ถอดรหัสความเท่ของ Joe Biden สุภาพบุรุษผู้มีการประนีประนอมอยู่ในหัวใจ

การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และ โจ ไบเดน (Joe Biden) ถือเป็นอีเวนท์หนึ่งที่ใครหลายคนรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ คนไทยเองยังลุ้นกันเหงื่อตกว่าใครจะเป็นผู้ชนะและได้เป็นประธานาธิบดี

UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จัก โจ ไบเดน ในฐานะชายผู้ให้ความสำคัญกับการประนีประนอมเป็นอย่างมาก

ชีวิตของ โจ ไบเดน ได้เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1962 เขาเกิดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมือง Scranton รัฐ Pennsylvania ของสหรัฐฯ และเติบโตในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก พร้อม น้องสาว และน้องชายอีก 2 คน

พ่อของเขาทำงานในธุรกิจผลิตสารกันรั่วสำหรับเรือการค้า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ช่วงปี ค.ศ.1950 ครอบครัวของเขาก็ประสบกับปัญหาทางด้านการเงิน โดยในปี ค.ศ.1953 ไบเดน และครอบครัวต้องใช้ชีวิตอยู่ในอพารท์เมนของญาติฝั่งแม่ ในเมือง Claymont รัฐ Delaware อยู่หลายปี ก่อนจะได้ย้ายไปอยู่ในบ้านที่เมือง Wilmington รัฐ Delaware และ พ่อของเขาก็ได้งานใหม่เป็นเซลล์ขายรถ และมีผลงานที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ ครอบครัวไบเดน จึงรักษาสถานะครอบครัวชนชั้นกลางไว้ได้

ไบเดน เรียนชั้นประถมและมัธยม ในโรงเรียน Archmere Academy ที่อยู่ในเมือง Claymont มีความโดดเด่นด้านกีฬา เขาเข้าร่วมทีมฟุตบอลของโรงเรียน ในฐานะผู้เล่นในตำแหน่ง Halfback และ Wide Receiver นอกจากนี้เขายังเล่นเบสบอลด้วย ช่วงนั้นความเป็นผู้นำของไบเดนก็ฉายแวว เขาเคยได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียน ในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นประถมและมัธยม

พอเขาโตขึ้น เขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย Delaware ที่อยู่ในเมือง Newark และได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต ในปี ค.ศ.1965 ควบเมเจอร์วิทยาศาสตร์การเมือง และไมเนอร์ภาษาอังกฤษ แต่เขาก็ไม่หยุดที่จะศึกษา เขาเรียนต่อด้านนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย Syracuse University ในนครนิวยอร์ก พร้อมจบการศึกษาในปี ค.ศ.1968 หลังจากเรียนจบไม่กี่ปีเขาก็เริ่มเข้าสู่วงการการเมือง ในปี ค.ศ.1970 เขาได้รับการเลือกเป็นสมาชิกสภาเมือง New Castle และได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ อีกหลายครั้ง และเคยได้รับเลือกเป็นรองประธานาธิบดีในสมัยรัฐบาลโอบาม่าด้วย

และต่อมาในปี ค.ศ.2019 เขาก็ประกาศเป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประจำปี ค.ศ.2020

พอพูดถึง โจ ไบเดน หลายคนอาจเห็นภาพนักการเมืองแก่ๆ คนหนึ่งในชุดสูทผูกไทด์ เราอยากบอกว่า ไบเดน ถือเป็นคนหนึ่งที่ใครหลายคนเรียกว่าเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่ง เป็นนักประนีประนอม และสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคน

Aubrey Immelman ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา กล่าวในงานวิจัยของเขา ‘The Political Personality of Former U.S. Vice President Joe Biden’ ว่า ไบเดน เป็นคนประเภทชอบเข้าสังคมประนีประนอม (conciliatory extravert)

คนกลุ่มนี้จะโหยหาการยอมรับจากคนอื่น ชอบให้คนอื่นมองตัวเองเป็นเพื่อน หรือ พวกพ้อง และหัวหน้าที่มีลักษณะแบบ Joe Biden มักจะมีความยืดหยุ่น ชอบประนีประนอม และให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม

ความยึดมั่นในหลักประนีประนอม ไบเดน ยังเห็นได้ชัดจากการกล่าวในที่สาธารณะของเขาในหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เช่น เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ในการประชุมตัวแทนสมาคมการศึกษา Joe Biden กล่าวถึงการประนีประนอมว่า ไม่ใช่คำสกปรก มันเป็นวิธีการการทำงานของรัฐบาล และเขาได้ทำมันมาทั้งชีวิต

สิ่งที่มีอิทธิพลต่อความเป็นนักประนีประนอมของเขาอย่างมาก คือ ความพิการ Joe Biden พูดติดอ่างตั้งแต่เด็ก และเขาต่อสู้กับมันมาโดยตลอด เขาใช้วิธีการร่ายกวีนิพนธ์หน้ากระจก พร้อมกับสังเกตใบหน้าของตัวเองไปด้วย เพื่อบรรเทาอาการพูดติดอ่าง ซึ่งการต่อสู้กับสภาพร่างกายที่แตกต่างจากคนอื่นในตอนเด็ก ทำให้เขากลายเป็นคนกลายเป็นคนเข็มแข็งและเห็นอกเห็นใจคนอื่นในอนาคต และโชคดีที่เขาได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว

อย่างไรก็ตาม บางคนบอกว่า การพูดติดอ่างส่งผลต่อการดีเบทของเขาเหมือนกัน แต่อีกด้านหนึ่ง เขาก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนพิการหลายๆ คน ทำให้หลายคนเห็นว่า การพูดติดอ่าง ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการพูดในที่สาธารณะ สิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ สิ่งที่เราต้องการจะพูดออกไป

ล้ม 7 ครั้ง ต้องลุกขึ้นให้ได้ 8 ครั้ง สุภาษิตญี่ปุ่นที่สะท้อนความเป็น Joe Biden ได้ดี แม้เขาจะเคยเจอกับการสูญเสียคนในครอบครัว ได้แก่ ลูก 2 คน และ ภรรยาคนแรก แพ้เลือกตั้งประธานาธิบดีมา 2 ครั้ง แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อกับการเข้าร่วมการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จนถึงตอนนี้

“พ่อแม่สอนผมว่า ความแตกต่างไม่ได้เป็นอุปสรรค์ต่อความสำเร็จ และสิ่งที่วัดผู้ชาย ไม่ใช่ความถี่ในการล้ม แต่เป็นความเร็วในการลุกขึ้นมา” Joe Biden กล่าว

‘ความเป็นสุภาพบุรุษ’ ‘เห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ ‘ไม่ย่อท้อต่อปัญหา’ ถือเป็น 3 ลักษณะสำคัญของ Joe Biden และเราเห็นว่ามันเป็นลักษณะที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตในตอนนี้มาก

ในตอนที่สังคมมีเรื่องที่ทำให้เราปวดหัวทุกวัน…