนั้นสถานีของคนไทยอยู่ที่ LA เขามีช่องของเขาอยู่ เป็นช่องเคเบิ้ลเหมือนรายการท่องเที่ยว ก็ได้เทปละ 100 เหรียญ  

UNLOCKMEN : จ้างโดยเจ้าของร้านอาหารไทย

ใช่ เหมือนเขามีเครือข่ายเป็นพรรคพวกของเขา แล้วเวลามีคอนเสิร์ตศิลปินนักร้องจากเมืองไทยมาเล่นที่อเมริกา เจ้าของร้านนี้เขาจะรับเป็นเหมือน Promoter ด้วย แล้วเขารู้ว่าเราทำได้ พี่ก็เลยได้ออกแบบโปสเตอร์ กลายเป็นทำหน้าที่ Organize Concert เป็นอีกจ็อบพิเศษ 

จากนั้นพออยู่ ๆ ไป ก็มีคนจีนที่เป็นเจ้าของผับมาชวนพี่ไปทำงานที่ผับ ซึ่งแฟนพี่ก็ไปเป็นบาร์เทนเดอร์ด้วย เขาไปเรียนเป็นบาร์เทนเดอร์เลยนะ มันเป็นผับที่อยู่ในชั้นใต้ดิน เราตกลงกันแบบนี้ มาแบ่งส่วนแบ่งกันนะ ค่าเครื่องดื่มค่าเหล้าแบ่งให้เจ้าของร้าน 30% ส่วน 70% เราได้ แต่เราต้องเป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงค่าจ้างการ์ดฝรั่งด้วย 

จากนั้นพี่ก็ไปหาพวกวงดนตรีคนไทย ดีเจคนไทยมาทำเป็นเหมือน Thai Night เลย จัดทุกวันพฤหัสกับวันอาทิตย์ ทีแรกเป็นวันพฤหัสวันเดียวก่อน เห้ยคนแน่นร้านเลยว่ะ เพราะคนไทยมันมีไม่เยอะไงแล้วรู้จักกันหมด ก็เลยเพิ่มวันอาทิตย์อีกวันนึง พี่กับแฟนคือได้เงินกลับบ้านแบงค์ดอลล่าร์เป็นฟ่อน เราไม่ได้ขอเงินที่บ้านกันเลย ค่าเรียนค่าอยู่หมดไปประมาณ 3-4 ล้านบาท แล้วพี่ก็ซื้อ Harley ขี่ไปเที่ยวกันตอนวันหยุดกับแฟน ชีวิตโคตรแฮปปี้เลย  


เรารู้ว่าทุกคนสงสัยแน่ ๆ เมื่อมีชีวิตที่ดีอยู่เมืองนอกแล้วพี่ต้อยกลับไทยมาทำไม ? และบรรทัดบนคือคำตอบ เขาบอกกับเราว่าก่อนหน้านั้นตัวเองเป็นไวรัสตับอักเสบอยู่แล้ว พอกินเหล้าหนักทุกวัน บางวันกินถึงตีห้าแล้วต้องเข้างาน 10 โมงเช้าแบบแฮงค์ ก็เลยป่วยในที่สุด  

เราก็ไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลนะ แต่ว่าที่โรงพยาบาลเมืองนอกเขาจะไม่รักษาให้ เขาจะรักษาก็ต่อเมื่อเรามีหมอประจำตัว เขาจะแค่ตรวจว่ามึงเป็นอะไรมา จากนั้นมึงต้องไปหาหมอประจำตัวมึงก่อนแล้วให้หมอสั่งยาให้ สุดท้ายพี่ก็ได้รู้แค่ว่าตัวเองเป็นตับบวม ก็เลยกลับมาไทยเพื่อรักษาตัว เอายา แล้วก็กลับไปที่อเมริกา แล้วก็ต้องหยุดดื่มเลย

UNLOCKMEN : มีเหตุผลอื่นอยู่อีกรึเปล่าที่ทำให้กลับไทย

ตอนนั้นวีซ่าของพี่กำลังจะหมดด้วย มันอยู่ได้แค่ 5 ปี แฟนก็เรียนจบก็กำลังจะหางานแล้ว ซึ่งพี่ก็เริ่มเบื่อทำงานที่ร้านอาหาร เบื่องานผับเพราะว่ามันเป็นรูทีนทุกวัน ๆ ฝรั่งแม่งก็ไม่ใช่ว่าจะดี มีเรื่องกันตลอด มันมาดูถูกน้องผู้หญิงเด็กเสิร์ฟที่ร้าน หรือบางทีมันมาดูถูกเพราะแค่เป็นคนไทย เราก็ยอมไม่ได้ไง มีเรื่องเกือบทุกวัน ต่อยกับฝรั่งบ้าง โยนฝรั่งออกจากร้านบ้าง 

