ลาบเสียบ  Thai Izakaya @Jim Thompson Art Center

เลิกงานเหนื่อยๆ อยากไปนั่งเรื่อยเปื่อยที่ไหนสักแห่ง นี่คือที่มาของร้าน “ลาบเสียบ” ร้านปิ้งย่างลูกอีสานสไตล์คนเมือง ที่ต้องการเป็นแหล่งพักพิงของผู้คนหลังเลิกงาน ซึ่งเจ้าของร้านเป็นอดีตอาจารย์มหาวิทลัยสายอาร์ต ผู้เบื่อหน่ายกับงานประจำเขาจึงลาออกมาปั้นร้านลาบเสียบ โดยตั้งใจกำหนดบรรยากาศ และสร้าง Expreience ให้คนที่มาทานอาหาร ได้มานั่งกินดื่ม พูดคุย คลายเหนื่อยกันแบบชิล ๆ กับอาหารที่เขาใส่ใจทั้งใจของเขาลงไป 

โดยชื่อร้าน “ลาบเสียบ” นั้นมาจากเมนู “ลาบเสียบ” ไม้ ลูกหลานของลาบ ที่ต้องการเอาชนะหมาล่า พี่ฝ้าย(เจ้าของร้าน) เล่าถึงที่มาที่ไปของเมนูนี้ให้เราฟังว่า เขาคิดเมนูนี้มาจากความต้องการที่อยากจะก้าวข้ามหมาล่าไปให้ได้ เพราะเขามองว่าวัตถุดิบของบ้านเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หรือข้าวคั่วนั้น ล้วนเป็นวัตถุดิบที่รสชาติดี จับคู่กับอาหารอะไรก็อร่อย แถมยังมีราคาถูก ก็เลยอยากลองนำมาสร้างสรรค์เป็นเมนูใหม่ที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และสร้างความนิยมได้ไม่แพ้หมาล่า

เขาจึงคิดค้นเมนู ‘ลาบเสียบ’ ขึ้นมาด้วยความตั้งใจที่อยากจะเปิดพื้นที่ใหม่ ๆ ให้กับอาหารอีสาน โดยการนำอาหารอีสานไปผสมผสานกับอาหารอื่น ๆ บนโลกใบนี้ 

 “ผมเบื่อคำว่าอีสานแท้ ไทยแท้ มันดูยกตัวเองเป็นศูนย์กลางเกินไป ทำไมเราไม่มองว่าเราจะไปจอยกับใครได้บ้าง ให้อีสานเป็นประสบการณ์ที่ฝังอยู่ในใจเท่านั้น แล้วนำมันไปจอยกับ Culture อื่น ๆ” 

ด้วยแนวคิดนี้เองลาบเสียบสำหรับพี่ฝ้ายจึงเปรียบเสมือน บางกอกพาราไดซ์ รัสมี อีสานโซล ณเดช หรือเซียนหรั่ง คืออีสานรุ่นใหม่ที่เฉิดฉายแล้ว คือลาบแบบใหม่ที่กินแล้วคิดถึงลาบ เพราะลาบเสียบคือลูกหลานของลาบ พ่อเป็นลาบ แม่เป็นอาหารต่างชาติ เป็นคนอีสานที่แต่งงานกับต่างชาติ เป็นเมนูที่เกิดจากประสบการณ์ทางด้านอาหารของพี่ฝ้าย ประสบการณ์ของคนอีสาน ที่เคยทานอาหารฮ่องกง จีน ปักกิ่ง ญี่ปุ่น บวกกับการเรียนรู้เองจาก Youtube ทำให้เขาคิดค้นเมนูลาบเสียบ ที่มีความละเอียด และความใส่ใจอยู่ในนั้นอย่างเต็มเปี่ยม 

ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นน้ำมันใบมะกรูด เพื่อนำมาทาลงบนลาบเสียบขณะย่าง ด้วยความตั้งใจที่อยากจะแอดทุกอย่างที่เป็นลาบลงไปในลาบเสียบให้มากที่สุด การหมักเนื้อที่พิถีพิถันใส่ใจทุกอย่างแม้กระทั่งเกลือที่นำมาหมัก พี่ฝ้ายเลือกใช้เกลือปัตตานี หรือที่เรียกว่าเกลือหวาน เนื่องจากมันจะมีโซเดียมต่ำ มีความอูมามิ อีกทั้งยังทำน้ำจิ้มเองเพื่อให้ได้รสชาติที่เผ็ดน้อย ไม่เหมือนใคร ให้ต่างชาติทานได้ ให้ลูกค้ากินแล้วได้รับรสชาติของอาหารที่แท้จริง ให้รู้ว่าผักหวานแบบนี้ เนื้อรสชาติแบบนี้ 

โดยอาหารที่นี่จะถูกเสิร์ฟมาในกระด้ง(ภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่) แทนจาน ยิ่งทำให้ลาบเสียบไม้ของพี่ฝ้ายดูน่าทานขึ้นอีกมาก เมนูที่เราอยากแนะนำให้ลองนอกจากเมนูเนื้อ และหมูแล้วคือ เมนูผักต่าง ๆ เพราะมันหวานแบบที่พี่ฝ้ายบอกจริง ๆ โดยเฉพาะเมนูสามชั้นหน่อไม้ที่โคตรอร่อย ไม่คิดว่าจะอร่อยขนาดนี้ ด้วยความหวานของหน่อไม้ กลิ่นหอมของมันที่ทานคู่กับสามชั้นแล้วโคตรอร่อย สำหรับใครที่ทานเนื้อสดได้อยากให้ลองก้อยมะนาวเมนูใหม่ที่กำลังจะเปิดขายเร็ว ๆ นี้ที่พี่ฝ้ายทำมาให้เราลองชิม เป็นเมนูที่เปิดโลกเรามาก ๆ ด้วยรสชาติทุกอย่างที่ลงตัวเนื้อหวาน ๆ ตัดด้วยรสชาติเปรี้ยวเผ็ด อีกอย่างที่ต้องลองคือมะตูมซาอุ ผักแนมที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งกินคู่กับเนื้อแล้วมันดีมาก ๆ โดยน้ำจิ้มที่นี่นั้นพี่ฝ้ายแกตั้งใจจัดมุมคู่กับผักไว้ให้ลูกค้าตักเอง เติมเองได้ไม่อั้น สามารถปรุงเพิ่มเติมได้ตามใจชอบเอ็นจอยกับอาหารได้เต็มที่

และจะเอ็นจอยมาก ๆ สำหรับคนที่ชอบฟังหมอลำ ที่นี่พี่ฝ้ายจะเปิดหมอลำแบบหมอลำจ๋า ๆ ให้เราฟัง เป็นอีสานบีท ที่พี่ฝ้ายตั้งใจเปิดกวนความเป็นเมือง ด้วยความที่ร้านแกตั้งอยู่บน Rooftop กลางเมือง แกเลยเปิดหมอลำซะเลย ศิลปิน ๆ มาก การตกแต่งร้านก็ยังศิลปินพี่ฝ้ายเลือกเอากระด้งมาตกแต่งร้าน และเอาค่องมาทำเป็นโคมไฟ ที่โดนลมพัดไปมาอยู่บน Rooftop กลางเมือง มันคือความ Contrast ที่มีเสน่ห์มาก ๆ และด้วยความที่พีฝ้ายจบป.ตรีศิลปศาสตร์มา แกจึงใช้ความสามารถในการวาดลวดลายบนโลโกร้านขึ้นมาเองภายใต้ Concept ‘พยัคฆ์เมฆา’ เป็นชื่อสาขาที่แปลว่า เสือเมฆหรือเสือบินได้ เนื่องจากที่นี่อยู่บนดาดฟ้า โลโก้ร้านจึงออกมาเป็นรูปเสือ

สุดท้ายอยากให้ทุกคนลองมาเป็น “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้แซ่บนัว” ลิ้มรสชาติลาบเสียบของพี่ฝ้าย ดูวิวเมือง Appreciated กับเครื่องดื่ม และเพลงหมอลำของพี่ฝ้ายที่ร้านลาบเสียบ@Jim Thompson Art Center แห่งนี้ 

>> https://bit.ly/43h7X8v