

Life
20 พฤติกรรมของคนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ แต่วันหนึ่งกลับล้มเหลวไปต่อไม่ได้
By: unlockmen May 10, 2017 60483
ความสำเร็จ เป็นเหมือนชนักที่ติดหลังมนุษย์ในระบบทุนนิยมทุกคนว่าจะต้องไขว่คว้ามันมาให้จงได้ ซึ่งบางคนมีโอกาส และจังหวะที่ดีในชีวิต ทำให้สามารถลงมือทำอะไรก็ดูจะประสบความสำเร็จไปเสียหมดจนดูเป็นเหมือนเรื่องง่ายดาย แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะความสำเร็จมักมาพร้อมความคาดหวังที่มากยิ่งขึ้นเสมอ จนทำให้บางครั้งคนที่ประสบความสำเร็จถึงจุดหนึ่งกลับพบว่าเขาไม่สามารถไปต่อได้เสียแล้ว กลายเป็นว่าทุกสิ่งที่สร้างมาพังทลายลงทันที
ซึ่งทีมงาน UNLOCKMEN ได้ไปพบหนังสือของ Marshall Goldsmith ที่ชื่อว่า What Got You Here Won’t Get You There ที่ได้วิเคราะห์อุปลักษณ์นิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ แต่วันหนึ่งไปต่อไม่ได้ เพราะติดอยู่กับที่ ไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ เราจึงอยากจะแชร์พฤติกรรมทั้ง 20 ข้อนี้ให้ทุกท่านได้ลองสำรวจตัวเองกันดู
คนที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ มักจะเสพติดชัยชนะ เพราะเคยชินกับการที่ลงมือทำอะไรก็ราบรื่นไปเสียหมด จนมองว่าชัยชนะคือความท้าทายอันดับ 1 และเมื่อเสพติดชัยชนะพวกเขามักจะไม่สนวิธีการเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายสูงสุดของตนเอง
เพราะประสบความสำเร็จมามากจึงเริ่มมีความเชื่อว่าความคิดของตัวเองนั้นดีที่สุดเสมอ เวลาที่มีคนพยายามจะนำเสนอไอเดีย ก็จะหักล้างด้วยความคิด โดยการเพิ่มคุณค่ากับความคิดของตนเองลงไป จนบางทีผู้นำเสนอไอเดียจะรู้สึกเกิดอาการด้อยค่าในความคิดของตัวเอง
คนที่ประสบความสำเร็จ มักจะใช้บรรทัดฐานของตัวเองเป็นที่ตั้ง และตัดสินคนอื่นทั้ง ๆ ที่อาจจะไม่รู้จักเขาเสียด้วยซ้ำ เพราะเชื่อมั่นในมาตราฐานจากความสำเร็จที่ผ่าน ๆ มาของตัวเอง
การแสดงความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ดี แต่บางครั้งการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ หรือทำลายล้างนั้น ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนรอบข้าง มีแต่จะยิ่งทำให้ผู้ที่ได้รับฟังความคิดเห็นนั้นรู้สึกแย่เกี่ยวกับตัวเองเพิ่มขึ้นเสียด้วยซ้ำ
เวลาเริ่มต้นบทสนา หรือมีคนแสดงความคิดเห็น คนประเภทนี้จะเริ่มต้นประโยคด้วยคำว่า ไม่, แต่, ไม่อย่างนั้น คำพูดเหล่านี้จะนำพาความรู้สึกของคู่สนทนาให้คิดว่าพวกเขากำลังแสดงความคิดเห็นที่ผิดอยู่หรือเปล่า
อย่างที่ได้บอกว่าคนประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการเอาชนะเป็นที่ 1 ดังนั้นเขาจะพยายามโชว์ หรืออวดศักยภาพ เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้และยำเกรงต่อตัวเขา ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มอีโก้ ทำให้ไม่รับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น
ความโกรธ นำพาไปสู่ภาวะอารมณ์ที่แปรปรวนได้อย่างมากมาย จากปัญหาที่มันเล็ก ๆ ก็สามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เพราะการพูดตอนที่โกรธมักทำให้ขาดสติ พอขาดสติก็พูดอะไรออกไปโดยขาดความยั้งคิด ตริตรอง จนนำพาไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดตามมา
คนที่ยืนอยู่ในจุดที่เคยประสบความสำเร็จแล้ว มักจะหาเหตุผลในเชิงลบ หรือความคิดมาเพื่อหักล้างความคิดเห็นของคนอื่นว่ามันไม่ดี พร้อมให้ผลลัพธ์ถ้าเกิดลงมือทำ โดยอ้างถึงประสบการณ์ที่ผ่าน คำชี้แจง และกระบวนการนี้จะผลักดันผลลัพธ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อคนรอบข้าง เพราะว่าคุณจะทำให้คนมองทุกอย่างเป็นลบไปเสียหมด
นิสัยที่ไม่ชอบเปิดเผยข้อมูล แม้กระทั่งคนใกล้ชิด เพราะกลัวว่าคนอื่นจะรู้ทันความคิดของตนเอง จนนำไปสู่การสูญเสียผลประโยชน์ในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง เพราะคิดไปเองว่าการมีข้อมูลมากกว่าหมายถึงเหนือกว่า
ลองนึกภาพตัวเองในตำแหน่งที่คุณไม่เคยได้รับการเหลียวแล หากต้องทำงานอย่างต่อเนื่องพวกเขาจะรู้สึกราวกับว่าสิ่งที่ทำคืองานที่ไร้ค่า และนั่นอาจส่งผลให้เกิดการทำงานที่ไม่ดีตามมา ดังนั้นการขอบคุณผู้มีส่วนร่วมในงาน แม้ว่าจะตำแหน่งอะไรก็ตามจึงเป็นสิ่งที่ควรจะทำ