ตอนที่วีซ่ากำลังจะหมดเราก็คุยกับพี่แฉะที่เป็นหัวหน้าเก่าตอนอยู่ Triple Two ซึ่งเขากำลังทำหนังอยู่ ก็บอกเขาไปว่าอยากจะกลับแล้ว เขาก็บอกว่ามึงกลับมาเป็นผู้ช่วยกูเลย จากนั้นเลยคุยกับแฟนว่ากลับกันเถอะ อยู่นี่เราจะไม่มีความสุข เพราะทำอะไรไม่ได้นอกจากงานร้านอาหาร อยู่แบบวีซ่าทำงานไม่ได้อีก ก็เลยตัดสินใจกลับก่อนที่คอนเนคชั่นที่ไทยมันจะหมดไป เดี๋ยวไฟเรามันจะมอดด้วย พอกลับมาก็เลยได้ทำเป็นผู้ช่วยผู้กำกับหนังให้พี่แฉะ ก็ขอพี่แฉะทำฟรี เคาะสนิมกันหน่อย แต่จริง ๆ พี่แฉะเขามีผู้ช่วยอยู่แล้วนะ

หลังจากจบโปรเจกต์หนังของพี่แฉะ พวกพี่น้องในวงการเขาก็เริ่มรู้แล้วว่าพี่กลับมา “ไอต้อยมันกลับมาแล้ว” จากนั้นก็เริ่มมาเป็นพิธีกรรายการเด็กบ้าง อยู่ช่อง Thai PBS ไปทำรายการผี จนสุดท้ายได้กลับเข้าไปทำงานอยู่ใน Workpoint อีกครั้ง แต่เป็นฟรีแลนซ์ ได้ทำรายการไมค์ทองคำ เพชรตัดเพชร พอทำเรื่อย ๆ ก็ได้มาเจอกับ ตั๊ก บริบูรณ์ 

และการเจอกับเทพบุตรแห่งแห่งสายน้ำ ‘ตั๊ก-บริบูรณ์ จันเรือง’ คือจุดเริ่มต้นของรายการตลกออนไลน์ที่ดังที่สุดรายการหนึ่งของไทยอย่างก็มาดิคร้าบ ที่จะเปลี่ยนชีวิตของพี่ต้อยให้ไม่เหมือนเดิมอีกเลย เราจะค่อย ๆ ให้พี่ต้อยเล่าไทม์ไลน์อย่างไม่ข้ามขั้นตอนละกันครับ

คือตั๊กเนี่ยเขาทำรายการมาก่อนหน้านั้นแล้ว เป็นรายการทำกันเองกับบอลแต่เจ๊งไปหลายล้านบาท จากนั้นเขาเลยหาโปรดิวเซอร์คนนึงที่จะทำงานกับเขาได้ ทางเจ๊ที่ Workpoint เขาก็แนะนำพี่ไป

UNLOCKMEN : พี่ต้อยเคยรู้จักกับพี่ตั๊กมาก่อนมั้ย

เคยรู้จักกันมาก่อนแต่ไม่ได้สนิทมาก ในสมัยที่พี่อยู่ Tripple Two พี่อยู่กลุ่มเดียวกับจ๊อบ นิธิ ตอนจ๊อบขึ้นบริษัท ขึ้นรายการพี่ก็ไปช่วยเขา แล้วตั๊กก็มาด้วย มันเป็นเด็กฝรั่งที่แม่งกวนตีนอะ สมัยนั้นพี่ก็เปรี้ยวไม่ยอมคนเหมือนกัน 

หลังจากวันนั้นก็สนิทกันประมาณนึง แล้วก็มาเจอกันตอนที่เขาชวนมาทำตอนกลับมาไทยแล้วนี่แหละ “พี่มาช่วยผมขึ้นรายการออนไลน์มั้ย” ตอนนั้นเราก็งงว่าทำออนไลน์คืออะไร ?

UNLOCKMEN : นั่นคือครั้งแรกพี่ต้อยจะทำรายการออนไลน์

กูก็งงกับออนไลน์ แต่ก็ไปช่วยตั๊กขึ้นรายการนะ อันแรกที่ทำออกมาคือ Boriboon Family EP.4 : บีลีฟหลงทาง!! พาน้องบีลีฟไปปล่อยในตลาดนัดเรือบินของช่อง BORIBOON FAMILY ตอนนั้นเป็นดราม่าเหมือนกันนะ เอาเด็กมาปล่อยในตลาดคนเดียว แต่ว่าจริง ๆ พวกทีมงานอยู่ไม่ไกลน้องเลย ถ่ายเห็นยังไม่รู้เลยว่าเป็นทีมงานเพราะแม่งสภาพโคตรโจร 

หลังจากคลิปนั้นก็รู้สึกว่ามันเป็นกระแสว่ะ คนมันดูรายการผ่านโทรศัพท์เยอะเว้ย “ออนไลน์แม่งมาพี่ ต่อไปทีวีแม่งตายแน่” ตั๊กพูดกับพี่แบบนี้เลยนะตอนชวนมาทำ เราก็ไม่เชื่อ เพราะวิธีคิดพี่ตอนนั้นการทำรายการทีวีมึงจะต้องมีแพทเทิร์น จะต้องเปิดรายการ ต้องเริ่มจากแนะนำนู่นนี่นั่นก่อนแล้วต้องจบแบบนี้นะ มันมีรูปแบบของมันอยู่ แต่พอได้เริ่มทำรายการ อะจ๊าก มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดในการทำงานเรา ให้คิดว่าทำยังไงให้มันมันเรียล โดยที่ไม่ต้องมีแพทเทิร์นมากแต่มันก็ต้องเป็นรายการทีวีอยู่

