ผู้ชายทำงานอย่างเราอาจเคยได้ยินคำว่า Burnout ผ่านหูกันมาบ้าง หรือที่ชวนหดหู่ยิ่งกว่าคือบางคนเคยเผชิญหน้ากับอาหารหมดไฟไร้แรงจะทำงานมาด้วยตัวเอง (UNLOCKMEN เคยเขียนถึงอาการหมดไฟไว้ ย้อนอ่านได้ที่ BURN OUT SIGNS: สัญญาณหมดไฟของคนทำงาน ทำยังไงให้ไฟกลับมาลุกโชนอีกครั้ง) แต่คล้ายกับว่าอาการหมดไฟจะไม่ใช่อุปสรรคเดียวที่คนทำงานอย่างเราจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เพราะ “อาการหมดใจ” หรือ Brownout นั้นก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน อาการนี้ไม่ใช่แค่หมดไฟจะไปต่อ แต่มันคือหมดใจกับระบบการทำงานและองค์กร รวมถึงเป็นสาเหตุที่คนเก่ง ๆ และมีความสามารถจำนวนมากตัดสินใจลาออกจากงานอย่างไม่มีใครหรืออะไรจะรั้งไว้ได้ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนหมดใจกับงาน? ในฐานะผู้บริหารหรือเจ้าขององค์กรเราควรจัดการกับอาการนี้เพื่อรักษาคนเก่ง ๆ ไว้ได้อย่างไร? หมดใจไม่ใช่เล่น ๆ สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนเก่ง ๆ จากไป เมื่อเราพูดถึงอาการ Burnout เราก็มักจะเห็นภาพของคนที่หมดอาลัยตายอยากกับงานเสียเต็มประดา เพราะไฟในตัวมันมอดไหม้ไปสิ้นแล้ว จะทำอะไรก็เบื่อหน่าย อาการก็ออกมาให้เห็นชัด ๆ ว่าไม่พร้อมจะลุกขึ้นมาทำอะไรอย่างที่เคยทำได้ แต่ Brownout นั้นต่างออกไป จินตนาการถึงแสงจากดวงดาวที่ไม่ได้ดับสนิทมืดลงทันที แต่ยิ่งเฝดห่างออกมาเท่าไหร่แสงก็ยิ่งริบหรี่ลงเท่านั้น เพราะคนที่เข้าข่ายอาการ Brownout นั้นการทำงานภายนอกจะเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ภายในใจต่างหากที่มันได้ตายจากองค์กรไปแล้วโดยมีสาเหตุมาจากหลายสิ่งในองค์กร อาการเหล่านี้มักจะเกิดกับคนทำงานเก่ง ๆ หรือคนในองค์กรที่มีประสิทธิภาพกว่าคนอื่น (ผลสำรวจระบุว่า Top Performer หนึ่งในสามมีอาการนี้และกำลังหางานใหม่) คนเก่งในองค์กรนั้นเมื่อหมดใจกับงานตรงหน้าหรือหมดใจกับองค์กรที่ทำ พวกเขามีทางเลือกมากกว่าคนที่ทำงานไม่เก่งจึงไม่แปลกใจที่องค์กรมักเสียคนทำงานเก่ง