

Life
เจาะลึกตำนาน ต้นแบบเจ้าพ่อมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก Al Capone
By: unlockmen May 14, 2015 6056
ในช่วงต้นยุค 1920s เป็นยุคที่ธุรกิจผิดกฏหมายเฟื่องฟูถึงขีดสุดในอเมริกา มีบรรดาแก๊งมาเฟียผุดขึ้นมาทุกหัวระแหงเพื่อท้าทายอำนาจรัฐ แต่มีอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตำนานของวงการมาเฟีย เขาทำธุรกิจผิดกฏหมายหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าเหล้าเถื่อน, การพนัน, การค้าประเวณี รวมทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฆาตกรรมหลายสิบคดี เล่ากันว่า FBI มีแฟ้มเอกสารรายละเอียดของคดีที่เขาเกี่ยวข้องเป็นเล่มๆ แต่ไม่มีใครสามารถเอาผิดเขาได้ กล่าวกันว่าเขาสามารถซื้อองค์กรตำรวจได้ทั้งองค์กร สามารถซื้อผู้พิพากษาและคณะลูกขุนได้ทั้งศาล อีกทั้งไม่ว่าจะแก๊งน้อยใหญ่ที่ไหนก็ไม่กล้าต่อกรเขา รวมทั้งยอมยกให้เขาเป็นเบอร์หนึ่งแห่งยุค หากใครที่เขาหมายหัวเป็นศัตรูแล้วไม่เคยรอดชีวิต ถือกันว่าเขาคนนี้เป็นผู้ขับเคลื่อนวงการใต้ดินของอเมริกาในยุคหนึ่งเลยทีเดียว คนที่เรากำลังพูดถึงนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขาคนนี้ เจ้าพ่อมาเฟียอเมริกาผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือแม้เวลาจะล่วงผ่านมานับร้อยปี “อัล คาโปน”
อัล คาโปน หรือ อัลฟองเซ่ คาโปเน เกิดในปี ค.ศ. 1899 เขาเริ่มต้นชีวิตจากการเป็นลูกของช่างตัดผมฐานะยากจนคนหนึ่งในรัฐนิวยอร์ก ครอบครัวของเขาได้ทำการอพยพมาจากอิตาลี ตั้งแต่ปี 1894 เขามีพี่น้องหลายคน เหตุที่ฐานะทางบ้านไม่ดีนี้เองทำให้เขาต้องลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถม เพื่อมาทำงานช่วยทางบ้าน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่เห็นหนทางที่จะช่วยทำให้ชีวิตของตัวเองและคนที่เขารักดีขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้เองทำเขาต้องพาตัวเองเข้าสู่ชีวิตวงการมาเฟียในที่สุด โดยเขาคงคาดไม่ถึงว่าเส้นทางที่เขาเลือกนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล
เขาเริ่มต้นชีวิตมาเฟียจากการถูกชักชวนเข้าแก๊งทอร์ริโอจาก เจ้าพ่อจอห์นนี่ ทอร์ริโอ ด้วยตัวเอง เนื่องมาจากได้ยินกิติศัพท์ในวงการว่าอัล คาโปน เป็นคนมีฝีมือดีและมีไหวพริบ ทำให้อัล คาโปนทิ้งนิวยอร์กเพื่อมาเข้าแก๊งและอาศัยอยู่ในชิคาโก จากการที่แก๊งทอร์ริโอประสบความสำเร็จได้กำไรมหาศาลขึ้นเรื่อยๆ จากการประกอบธุรกิจผิดกฏหมายต่างๆ จนสามารถยกระดับของแก๊งให้ขึ้นมาเทียบชั้นแนวหน้า กระทั่งแก๊งทอร์ริโอเริ่มขึ้นมามีอำนาจเบ็ดเสร็จในวงการมาเฟียจากการที่สังหาร “บิ้กจิม” เจ้าพ่อจากแก๊งคู่แข่ง ด้วยเหตุนี้เองทำให้ไม่นานแก๊งทอร์ริโอก็แผ่อำนาจมีชื่อเสียงครอบคลุมไปทั่ววงการ ในยุคนั้นเรียกได้ว่าเป็นยุคของเจ้าพ่อจอห์นนี่อย่างแท้จริง
อัล คาโปน เริ่มไต่เต้าระดับจากการเป็นเพียงผู้น้อย จนกระทั่งสามารถมายืนอยู่ในมือขวาของแก๊งได้ในที่สุด จนกระทั่งในเดือน มกราคม ค.ศ.1925 เจ้าพ่อจอห์นนี่ ทอร์ริโอ ก็ถูกลอบสังหารขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัวบนถนนสายหนึ่งในเมืองชิคาโก เมื่อกลับจากไปทำการช็อปปิ้ง เขาถูกกระหน่ำยิงหลายต่อหลายนัดแต่ด้วยความดวงแข็งทำให้เจ้าพ่อจอห์นนี่ ทอร์ริโอรอดตายมาได้ เมื่อเขาได้ทำการรักษาตัวเสร็จแล้ว ก็ตัดสินใจทำการมอบโอนตำแหน่งเจ้าพ่อคนต่อไปของแก๊งให้ อัล คาโปน อย่างเป็นทางการ