‘อะจ๊าก’ คืออะไร ? : คือรายการของช่อง GMM25 ตั้งแต่ปี 2019 (หลังจากบรรทัดนี้เราก็อปมาจาก GMM25 เลยเพราะก็อปปี้เขาสนุกมาก) เป็นรายการวาไรตี้ทอล์คอารมณ์ดี ของคนอารมณ์ดี ที่จะพาคุณผู้ชมไปพบปะกับแขกรับเชิญในรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่มีใครทำมาก่อน เรียกว่าสนุกจนไม่มีใครอยากเป็นแขกรับเชิญในรายการเลยทีเดียว แล้วยังมีสถานการณ์หรือภารกิจที่สร้างความสนุกในแต่ละสัปดาห์ทำร่วมกันกับ 6 พิธีกรสุดฮาอย่าง ตั๊ก บริบูรณ์ / บอล เชิญยิ้ม / ค่อม ชวนชื่น / นุ้ย เชิญยิ้ม /โรเบิร์ต สายควัน และ แจ๊ส ชวนชื่น ที่มากันเป็นทีมรับส่งมุขจนฮาน้ำตาเล็ด พร้อมสร้างความสุข เสียงหัวเราะ … (จริง ๆ ยาวกว่านี้มาก แต่พอแค่นี้แหละ)

ตอนนั้นมันเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่รายการออนไลน์กำลังเข้ามา พี่จะไม่มีแพทเทิร์นหนึ่งสองสามสี่ในการทำรายการอะจ๊าก อยู่ ๆ พี่จะเปิดรายการพี่ก็เปิด พี่ไม่สนใจ Background ไม่สนใจโลเคชั่น พี่จะเปิดรายการหน้าห้องน้ำก็ได้ เพราะพี่คิดว่าคนดูเขาไม่ดูอะไรแบบนั้นแล้ว คนดูเขาต้องการดูว่ากลุ่ม Joker Family จะเล่นอะไร คนดูน่าจะชอบความเรียล มันก็เป็นเหมือนการลองเหมือนกันนะ แต่พอลองแล้วอะจ๊ากมันใช่มันเลยจุดติดได้เร็ว แล้วพี่ว่าที่สำคัญก็คือเป็นเพราะแก๊งนี้ด้วยแหละ (น้าค่อม-ชวนชื่น / ตั๊ก-บริบูรณ์ / แจ๊ส-JSPK / บอล-เชิญยิ้ม / นุ้ย-เชิญยิ้ม / โรเบิร์ต-สายควัน) แก๊งนี้ในสมัยที่น้าค่อมกับพี่เบิร์ตยังอยู่คือเพอร์เฟ็คต์ที่สุดแล้ว 

รายการ “อะจ๊าก” พิธีกรทุกคนไม่มีใครรู้บท ไม่มีใครรู้สคริปต์ และไม่มีบรีฟ วันที่ถ่ายพี่ก็จิ้มเลยว่าจะแกล้งตั๊ก แกล้งบอล หรือแกล้งพี่เบิร์ตดี ซึ่งพี่จะมีสคริปต์เหมือนเป็นเบรคดาวน์ของตัวเองอยู่แล้ว มีคำถามเกี่ยวกับดารารับเชิญนิดหน่อย หลังจากนั้นก็ยาว เรียลอย่างเดียวครับ น้าค่อมจะชอบเดินมากระซิบพี่ตลอด “วันนี้มีอะไรบอกน้าด้วยนะ” เราก็จะบอกเขาว่าตรงนั้นมีระเบิดตรงนู้นมีงูนะก็จะเซฟ ๆ น้าค่อม เขาจะไปแอบ ๆ ขำคนเดียวรอดูไอคนที่จะโดนแกล้ง


ในช่วงเวลาที่ค่อย ๆ พีคขึ้นเรื่อย ๆ ของพี่ต้อยในฐานะโปรดิวเซอร์รายการตลก กับแก๊ง Joker Family เองที่ก็เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของกลุ่มคนทำคอนเทนต์ตลกของช่วงเวลานั้น ก็เกิดสองเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกือบจะทำให้พี่ต้อยและทีมต้องเลิกทำรายการกันไป นั่นคือ 1.covid19 2.การจากไปของน้าค่อมกับโรเบิร์ต

พออะจ๊ากมันพีคไปแล้วทางช่องเขาก็หยุดผลิตไป พี่ก็มาทำ ขบวนการโจ๊กเกอร์ ของช่อง Workpoint มันก็จะได้ความเรียลประมาณนึงเพราะมันอยู่ในสตูดิโอ แล้วพอกำลังจะหมดขบวนการโจ๊กเกอร์ มันก็มีโปรเจกต์ ก็มาดิคร้าบ ก็ได้คุยกันกับตั๊กกับบอลว่าจะให้พี่ขึ้นรายการนี้ในตำแหน่งผู้กำกับ 

