Business

FREEDOM TO FAIL : เคล็ดลับความสำเร็จของ Mark Zuckerberg

By: UNLOCKMEN Team May 29, 2017

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าบทความนี้อาจจะไม่ได้เหมือนคนอื่นที่แปลตรงตัวเป๊ะ ๆ จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ตรงกับความคิดของผมบางส่วนอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่กล้าเขียน เพราะมันสุดโต่งเกินไป กลัวว่าจะมีหลายคนมาแย้ง แต่พอมีคนดังระดับโลกมายืนยัน เลยกล้าที่จะเขียนบทความนี้ และจะใส่ความคิดเห็นของผมเข้าไปด้วย เพื่อเติมเต็มอรรถรสให้เข้าใจในสิ่งที่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กต้องการจะสื่อได้มากขึ้น ผมจะใส่เรื่องราวของประเทศไทยเข้าไปบ้าง

ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มเรื่องนี้กันเลย!

มาร์คได้พูดถึงสิ่งสำคัญในการกล่าวสุนทรพจน์ในงานรับปริญญาของมหาวิทยาลัย  Harvard โดยได้พูดเรื่องสำคัญเกี่ยวกับคำว่า “เป้าหมาย”

ในชีวิตของคนเรา ทุกคนคงกำลังหาค้นหาตัวเองว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไร แต่มาร์คคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ

“เป้าหมายที่มากกว่าเป้าหมายของตัวเอง”

เรื่องที่มาร์คชอบคือ ประธานาธิบดี John F Kennedy ไปเยี่ยม NASA  เขาได้เจอกับภารโรงใน NASA ถือไม้กวาดอยู่ และได้กล่าวทักทายกับภารโรงคนนั้นว่าเป็นไงบ้างช่วงนี้ทำอะไรอยู่ครับ?

ภารโรงตอบว่า เขากำลังช่วยให้คนไปดวงจันทร์อยู่..

นี่แหละสิ่งที่มาร์คซัคเคอร์เบิร์ก ต้องการจะสื่อในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้

“เป้าหมายควรเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าตัวเราเอง”

เป้าหมายร่วมกันของทุกคนในสังคม จะสร้างความสุขที่แท้จริงให้กับมนุษย์ได้

ตอนนี้พวกเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญมากช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์

ถ้าเป็นสมัยที่พ่อแม่เราเรียนจบ เป้าหมายของพวกเราก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องใกล้ตัว เช่น งานของเรา หรือ สังคมของเรา

แต่ตอนนี้ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น หุ่นยนต์ได้เข้ามาแทนที่ในหลาย ๆ งานของมนุษย์

170526-zuckerberg-1

ในอนาคต เราจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมน้อยลงเรื่อย ๆ จนอาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่าตัวเองมีค่าอะไรในโลกใบนี้ ถ้าจะให้สังคมเราก้าวต่อไปได้ การสร้างงานใหม่ ๆ อาจจะไม่ใช่คำตอบสำหรับโลกนี้

แต่สิ่งที่เป็นคำตอบคือ การทำให้มนุษย์มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน

มาร์คจำได้ว่าคืนวันที่เปิดตัว Facebook ในหอพักของเขา เขาตื่นเต้นมากที่จะเชื่อมต่อสังคม Harvard เข้าด้วยกัน แต่ตอนนี้ใครจะไปรู้ว่ามาร์คได้เชื่อมต่อโลกเข้าด้วยกันเรียบร้อยแล้ว

สิ่งสำคัญคือ มาร์คไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับเขา เพียงแค่มาร์ครู้ว่าตัวเขาเองมีไอเดียที่เคลียร์ว่าทุกคนอยากที่เชื่อมต่อกันเท่านั้น

สิ่งที่เขาทำต่อไปก็แค่โฟกัสกับสิ่งที่เขาเชื่อหลังจากนั้น…

มาร์คไม่เคยคิดว่าจะสร้างบริษัทใหญ่ๆที่จะได้เงินมาก ๆ แต่เขาแค่อยากจะสร้าง impact ต่อสังคมเท่านั้น  ในสองปีแรก มีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายอยากจะซื้อ facebook แต่มาร์คไม่ต้องการขาย เขาแค่อยากจะเห็นว่าเขาจะเชื่อมต่อคนเข้าด้วยกัน ได้มากขึ้นอีกแค่ไหน