อัล คาโปน ในวัยเพียง 26 ปี ได้ขึ้นมาคุมบังเหียนของแก๊งทอร์ริโอ ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงในวงการสังคม ภาพลักษณ์ของการใส่สูท ผูกไทท์ ใส่เพชรเม็ดโต คาบบุหรี่ ถูกแพร่ออกไปตามสื่อในสังคม จนกระทั่งเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราไปในที่สุด ไม่นานอัล คาโปนกลายเป็นคนดังของสังคมไฮโซคนหนึ่งไปโดยปริยาย คำตอบคลาสสิคที่เขามักตอบนักข่าวจนชินหูคือ “ผมเป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่ง ที่หวังทำธุรกิจเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนก็เท่านั้น” เขาได้รับฉายาว่า “โรบินฮูดยุคใหม่” จากการที่บริจาคเงินและทำการกุศลต่างๆ ซึ่งภาพเหล่านี้ได้ขัดกับเหตุการณ์นองเลือดต่างๆที่กำลังจะตามมาอีกไม่นาน
แก๊งทอร์ริโอยังคงปฏิบัติภารกิจผิดกฏหมายอย่างต่อเนื่อง โดยอัล คาโปน ได้คิดลู่ทางธุรกิจแนวใหม่ในยุคนั้นขึ้นมา ซึ่งในภายหลังธุรกิจนี้ได้เรียกกำไรให้กับแก๊งของเขาอย่างจำนวนมหาศาล นั่นคือธุรกิจการนำเข้าเหล้าเถื่อนนั่นเอง เพราะในยุคนั้น เหล้ายังเป็นสินค้าที่เลี่ยงภาษียาก และถูกควบคุมปริมาณการนำเข้าโดยรัฐ ทำให้สินค้าประเภทนี้ขาดตลาดอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อ อัล คาโปน ได้ริเริ่มธุรกิจตรงนี้ขึ้นทำให้เขาทำรายได้ ได้อย่างมหาศาล อัลคาโปนได้สร้างศัตรูมากมายที่หมายจะเอาชีวิตเขาจากการจับธุรกิจนี้อย่างไม่รู้ตัว
ในปี 1925 อัล คาโปน ได้ไปพบกับหัวหน้าเก่าของเขาโดยบังเอิญ เขาคนนั้นคือ แฟรงกี้ เยลล์ ซึ่งเป็นผู้ที่คอยสอนงานและชี้นำเขาเมื่ออัล คาโปน เข้ามาอยู่ในแก๊งทอร์ริโอใหม่ๆ จนกระทั่งแฟรงกี้ได้ตัดสินใจลาออกจากแก๊งไปใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา เขาได้เตือนอัลคาโปนว่าแก๊งริชาร์ด โอเนอร์แกน ซึ่งเป็นแก๊งคู่แข่งทางการค้าเหล้าเถื่อน กำลังวางแผนพยายามจะสังหารอัล คาโปนและคนของเขาในวันคริสต์มาสต์ที่ทางแก๊งอัล คาโปน กำลังจะจัดขึ้น แฟรงกี้พยายามกล่อมให้อัล คาโปน ทิ้งชีวิตนักเลงแล้วหันกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา อัล คาโปน ในวัยคึกคะนองไม่ฟังคำเตือนใดๆทั้งสิ้นและเริ่มวางแผนการแก้แค้นทันที และแล้วคืนวันคริสมาสต์นองเลือดก็มาถึง อัล คาโปนและพวก ได้ทำการเตรียมอาวุธครบมือ และทำการเชิญแก๊งริชาร์ด โอเนอร์ มางานตามปกติ แต่แล้วเมื่อทางแก๊งริชาร์ดมาถึง เขาและพรรคพวกก็ทำการกระหน่ำกระสุนใส่แก๊งคู่อริทันที จนกระทั่งคนจากแก๊งริชาร์ด โอเนอร์แกน เสียชีวิตทั้งหมด เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่อัล คาโปน พยายามส่งคำเตือนไปถึงแก๊งอื่นๆ ที่พยายามจะมาเป็นคู่แข่งที่ทำให้เขาเสียผลประโยชน์
หลังเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว อัล คาโปน ยังได้มีส่วนในเหตุฆาตรกรรมหมู่อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นข่าวคึกโครมอย่างมากในหน้าหนังสือพิมพ์ยุคนั้น คือเหตุการณ์ Saint Valentine’s Day Massacre หรือ “ฆาตรกรรมหมู่ในวันเซนต์วาเลนไทน์” ประเด็นของการฆาตกรรมในครั้งนี้นอกจากอัล คาโปนต้องการสะสางบัญชีแก้แค้นให้จอห์นนี่ เจ้านายเก่าที่ถูกแก๊งนี้พยายามลอบสังหารแล้ว ยังได้ผลประโยชน์อีกอย่างนึงคือการลดคู่แข่งในธุรกิจการค้าเหล้าเถื่อนด้วย แก๊งที่พูดถึงนี้คือ “แก๊งมอแรน” ซึ่งในเวลานั้นกำลังมีอิทธิพลในทางตอนเหนือของชิคาโกนั่นเอง อัล คาโปนและพรรคพวกวางแผนหลอกซื้อเหล้าเถื่อนจากแก๊งมอแรนคู่อริ โดยเตรียมพรรคพวกให้ใส่ชุดตำรวจปลอมไว้ เมื่อเหล่าแก๊งมอแรนมาถึง ก็ได้ให้ตำรวจปลอมทำเป็นเข้าตรวจค้นแล้วให้เหล่าสมาชิกแก๊งมอแรนหันหน้าเข้ากำแพง เมื่อทั้งหมดหันหลังให้แล้ว คนของแก๊งอัล คาโปนก็ทำการยิงกระสุนกราดใส่อย่างเลือดเย็น ในเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตถึง 7 ราย นอกจากเหตุการณ์นี้ อัล คาโปนยังมีส่วนในเหตุฆาตกรรมหมู่อีกหลายๆ เหตุการณ์ จนกระทั่งเขาถูก FBI ขึ้นบัญชีดำเป็นอันดับหนึ่งของรายนาม “Public enemy” หรือ “ศัตรูของประชาชน” นั่นเอง
หลังจากนั้น อัล คาโปน ถูกจับกุมหลายครั้ง จากหลายๆข้อหา เช่น การพกพาอาวุธ หรือมีส่วนพัวพันในธุรกิจมืดอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครสามารถโยนเขาเข้าคุกได้เลย เนื่องมาจากอัล คาโปน ได้จ้างทนายความชื่อดังแห่งยุคเป็นทนายส่วนตัวของเขา นั่นคือ “อีซี่ เอ็ดดี้” นั่นเอง กล่าวกันว่าทนายความคนนี้มีความสามารถถึงขนาดว่าความในคดีระหว่างประเทศได้เลย แต่แล้ววันหนึ่ง นายอีซี่ นี้เอง ที่เป็นจุดเปลี่ยนทำให้ชีวิตของเจ้าพ่อมาเฟียอย่างเขาต้องพังลง
ในปี 1931 ชีวิตของเจ้าพ่อมาเฟียแห่งยุคก็ต้องจบลง โดยน้ำมือของทนายความส่วนตัวของเขาเอง อีซี่ เอ็ดดี้ เป็นทนายความที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เขาต้องการจะเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดให้ลูกชายของเขา แต่ด้วยข้อครหาของสังคมว่าเขาทำงานรับใช้อัลคา โปน ทำให้เขาตัดสินใจติดต่อองค์กรตำรวจและให้การปรักปรำ อัล คาโปน และพรรคพวกในข้อหาเลี่ยงภาษี จนท้ายที่สุดองค์กรตำรวจสามารถเอาผิดอัล คาโปนได้ แม้ในปีนั้น อีซี่ เอ็ดดี้ จะถูกคนของอัล คาโปน ลอบยิงเสียชีวิตและจากไป แต่ความดีที่เขาทิ้งไว้ยังคงอยู่ เพราะแม้เวลาจะผ่านมานับร้อยปี ชื่อของเอ็ดดี้และคุณงามความดีของเขาก็ยังถูกเขียนถึงในทุกหน้าประวัติของอัล คาโปน เพื่อให้เราได้ระลึกถึงคุณธรรมของเขากันอยู่ อัล คาโปน ถูกส่งไปคุมขังในคุกอัลคาทราซซึ่งถือเป็นคุกที่แน่นหนาที่สุดในยุคนั้นของอเมริกา สร้างขึ้นเพื่อจองจำนักโทษที่เป็นคนสำคัญเท่านั้น ปิดฉากชีวิตของเจ้าพ่อมาเฟียผู้เป็นตำนานมาเนิ่นนานถึงหลายทศวรรษในที่สุด
เรื่องราวชีวิตของอัล คาโปน ถูกฮอลลีวู้ดนำมาทำเป็นภาพยนตร์ในเรื่อง The Untouchables ผลงานกำกับโดย ไบรอัน เดอ พัลมา ซึ่ง โรเบิร์ต เดอนิโร รับบทเป็นอัล คาโปน และเขายังปรากฏตัวในซี่รี่ย์หลายต่อหลายเรื่อง เช่น Boardwalk empire เป็นต้น นอกจากนี้เขายังเป็นที่มาของแรงบันดาลใจในเพลง Smooth Criminal ของไมเคิล แจ็กสัน ราขาเพลงป๊อปของโลกอีกด้วย