พี่เคยเป็นเคยเป็นผู้ช่วย เคยเขียนบท เคยทำมาทุกอย่าง แต่ไม่เคยกำกับรายการซิทคอมจริงจังมาก่อน ก็รู้สึกท้าทายดีว่ะ ตรงที่ว่าคนเขามองรายการบริษัทฮามันทำดีไว้อยู่แล้ว พอมาขึ้นรายการก็มาดิคร้าบทุกคนเขาคาดหวัง เพราะนักแสดงทีมเดิมเลย แต่ผู้กำกับกับทีม Creative ใหม่หมด แต่พี่ก็รู้สึกว่ามันก็คืองานซึ่งอยู่ในสโคปที่เราเคยทำ มันจะยากแค่ไหนวะ แล้วแก๊งนี้ก็สนิทกันอยู่แล้วด้วย 

พอได้มาทำก็มาดิคร้าบจริง ๆ ตอนแรกมีปัญหาร้อยแปด รายการใหญ่กับทีมเล็กที่มีคนทำงานอยู่แค่ 2-3 คน ประจวบเหมาะกับฝ่ายประสานงานออกพอดี โห นี่แค่ช่วงที่ยังไม่ได้ขึ้นรายการเลยนะ งานหนักมาก ต้องคุยกับช่อง ตามฝ่ายพร็อพเรื่องฉาก ฝ่ายเสื้อผ้าต้องหาใหม่หมด บทก็ต้องดู คนเขียนบทก็ต้องหา หลังชนฝาแล้วอะ แต่สุดท้ายก็ทำออกมาจนขึ้นรายการได้ 

แรกสุดที่ทำบทก็มาดิคร้าบในฉากนึงมีประมาณ 5 หน้ากระดาษ ใส่เต็มแม็กซ์ นักแสดงนี่แบบ “นี่มึงเขียนบทจะทำซีรีส์หรือไง” ก็ค่อย ๆ ปรับ จาก 5 หน้าลดลงมาเรื่อย ๆ ทุกวันนี้เหลือแค่หน้าครึ่งแล้ว ช่วงขึ้นรายการแรก ๆ เราใส่เต็มไง ไม่ว่าจะเป็นตัดต่อ ไม่ว่าจะเป็น Sound Effect ลองอะไรใหม่ ๆ เลย แต่พอเป็นงั้นคนดูเก่าที่ตามเรามาเขาไม่ชิน เขาปรับตัวไม่ได้ ถ้าทุกคนย้อนกลับไปดูก็มาดิคร้าบเทป 1 – 2 จะรู้สึกว่าแม่งใส่อะไรมาเยอะแยะวะ อีกอย่างคือแล้วพอลองปรับบทให้นักแสดงลองเล่นแบบที่เขาไม่เคยเล่นเขาก็ไม่ชินอีก

แล้วรายการก็มาแกว่งตอนที่น้าค่อมเสีย (วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564) มันถึงขั้นที่จะไม่ทำต่อ แต่สุดท้ายเพราะติดลูกค้า ประกอบกับติดหลายอย่างก็เลยดัน ๆ ทำกันมาเรื่อย ๆ พี่คุยกับตั๊กกับบอลตลอดเลยนะ ถ้าไม่ไหวเราก็หยุดดีกว่าปะวะ โชคดีที่ลูกค้าไม่ยอม แต่พอไปต่อเสร็จมาเจอโควิดอีก นักแสดงใส่แมสเล่นกัน 2-3 ปี ช่วงที่มันกำลังดีน้าค่อมเสีย เจอโควิดเข้าไปแม่งดาวน์เลย แต่มันก็ไม่ถึงกับแย่เว้ย ก็เลยประคองกันมาจนมันดีขึ้น แล้วก็เอาพี่หลุยส์มาช่วย จริง ๆ ตอนนั้นก็พยายามหาคนมาเติมเนอะ เพราะตอนแรกยังมีพี่ป๋องกับนายอยู่ แล้วพอปรับขยับมาเรื่อย ๆ ก็ถือว่าตอนนี้ลงตัวที่สุดละ


UNLOCKMEN : สำหรับพี่ต้อยอะไรคือสิ่งที่เครียดที่สุดของการทำรายการตลกหรือคอนเทนต์ที่มีเป้าหมายเพื่อเรียกเสียงหัวเราะกับคนดู

ตอนแรก ๆ พี่เครียดนะ เหมือนเราเป็นผู้นำทัพแต่ทหารเอกยังไม่ค่อยมีเก่ง ๆ เป็นเด็กใหม่หมดเลย แล้วในช่วงแรก ๆ มันเป็นการทดลองไปเรื่อย ๆ เราก็พยายามเก็บสถิติเอาไว้ อันไหนเล่นแล้วกระแสดี อันไหนที่มันเล่นแล้วมันไม่เวิร์ค เราต้องทำงานให้เยอะกว่าชาวบ้าน พี่อ่านคอมเมนต์ เก็บเอามาคิดวิเคราะห์ดูว่าอันไหนควรทำหรือไม่ควรทำ 