ในที่สุดมาร์คได้สร้าง News Feed ซึ่งเป็นการปฏิวัติวิธี  “การอ่านหนังสือ”  ของคนบนโลกไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้บริหาร facebook คนอื่น ๆ เกือบทุกคนอยากที่จะขายบริษัท โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่า

มีหลายคนบอกมาร์คว่า “ว่าถ้าเราไม่ขายบริษัทในตอนนี้ จะเสียใจไปตลอดชีวิตนะ”

ตอนนั้นมาร์คอายุ 22 ปี เป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดชีวิต มาร์ครู้สึกโดดเดี่ยว และสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าเขาได้ตัดสินใจอะไรผิดไปหรือเปล่า

170526-zuckerberg-2

Credit Picture : www.roadtovr.com/

ถึงแม้ว่าตอนนี้ มีงานหลายสิบล้านงานที่จะถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์  แต่มาร์คบอกว่าไม่ต้องกลัว มนุษย์ยังมีความสามารถอีกมากที่จะทำอะไรหลายอย่างร่วมกันในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

ในอดีตมีคนมากกว่า 300,000 คนทำงานร่วมกันที่จะส่งคนไปดวงจันทร์ (รวมทั้งภารโรงที่ได้คุยกับประธานาธิบดี John F Kennedy)

มีมากกว่าล้านคนที่เป็นอาสาสมัครในการป้องกันโลกจาก โรคโปลิโอ

มีมากกว่าล้านคนที่ได้สร้างเขื่อน Hoover dam และ โครงการขนาดใหญ่อื่นๆ

ตอนนี้ถึงตาพวกเราแล้วที่จะร่วมมือกันสร้างโครงการที่เจ๋งๆอันใหม่

ตอนนี้หลายคนคิดว่า เราไม่รู้วิธีการสร้างเขื่อน ไม่รู้ว่าจะไปร่วมมือกับคนอีกเป็นล้านได้ยังไง

แต่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก มีเคล็ดลับที่ยังไม่เคยบอกใคร

เคล็ดลับคือ “ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก”

ความคิดที่เจ๋ง ๆ ไม่ได้ออกมาตั้งแต่วันแรก  สิ่งสำคัญคือ เราต้องเริ่มลงมือทำ แล้วทุกอย่างจะค่อยๆออกมาเอง

ถ้ามาร์ครอที่จะเข้าใจในทุก ๆ เรื่องว่าจะเชื่อมต่อทุกคนในโลกได้อย่างไร ตอนนี้ Facebook ก็คงไม่เกิดขึ้น

ปัญหาของโลกตอนนี้คือคนไม่กล้าจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เพราะกลัวว่าจะผิดพลาด และเมื่อเราพลาดจะมีคนอื่นมาซ้ำเติมเรา

ข้าราชการในประเทศไทยเลือกที่จะใส่เกียร์ว่าง เพราะกลัวว่าเซ็นอะไรไปแล้ว จะเป็นข้อผูกมัดกับตัวเองในภายหลัง

บริษัทเอกชน หรือ คนเก่ง หลีกเลี่ยงที่จะทำงานกับภาครัฐ เพราะ กลัวว่าถ้าผิดพลาดอะไรขึ้นมา จะทำให้ตัวเองถูกฟ้องคดีอาญาจากภาครัฐ

ตอนนี้ปัญหาที่น่ากลัวของคนบนโลก (โดยเฉพาะคนไทย) ที่สำคัญที่สุดคือ “ไม่กล้า ทำอะไร”

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ครบถ้วนสมบูรณ์หมดทุกอย่างตอนแรก ทุกคนที่สำเร็จต้องผิดพลาดเสมอ

แต่ระบบกำลังบังคับให้เราทำในสิ่งที่อยู่ในกรอบว่า “ห้ามผิดพลาดนะ อย่าทำอะไรที่แปลกประหลาดเลย ทำอะไรที่ play safe ไว้ก่อนดีกว่า”

จริง ๆ แล้ว นวัตกรรม มันจะเริ่มมาจาก “การคิดนอกกรอบ” เสมอ

แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คนที่ริเริ่มอะไรใหม่ๆมักถูกแย้งและถูกวิจารณ์ ว่ากำลังทำสิ่งนั้นเร็วไป โลกยังไม่พร้อมกับเรื่องนั้น

คงคล้ายกับคนโบราณที่บอกว่า มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ และเอาเข้าจริงๆแล้วในโลกนี้ คนที่ “เอาเท้าราน้ำ” มีจำนวนมากกว่า คนพายเรือ อยู่มาก

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กได้กล่าวว่า “เพราะในโลกนี้มักมีคนที่มาขัดเรา และอยากที่จะให้เราช้าลงเสมอ”

แล้วอะไรที่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่เราน่าจะทำร่วมกันในตอนนี้บ้าง?

