Apple Vision Pro AR Headset อุปกรณ์ที่จะทำให้เราสนุกกับโลกเสมือนจริงได้มากกว่าที่เคย

น่าตื่นเต้นมาก ๆ สำหรับโลก AR/VR ในตอนนี้ หลังจาก Meta ชิงเปิดตัวแว่น VR Quest 3 ตัวใหม่ออกมา ตอนนี้ Apple ได้เปิดตัว Vision Pro AR ที่หลายคนรอคอยมานานออกตามมาติด ๆ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในราคาแสนกว่าบาท ซึ่งแพงกว่า Quest 3 หลายเท่าตัว! และล้ำหน้ากว่าทุกเจ้าในตอนนี้

โดย Apple ได้เปิดเผยว่า เจ้า Vision Pro ตัวนี้นั้นใช้เวลาในการพัฒนานานถึง 7 ปี จุดขายของมันคือความล้ำของกล้อง 12 ตัว และเซ็นเซอร์ 5 ตัว ที่สามารถจับการเคลื่อนไหวของตา มือ และนิ้วของผู้ใช้ในการควบคุมได้อย่างแม่นยำ ทำให้เราสามารถควบคุมการทำงานด้วยสายตา หรือนิ้วมือได้ โดยที่ไม่ต้องถืออุปกรณ์ควบคุมอยู่ในมืออีกต่อไป นี่คือความล้ำอย่างเหนือชั้นในตอนนี้

ตามมาด้วยฟีเจอร์ FaceTime อีกหนึ่งจุดขายที่ล้ำหน้าเจ้าอื่น Vision Pro สามารถแสดงภาพคนขนาดเท่าตัวจริง ทำให้รู้สึกเหมือนพบเจอกันจริง ๆ ในใบหน้าที่สมจริงที่สุดในตอนนี้ สามารถมองเห็นโลกเสมือนริงรอบตัวที่กว้างขึ้นได้ ด้วยฟีเจอร์ EyeSight ที่ทำให้คนรอบข้างรู้ว่าเรากำลังดูอะไรอยู่ 

อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Mac ของ Apple ทำให้เราสามารถขยายหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงในพื้นที่เสมือนจริงของเราได้อย่างเต็มที่ สามารถรับชมเนื้อหาความบันเทิงได้ด้วยโหมดวิดีโอเฉพาะ ที่ช่วยให้เราสามารถปรับขนาดหน้าจอได้แบบเรียลไทม์ สำหรับการเล่นเกมชุดหูฟังจะรองรับเกมมากกว่า 100 เกมจากคลัง Apple Arcade และยังสามารถเชื่อมต่อกับคอนโทรลเลอร์ PS5 หรือ Xbox ได้อีกด้วยโดนใจสายเกมสุด ๆ ไปเลยงานนี้ 

ซึ่งเจ้า Vision Pro ตัวนี้ทำงานบนชิป M2 ของ Apple เช่นเดียวกับชิปใหม่ที่ชื่อ R1 ระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์นี้มีชื่อว่า visionOS เป็นระบบปฏิบัติการตัวแรกที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานในโลกเสมือน สามารถทำงานได้เป็นเวลาสองชั่วโมงด้วยแบตเตอรี่ภายนอก ใช้งานได้ตลอดทั้งวันเมื่อเสียบปลั๊ก และแทนที่ Face ID ด้วย Optic ID โดยจะใช้เซ็นเซอร์ตาในตัวอุปกรณ์เพื่อยืนยันตัวตนของผู้ใช้ ราวกับหลุดมาจากหนัง SCI-FI

ความล้ำเหล่านี้ถูกใส่มาในแว่นกระจกลามิเนตขึ้นรูป 3 มิติน้ำหนักเบา มีแผ่นรองใบหน้าที่มีความโค้งงอ สามารถปรับให้เข้ากับใบหน้าต่าง ๆ ได้ มาพร้อมกับสายรัดศีรษะแบบยางที่พันรอบศรีษะ และแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่ใส่แว่นตา โดยการดีไซน์ช่องใส่เลนส์สายตาเข้ากับเลนส์ของแว่นได้

Vision Pro จะเริ่มวางจำหน่ายภายในต้นปีหน้า ในราคา 3,499 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 120,000 บาท รอติดตามกันในเว็บไซต์ของ Apple กันได้เลย