แล้วการทำก็มาดิคร้าบสำหรับพี่มันต้องเสพข่าวเยอะ ตอนเช้าพี่จะดูข่าวตั้งแต่ 06:00 – 10:00 โมง พี่ดูข่าว 2 ช่องที่นำเสนอข่าวเดียวกันแต่ไม่เหมือนกัน เพื่อที่เราจะหาตรงกลางเอามาใช้งาน แล้วก็ดูข่าวที่เป็นกระแส เสพข่าวโซเชียลจาก Facebook / IG / TikTok แต่เวลาดูเราจะไม่ดูนานนะ เพราะเคยดูจนแบบทะเลาะกับเมีย เขาคิดว่าทำไมเราถึงติดโทรศัพท์ตลอดเวลา

UNLOCKMEN : แล้วมีดูรายการออนไลน์ใน Youtube บ้างมั้ย

พี่ไม่ได้ดู YouTube เยอะ เพราะมันเป็นคอนเทนต์ที่คนทำเขาได้คิดมาแล้ว ส่วนใหญ่พี่ดูจาก TikTok มากกว่า แล้วก็ Facebook บางทีมันจะมีทั้งข่าวแล้วก็คลิปต่าง ๆ ของต่างประเทศ คลิปคนเมาบ้าง ตำรวจจับคนแปลก ๆ บ้าง มาดูว่าคลิปไหนที่คนแชร์เยอะและพูดถึง

UNLOCKMEN : พี่ต้อยจะไม่ดูอะไรที่เป็นรายการเลย 

พี่ไม่ดูอะไรที่เป็นรายการเลย ส่วนใหญ่จะดูอะไรที่มันเกิดจากเหตุการณ์จริง กับดูข่าวที่เป็นกระแส

UNLOCKMEN : อยากรู้ว่าตั้งแต่ที่อะจ๊ากเปลี่ยนวิธีคิดในการทำรายการให้มีความเรียลมากขึ้น ในก็มาดิคร้าบยังใช้การ Improvise เป็นหลักเหมือนเดิมรึเปล่า เพราะรายการนี้ถ่ายในสตูดิโอ

ไม่ ๆ ก็มาดิคร้าบจะ Improvise แค่ประมาณ 20% คือพี่เชื่ออย่างงี้ บทมึงต้องดีก่อน แกนมันต้องแข็งแรง ถ้าเราจะไปหวังแต่นักแสดงพวกเขาจะเหนื่อย ถ่ายทีนึง 2 เทป 10 ฉาก (ทั้งหมด 10 เรื่อง) มันไม่สามารถที่จะ Improvise ได้ทั้งหมดหรอก เราก็เลยต้องมีของมาให้เขาก่อนประมาณ 80% มีเส้นเรื่อง มีบท แล้วที่เหลือเขาจะแวะด้นสดยังไงก็ปล่อยเขาเลย 

อย่างแจ๊สจะเป็นคนที่ไม่อ่านบท พี่ต้องเล่าให้มันฟังเวลาต่อบท (แต่คนอื่นอ่านนะ) พี่ต้อยเล่าให้ผมฟังเลยว่าอยากให้ผมทำอะไร พี่ก็เล่าไป พอถ่ายจริงแม่งลืม พอมันลืมพี่ก็ต้องตะโกนเข้าฉาก พอพี่ตะโกนออกไปไอแจ๊สมันสวนพี่กลับ กล้องก็ต้องหันมาทางพี่ มันเลยเป็นพี่แม่งออกทีวีอย่างที่เห็นไง

แล้วทำไมพี่ถึงต้องติดไมค์ไวร์เลส ก็เพราะสิ่งที่ไอแจ๊สมันด่ากับพี่คนดูมันไม่ได้ยินเสียงของพี่ไง มันเลยกลายเป็นเสียของ ก็เลยมึงเอาไวร์เลสมาให้กู พี่ก็เอาวางไว้อยู่ตรงมอนิเตอร์เพื่อให้เสียงมันได้ยินว่าด่าอะไรกัน มันเป็นความเรียลนั่นแหละ สิ่งที่คนดูคิดว่าพี่ต้อยแม่งเขียนบทให้ตัวเองมันเกิดจากตรงนี้ 

จริง ๆ พี่ไม่ค่อยชอบอยู่ข้างหน้ากล้องแบบจริงจังนะเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวพี่ เมื่อก่อนก็ใช่อยู่ แต่เหมือนพอเราอายุมากขึ้น เรารู้สึกว่าอยู่ข้างหลังแม่งสนุกว่ะ แต่ถ้าจะให้พี่โฉบ ๆ เข้าๆ ออก ๆ ก็โอเค 