เรื่องสำคัญเรื่องแรกของโลกใบนี้คือ Climate change  เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ของเราตอนนี้ เราทุกวันนี้ต่างรู้ดีว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนไปเพราะ สภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น

มนุษย์พึ่งเริ่มรู้จักวิธีการใช้พลังงานจากการเผาเชื้อเพลิงเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาในประวัติศาตร์มนุษย์ที่มีมายาวนานกว่า 50,000 ปี

และก็เป็นหนึ่งร้อยปีนี้ที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย และทำให้เราเข้าสู่ยุคที่พัฒนาถึงขีดสุดในประวัติศาสตร์มนุษย์

 

อย่างไรก็ตามการ Break through เทคโนโลยีดังกล่าว ก็ทำให้สภาพของโลกตอนนี้แย่ลงที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน

ทำไมกรุงเทพถึงน้ำท่วมหนักในปี 2554 ทำไมหลังจากนั้นก็เกิดภัยแล้ง แล้วมาในช่วงนี้ก็กลับมีปัญหาน้ำท่วมอีก

สิ่งที่เป็นคำตอบง่ายๆของเรื่องนี้คือ “Climate Change”

สิ่งที่จะแก้ปัญหานี้ได้ คือการตระหนักว่าอะไรเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องนี้  ทุกคนก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่า โลกร้อนเพราะการเผาไหม้เชื้อเพลิงเพื่อให้ได้พลังงานของมนุษย์โลก

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะให้คนเป็นล้านคนหันมาทำงานในอุตสาหกรรมพลังงานที่สะอาด

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นเป้าหมายของทุกคนร่วมกันในโลกนี้ในความคิดเห็นของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก คือ “ความเหลื่อมล้ำ”  น่าแปลกใจว่าปัญหานี้เป็นรากเหง้าของทุกปัญหาบนโลกนี้รวมถึงประเทศไทย

ไม่ต้องอธิบายทุกคนก็รู้ว่า ทศวรรษที่ผ่านมาของประเทศไทยได้หายไป เพราะปัญหาเรื่อง “ความเหลื่อมล้ำ” ที่เป็นสาเหตุต้นตอของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

คำว่าเทคโนโลยี ระบบอัตโนมัติ AI จะเกี่ยวข้องกับ ภาครัฐ ภาคประชาชน ระบบการปกครอง ได้อย่างไร? จริงๆแล้วเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นจะมีผลต่อทิศทางของรัฐในอนาคตอย่างมากสุดท้ายแล้วรัฐจะถูกบังคับให้เปลี่ยนจากการก้าวหน้าของเทคโนโลยี

Universal Basic Income จะเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต  เมื่อหุ่นยนต์มาแทนที่มนุษย์ทั้งหมด มนุษย์จะไม่จำเป็นต้องทำงานอีกต่อไป

สิ่งที่รัฐจะถูกบังคับให้ทำคือ “การให้เงินกินเปล่าแก่ประชาชน”

สิ่งที่ประชาชนต้องทำคือแค่ “การใช้ชีวิต” และ “ทำตามความฝัน” ของตัวเอง

รัฐต้องสนับสนุนให้ทุกคนในสังคมมีรายได้เพื่อเป็นเบาะรองรับ ในการทำความฝันของตัวเอง แล้วผิดพลาด

สิ่งสำคัญที่จะทำให้มนุษย์บรรลุเป้าหมายร่วมกัน คือคำว่า “Freedom to Fail” หรือ การมีอิสระในการผิดพลาดได้หลาย ๆ ครั้ง

รู้หรือไม่ว่าโปรแกรม Facebook ไม่ได้เป็นสิ่งแรกที่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กสร้าง ก่อนหน้านั้นเขาสร้าง เกม โปรแกรมแชท โปรแกรมการศึกษา โปรแกรมดนตรี แต่ก็ไม่สำเร็จ

JK Rowling ล้มเหลวมาแล้ว 12 ครั้ง ก่อนที่จะเขียน Harry Potter

Beyonce ทำเพลงมาแล้วเป็นร้อยๆเพลง ก่อนที่จะได้เพลง Halo

ผลงานที่สำเร็จส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการล้มเหลวหลาย ๆ ครั้ง

แต่ตอนนี้เรากำลังมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้ทำร้ายแค่คนใดคนหนึ่ง แต่ทำร้ายทุกๆคน

ถ้าเราไม่มีอิสระในการทดลองความคิด พวกเราทุกคนจะแย่ลง

เรามาดูกันว่าระบบสังคมปัจจุบันนี้มีปัญหาอย่างไร?