ถ้าคุณไม่ได้แบ่งปันเครดิตกับเพื่อนร่วมทีมของคุณ พวกเขาอาจหันมาเริ่มต้นไม่พอใจเกี่ยวกับตัวคุณ ซึ่งจะเป็นเรื่องยากในการทำงานร่วมกันแบบทีมให้ประสบความสำเร็จ เพราะคงไม่มีใครอยากที่จะทำงานเหนื่อยเปล่า โดยที่ไม่ได้รับผลอะไรตอบแทน
การใช้ตำแหน่ง หรือความสำเร็จในอดีตมาเป็นข้ออ้างเมื่อตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ไม่ได้ช่วยให้งานที่กำลังลงมือทำนั้นดีขึ้น เพราะการมัวแต่หาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงกับปัญหาที่กำลังประสบ ไม่สามารถช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
คนเราสามารถทำเรื่องผิดพลาดได้ แต่เมื่อมันผ่านไปแล้วก็ควรจะปล่อยให้มันผ่านไป ไม่ใช่หยิบยกเอาเรื่องเดิม ๆ กลับมาพูดซ้ำ เพราะนอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังเป็นการทำให้บรรยากาศแย่ลงอีกด้วย
นิสัยที่เลือกมอบหมายงานตามความโปรดปรานส่วนตัว หรือให้ความสนิทกับคนที่มีผลประโยชน์ร่วม ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว คน ๆ นั้นอาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติดีพอกับการได้รับมอบหมายงานเสียด้วยซ้ำ มีแต่ฉุดรั้งความก้าวหน้าในการทำงาน
ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เนื่องจากได้รับชัยชนะมาตลอด จึงคิดว่าไม่มีวันที่จะต้องเจอความล้มเหลวอีก จนนำไปสู่การปฎิเสธยอมรับว่าตนเองผิดหรือยอมรับว่าการกระทำของตนเองที่มีผลต่อผู้อื่นอย่างไรบ้าง
การฟังไม่ใช่แค่นั่งอยู่แล้วทำหน้าเหมือนเข้าใจปล่อยให้คู่สนทนาพูดไปเรื่อย ๆ เท่านั้น แต่การฟัง ต้องใส่ใจ และให้ความสนใจกับคู่สนทนาของตัวเอง ว่าเขากำลังจะบอกข้อความอะไรกับคุณอย่างแท้จริง
คำชม เป็นเหมือนเป็นรางวัลง่าย ๆ ที่สามารถมอบให้เป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ร่วมงาน แต่คนที่ประสบความสำเร็จบางคนมักจะละเลย หรือเพิกเฉยต่อการกระทำนี้ โดยคิดว่าเราอยู่ในฐานะหัวหน้า ซึ่งได้มอบรางวัลเป็นค่าตอบแทนคือเงินเดือนให้ไปแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมอบคำชมใด ๆ อีก
นิสัยนี้มาจากการที่เป็นคนไม่ยอมรับความจริง และขาดความเชื่อใจกับคนรอบข้าง จนทำให้เกิดเป็นอีโก้ที่ว่าใครพูดไม่เข้าหู ต้องเตรียมเจอกับอุปสรรค และการลงโทษที่ตามมา
การโยนความผิดให้คนอื่นรับผิดชอบ นิสัยเช่นนี้คงไม่มีใครที่อยากจะร่วมงานกับคุณมากสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าคุณจะเคยประสบความสำเร็จมามากมายสักเพียงใด แต่ถ้าไม่รู้จักยอมรับว่าตัวเองผิดแบบนี้คนรอบตัวก็คงจะหนีหายไปหมดในอีกไม่ช้า
ใช้วิธีเอาตัวรอดด้วยการบอกว่า เพราะนี่คือตัวฉัน ก็เพราะฉันเป็นคนแบบนี้มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว นี่เป็นข้ออ้างในการบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบเหมือนกับข้อที่ 15 เพราะไม่ว่าอย่างไร เมื่อกระทำผิดก็ต้องยอมรับผิดด้วยตัวเอง ไม่มีใครจะมาแก้ไขในข้อผิดพลาดของคุณได้ทั้งหมดหรอก
นอกจากนี้ในหนังสือของ Marshall Goldsmith ยังกล่าวพูดถึงนิสัยข้อที่ 21 ซึ่งเป็นรากเหง้าของพฤติกรรมแย่ ๆ ทั้ง 20 ข้อก่อนหน้านี้คือ “ความหลงใหลกับกับเป้าหมายมากจนเกินไป” และคิดว่ามันคือความสุขที่แท้จริงของชีวิต คุณจะทุ่มเทพลังกาย และพลังใจเพื่อจะบรรลุเป้าหมายเพียงอย่างเดียว จนลืมคิดไปว่า เงิน ทอง ชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งความสำเร็จมันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง มันคือสิ่งที่มนุษย์คาดหวังคิดว่าถ้ามีแล้วจะทำให้มีความสุข จนมองไม่เห็นความภาคภูมิใจ และไม่เคยชื่นชมกับปัจจุบันที่เป็นอยู่
ดังนั้นชาว UNLOCKMEN ควรเก็บทั้ง 21 ข้อนี้มาเพื่อเตือนตนเอง และระมัดระวังหลีกเลี่ยงกับการกระทำเหล่านี้ เพราะเมื่อคุณอยู่ในตำแหน่งที่สูง ๆ แล้ว บางครั้งก็จะมีจุด blindspot ที่ตัวเองมองไม่เห็นว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งถ้าหากอยากรู้วิธีการรับมือกับพฤติกรรมเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้น ก็สามารถไปอ่านทั้งหมดได้ในหนังสือ What Got You Here Won’t Get You There ที่เขียนอธิบายเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดีเยี่ยม