UNLOCKMEN : เบื้องหลังของรายการ “ก็มาดิคร้าบ” มีวิธีการคิดที่ซับซ้อนแค่ไหน

เมื่อก่อนมันคิดซับซ้อนหลายชั้น แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าคนดูออนไลน์เป็นคนดูอะไรง่าย ๆ เสพง่าย ย่อยง่าย ในหนึ่งฉากเราคิดกันมาแล้วว่าอันนี้คนมันจะต้องแชร์ เราต้องคิดแค่นั้น แล้วหลังจากนั้นพอเราได้พอยท์หลักใช่มะ เราก็ค่อยคิดอะไรมาห่อมันอีกที

UNLOCKMEN : แสดงว่าคนดูสำคัญที่สุดในการคิดงาน

เราอยู่รู้แล้วว่าคนดูชอบดูอะไร พี่ว่ามันเป็นเหมือนคาดการณ์อะ

อย่างพูดถึง ‘ตัวตึง’ เอาจริง ๆ มันเกิดจากความไม่ตั้งใจเลยนะ เป็นการเปลี่ยนบทหน้างานเลยด้วยซ้ำ ครั้งแรกที่ได้ยินคนพูดคำนี้กันคือตัวตึงระยองมั้ง แล้วมันติดอยู่ในหัวของพี่ ก็เลยคุยกับตั๊กหน้างานตอนถ่ายว่าเดี๋ยวเปลี่ยนบทเลย เอาบทที่เขียนมาทิ้งไป คอสตูมไปหาเสื้อผ้าใหม่ พร๊อพไปหาของมา แจ๊สมึงมาดูนี่แล้วเล่นเลย พอเล่นเสร็จปุ๊ป ตัวตึงแม่งใช่ทาง ลำบากแจ๊สละทีนี้ (ยิ้มกริ่ม) 

แล้วแรก ๆ FC เขาจะยังไม่ค่อยส่งคลิปมาให้พี่ เราก็หากันกับน้อง ๆ ในทีม ที่ออฟฟิสมันจะมีกลุ่มไลน์ที่ใครเจออะไรก็เอามาแชร์กัน แต่ไม่ใช่ดูแล้วพี่จะเอาเลยนะ พี่เห็นคลิปแล้วจะรอก่อนว่ากระแสมันจะมาไหม คนแชร์ป่าววะ แต่แรก ๆ คนดูทีวีบางคนเขาไม่รู้ว่าพี่เล่นอะไร แจ๊สเล่นเป็นใคร ซึ่ง  FC เขาจะช่วยกันบอกว่าคลิปต้นฉบับอยู่ตรงนี้ มันก็จะกลายเป็นทำให้คลิปต้นฉบับพลอยมีชื่อเสียงและกระแสไปด้วย มันเป็นผลพลอยได้ที่ทำให้มีคนรู้จักเขาเยอะขึ้นแล้วอาจจะมีงานเยอะขึ้นด้วย

แต่เราก็ไม่ได้เอาทางตัวตึงเป็นหลักนะ บางเทปก็จะไม่มีตัวตึง ทำอะไรซ้ำเกินไปพี่กลัวคนดูเบื่อ แต่บางทีเราก็เหมือนกวนตีนปล่อยให้คนดูรอไป แล้วเดี๋ยวนี้ FC ส่งคบิปตัวตึงมาเยอะทุกช่องทาง เออมันก็ดีนะ ก็ขอบคุณ FC ที่ช่วยให้พี่ทำงานได้เบาลง ไม่ต้องไปเสียเวลา


ทุกครั้งที่พี่ต้อยพูดถึงแก๊ง Joker Family มันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเผลอตัวไม่ยิ้มออกมาจนกว้าง (พร้อมกับบ่นอย่างหนักใจทุกครั้ง) มันทำให้เราคิดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานี่ล่ะที่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เวทมนตร์แห่งเสียงหัวเราะเกิดขึ้นในรายการก็มาดิคร้าบ เราเลยจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่ว่าออกไป และคำตอบของพี่ต้อยก็ .. : ) 

UNLOCKMEN : ผมอยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ต้อยกับเหล่านักแสดงตลก ทำงานกับแก๊ง Joker Family มันพิเศษกว่าทำงานกับคนอื่นยังไงบ้าง

เอาแบบยังไม่ใช่แก๊ง Joker Family ก่อนละกัน นักแสดงตลกรุ่นใหญ่อย่างอาโน้ต อาเป็ด พวกระดับอา ๆ หรืออย่างพี่หม่ำ ทุกคนเขาจีเนียส รู้เยอะ และถ้าเรารู้น้อยกว่าเขาเมื่อไหร่นะ เราจะทำงานกับเขาเหมือนเป็นเด็กน้อย เมื่อไหร่ที่เขาเชื่อมั่นเราได้มันจะทำงานง่ายขึ้น แล้วเขาก็จะเปิดมากขึ้นด้วย อยากได้อะไรบอกเขาเลย เขาจัดให้เกินร้อย เขาจะไม่ใช่ทำงานแบบแค่ทำงาน แต่ทำงานแล้วสนุกด้วย