ตอนนี้มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก สามารถหยุดทำงาน และได้รับเงินเป็นพันล้านเหรียญไปอีกหลายสิบปี

ในขณะที่ตอนนี้มีนักเรียนหลายคนไม่สามารถจ่ายหนี้ และไม่สามารถเริ่มธุรกิจใหม่ๆที่เขาอยากทำได้

มีหลายคนที่ไม่กล้าที่จะฝันเพราะว่าไม่มีเบาะรองรับถ้าเขาพลาด

เราทุกคนรู้ดีว่า แค่มีไอเดียที่ดีกับทำงานหนักมาก ๆ ไม่ได้จะทำให้เราสำเร็จได้เสมอไป

เราต้องมีโชคที่ดีด้วย!

ถ้าตอนเด็ก ๆ มาร์คต้องช่วยพ่อแม่ทำงานแทนที่จะมีเวลามานั่งเขียน code ตอนนี้ Facebook ก็คงไม่เกิดขึ้น

เราต้องยอมรับว่า โชค และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา มีผลต่อความสำเร็จของเรามากจริง ๆ

ในแต่ละยุคของมนุษย์ให้คำนิยามของความเท่าเทียมกันในรูปแบบที่แตกต่างกัน

ในยุคสมัยก่อนอาจจะมีการต่อสู้กันเพื่อให้มีการเลือกตั้ง และ สิทธิของประชาชน

แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่เรานิยามเรื่องความเท่าเทียมกันของยุคเรากันใหม่

เราควรจะมีตัวชี้วัดทางสังคมรูปแบบใหม่ที่นอกเหนือจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ เช่น GDP หรือไม่?

เช่นตัวชี้วัดเรื่องรายได้ของแต่ละคนที่จะเพียงพอให้แต่ละคนมีเบาะรองรับเพื่อที่จะได้ลองสิ่งใหม่ๆ

เราเรียกสิ่งนี้ว่า Universal Basic Income หรือ UBI

การที่หุ่นยนต์ทำงานแทนคนมากขึ้นเรื่อย ๆ จะบังคับให้รัฐเริ่มการแจกเงินให้ประชาชนเพื่อทำตามสิ่งที่ฝัน

ทุกคนควรมีรายได้จากรัฐเท่าเทียมกัน เพื่อเป็นพื้นฐานในการเลี้ยงชีพ และ ดูแลครอบครัว

มันไม่ยุติธรรมต่อมนุษยชาติ ที่คนเราเกิดมาแล้วต้องเสียโอกาสที่จะทำโครงการเจ๋ง ๆ เพียงเพราะว่ามีเงินไม่พอที่จะเลี้ยงครอบครัว เลยไม่กล้าริเริ่มโครงการใหม่ ๆ เพราะกลัวพลาด

ฟินแลนด์เป็นประเทศที่ได้ทดลองเริ่ม UBI โดยที่จะให้ 560 ยูโรต่อเดือน หรือ 21,000 บาทต่อเดือนให้กับกลุ่มตัวอย่าง

ในเร็ว ๆ นี้ จะมีข้อมูลจากการทดลองออกมาว่า UBI จะสำเร็จได้มากแค่ไหน?

น่าแปลกใจว่า Elon Musk และ Bill Gates ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้คล้าย Mark Zuckerberg เช่นกัน

ทำไมคนอัจฉริยะของโลกคิดเรื่องนี้ตรงกัน?

ก็คงเป็นเพราะ ความเท่าเทียมกัน เป็นสิทธิที่มนุษย์เกิดมาทุกคนบนโลกนี้ควรจะได้

และการเท่าเทียมกันนี้แหละที่ทำให้เกิด FREEDOM TO FAIL หรือ การกล้าเริ่มคิดอะไรใหม่ ๆ โดยที่ไม่กลัวจะพลาด

และการได้อะไรใหม่ ๆ นี่แหละที่จะทำให้ มนุษยชาติ ก้าวหน้าขึ้นอีกมากในอนาคต..

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่  ลงทุนแมน

longtunman

UNLOCKMEN Team
WRITER: UNLOCKMEN Team
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line