ในมุมมองของพี่นะ แก๊ง Joker Family เป็นเจนต่อจากแก๊งสามช่าที่มีความลูกเล่นลูกชนลูกทันสมัยเยอะ แล้วคาแรคเตอร์ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน มีการเอาเรื่องจริงมาอำบ้าง เอาเรื่องไม่จริงมาทำให้เป็นเรื่องจริงบ้าง มันปั่นอ่ะ แล้วแม่งปั่นเราที่เป็นผู้กำกับด้วยนะมันเลยสนุกไง 

และด้วยความเป็นพี่น้องมันเลยไม่ใช่การทำงานจบแล้วทุกคนแยกย้าย มันเหมือนครอบครัวจริง ๆ ใครเดือดร้อน ใครเจ็บไข้ได้ป่วย หรืออย่างพอเรามีปัญหาแก๊งนี้จะมาซัพพอร์ตตลอด มันเลยรู้สึกว่ามากกว่านักแสดงกับผู้กำกับ มันมากกว่าคนทำงานมันเป็นเหมือนพี่น้อง

UNLOCKMEN : แล้วในความเป็นครอบครัวหรือพี่น้องอย่างนี้เราต้องประณีประนอมอย่างไรเพื่อให้งานออกมาดีและไปต่อได้

พี่ไม่ค่อยประนีประนอม งานก็คืองาน แต่พวกนี้มันชอบจะเล่น คือมันเป็นเหมือนจับปูใส่กระด้ง มันไม่ค่อยสนใจพี่ด้วย เข้ามาในกองคุยกันนู่นนี่นั่นพี่ก็บ่นเลยนะ พวกมึงไม่เคยคุยกันหรือไงวะ แล้วมึงก็จะมาอยากกลับบ้านเร็ว 2-3 ทุ่ม แต่มึงคุยกับแบบนี้เมื่อไหร่จะได้เลิก แต่เราก็บ่นแบบทีเล่นทีจริง เราไม่ได้บ่นเพราะเราโกรธเขา พี่นุ้ยก็จะมาแบบว่า “พี่ต้อย พวกผมก็อ่านบทกันอยู่นี่ไง” เออ พี่นุ้ยอะอ่านจริง แต่ไอพวกที่เหลือมันไม่อ่านไง เดี๋ยวพอผมนับ 5 ปุ๊บมันก็จำบทไม่ได้ บางทีพี่ก็เรคคอร์ดไปเลย

UNLOCKMEN : ไม่ค่อยเหมือนทำงาน เหมือนมาเล่นกัน แต่ก็ออกมาเป็นงาน

ใช่ คือสุดท้ายปลายทางพี่ว่าทุกคนมันรู้อยู่แล้วว่างานต้องดี แต่ระหว่างทางเราอย่าไปตึงกับมันมาก มันถึงมีอำกันอู่ตลอดเวลา อำแม้กระทั่งเรื่องพี่เอาข้าวกองกลับบ้าน กูก็เอาจริงไง ก็สนุกดี

UNLOCKMEN : อีกสิ่งที่ผมสนใจในเรื่องของศาสตร์การทำรายการตลก มันจะมีเส้นแบ่งความ PC (Political Correctness) อย่างการบูลลี่การอำและอีกหลายประเด็นต่าง ๆ ที่ดูเส้นบางมาก ๆ อยู่ พี่ต้อยคำนึงถึงเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ

จริง ๆ เราก็โดนบ้างในเรื่องของการคุกคามทางเพศ แต่เรื่องบูลลี่จะน้อย เพราะว่าพี่ค่อนข้างซีเรียสอยู่แล้ว ว่าถ้าเล่นอะไรแล้วไปบูลลี่หรือเหยียดเขาพี่จะไม่เอา พี่จะบอกน้องหรือบอกนักแสดงตลอดว่าเราจะไม่เอาปมด้อยคนอื่นมาทำให้ขำนะ พี่จะไม่บูลลี่ไม่ดูถูกแต่จะทำยังไงแล้วให้มันออกมาน่ารัก แล้วก็ส่งเสริมให้คนที่พี่เอาเขามาล้อเลียนมีรายได้เพิ่ม เป็นผลดีกับเขา อย่างเมื่อไหร่ที่แจ๊สแต่งเป็นตัวตึงนะ คนนั้นจะพีคขึ้นมาเลย เราก็ทำแบบนี้ดีกว่า 

ส่วนเรื่องของการคุกคามทางเพศ จริง ๆ รายการพี่จะมีน้อง ๆ ผู้หญิงมาเวียนเล่นอยู่ในฉากตลอดอย่างที่เห็น เราก็จะเล่นกับน้อง ๆ ได้ประมาณนึง แต่ก่อนที่จะเล่นมันมีการคุยกับน้องก่อนแล้ว พวกพี่เล่นประมาณอย่างงี้นะน้อง พอเล่นเสร็จก็มีการขอโทษกันตลอด ก็เหมือนกันเราพยายามทำให้เป็นผลดีกับน้องด้วย น้อง ๆ ที่มาออกบอกว่าก็มีงานมีติดต่อเพิ่ม มันก็เป็นผลดีกับน้อง เพราะฉะนั้นก็เลยเอาเมย์ยืนพื้นไว้คนนึง ก็เวียนคนอื่นเรื่อย ๆ เพราะอยากให้ทุกคนได้งาน นั่นเป็นความคิดหลัก แต่คนที่หน้าตาดีเล่นดีก็จะเอากลับมาออกบ่อยหน่อย


ช่วงสุดท้ายของการสัมภาษณ์ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่หนักหน่วงที่เขาต้องขอสั่งคัทกับตัวเองเพื่อตั้งสติก่อนเริ่มใหม่ในบางครั้ง พี่ต้อยทำให้เราเห็นว่าแต่เขาก็ไม่เคยเลยที่จะปิดรายการเส้นทางผู้กำกับตลกนี้ลงเลย และไม่มีวันไหนที่จะทำด้วยความไม่ตั้งใจเลยสักครั้ง เอ้า ๆ ยิงสปอร์ทไลต์มาทางผู้กำกับคนนี้หน่อย เพราะความฝันของเขาจะทำให้คุณต้องทึ่ง ! 

UNLOCKMEN : พี่ต้อยคิดว่าอาชีพ Producer เป็นอาชีพที่ใช่ที่สุดในชีวิตแล้วหรือยัง หรือในอนาคตจะทำอะไรที่ต่างจากนี้มั้ย

มันไม่ได้เป็นอาชีพที่ใช่ที่สุดหรอก พี่เคยมีความคิดจะเบรคตัวเองกับการทำรายการทีวีด้วย เคยลองไปขายชานมไข่มุกมาแล้ว แต่สุดท้ายมันไม่ใช่ชีวิตเราว่ะ ชีวิตเราแม่งเหมือนโดนขีดมาให้ต้องทำงานด้านนี้ ยิ่งรายการก็มาดิคร้าบทำแล้วเรามีความสุข พี่คิดถึงวันที่เลิกทำไม่ออกเลยนะ เดี๋ยววันนี้สัมภาษณ์เสร็จก็ต้องไปประชุม คิดบท เอาจริง ๆ มันก็ยังไม่มีอะไรอยู่ในหัว แต่เดี๋ยวพอไปถึงมันจะมาของมันเอง เดี๋ยวนี้บางทีสองวันก็คิดจบ 20 เรื่องแล้ว พี่บอล พี่ตั๊ก น้องในทีมค่อนข้างที่จะแข็งแกร่ง รู้ใจกัน มันก็ไปกันเร็ว แล้วทุกคนมันสนุกกับงานด้วย

UNLOCKMEN : มีรายการอื่นนอกจากซิทคอมตลกอยากจะทำมั้ยในอนาคต

ส่วนตัวพี่อยากทำรายการของพี่เองที่เกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซต์ Harley (เดินตาม ต้อยๆ) มีไปสัมภาษณ์คน ตั้งใจว่าจะทำนานแล้วล่ะ พี่ไปซื้อกล้องมารอแล้วด้วยนะ แต่พอจะทำจริงแม่งขี้เกียจ เหนื่อย พอทำเองแล้วมันหลายอย่างเนาะก็เลยไม่ได้ทำสักที 

แต่ทำงานกับตั๊กกับบอลนี่มันแฮปปี้นะ จะขึ้นรายการอะไรก็ขึ้นได้หมด แต่ก็คงอยู่ในสายที่เฮฮาและตลกนี่แหละ ถามว่าทำรายการแบบอื่นได้ไหม พี่ทำได้ เพราะที่บริษัทก็มีทำหนังโฆษณาด้วย ทำ TVC ทำคลิปไวรัล ทำหลายอย่างแต่พี่ไม่ชอบ พี่บอกตั๊กอย่างนี้เลย ตั๊ก เอาตรง ๆ นะ งานอะไรที่เป็นสตอรี่บอร์ดพี่ขอไม่เอาได้ไหมวะ หรืองานอะไรที่เจอลูกค้าพี่ขอไม่ทำได้ไหม งานที่ต้องวางเฟรมสวย ๆ เอาให้พี่เกมโปรดิวเซอร์อีกคนทำไปเลย แต่อะไรที่โบ๊ะบ๊ะสนุกสนานมึงโยนมาเลย พี่ไม่เกี่ยง


เพราะว่าชีวิตของพี่ต้อยก็มาดิคร้าบหรือพี่ต้อย-ธงชัย คะใจ เต็มไปด้วยความสนุกอีกเยอะเกินกว่าจะใส่ในบทความเดียวได้หมด เราจึงขอปิดรายการเป็น Part 1  เอาไว้ก่อน และจะต่อกันที่ Part 2 ในสัปดาห์ต่อไปเพื่อคุยเรื่องชีวิตของพี่ต้อยกับความหลงใหลในมอเตอร์ไซต์ Harley กัน บอกเลยว่าเป็นเรื่องที่พี่ต้อยไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน ซึ่งโคตรสนุก ห้ามพลาดเด็ดขาด !

Photographer : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line