ถ้าพูดถึงการ์ตูนยอดนิยมยุคนี้ไม่ว่าจะเป็น One Piece, My Hero Academia, The Promised Neverland และเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง แม้ว่าการ์ตูนเหล่านี้จะมีพล็อตแตกต่างกัน แต่เกือบทุกเรื่องมีคอนเซ็ปต์ที่คล้ายกันคือการผจญภัยโดยมีฉากหลังเป็นพลังมิตรภาพ ในขณะที่การ์ตูนแนวลูกผู้ชายกล้ามโตที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนอกจากการต่อสู้แบบบ้าพลังแทบจะหายไปจากตลาดเลยก็ว่าได้ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ 20-30 ปีก่อนที่เป็นยุครุ่งเรืองของการ์ตูนแนวนี้ หลายเรื่องขึ้นหิ้งกลายเป็นตำนานที่ยังถูกพูดถึงมาจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ, ซามูไรพเนจร, จอเกบูลส์ รวมถึงเรื่องที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้อย่าง ‘บากิ’ ย้อนความหลัง สำรวจเรื่องราว ‘Baki the Grappler’ หรือที่คนไทยเรียกสั้น ๆ ว่า ‘บากิ’ คือผลงานมังงะจากปลายปากกาของ Keisuke Itagaki ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1991 ลงในนิตยสาร Weekly Shōnen Champion ซึ่งถ้านับถึงตอนนี้มังงะเรื่องนี้ก็มีอายุกว่า 28 ปีเข้าไปแล้ว ฉบับรวมเล่มมีทั้งหมด 132 เล่ม โดยแบ่งเป็น 4 ภาค ซึ่งนี่ยังไม่นับรวมภาคย่อยที่มีอีกไม่น้อย บากิเป็นการ์ตูนที่เล่าเรื่องย่อได้ง่ายที่สุด เพราะทั้งเรื่องแทบจะไม่มีแก่นเรื่องใด ๆ เลยนอกจากการต่อสู้ ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหนุ่มมัธยมปลายนาม ‘ฮันมะ บากิ’ ภายนอกเขาก็ดูไม่แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันคนอื่น
ชีวิตที่ราบเรียบไร้อุปสรรคคงเป็นชีวิตในอุดมคติที่ใคร ๆ ต่างก็อยากมี แต่เพราะชีวิตจริงเราไม่สามารถมีชีวิตแบบนั้นได้ เรามีทั้งอุปสรรค ทั้งความกล้า ความกลัว สารพัดความรู้สึกที่เราต้องงัดออกมาสู้เมื่อต้องเผชิญกับความกลัวที่มีต่ออุปสรรคของชีวิตหรือความกลัวอะไรก็ตามที่เข้ามากระทบกับความรู้สึกของเรา UNLOCKMEN จะพามาชำแหละความกลัวและแนะแนวทางว่าจะสู้หรือจะหนีตามสไตล์ของแต่ละคน เมื่อคุณรู้สึกกลัวขึ้นมา ต่อมทอนซิลของคุณจะตอบสนองกับอาการกลัว และการตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะหนี มันจะส่งสัญญาณไปที่ต่อม hypothalamus ที่ตอบสนองกับข้อมูลที่เรารับมาจากสมอง มันทำงานร่วมกับระบบประสาท มันเลยทำให้เรารู้สึกกลัวเวลาเราตกอยู่ในอันตราย เรามักจะตอบสนองสัญญาณของความกลัวในสองรูปแบบคือ “สู้หรือถอย” เมื่อคุณถือไพ่เหนือกว่า คุณตัดสินใจได้แบบทันที แทบไม่ต้องหยุดคิดด้วยซ้ำ สมองจะบอกให้คุณอยู่ต่อและสู้กับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า หลุมพลางของการหลีกหนี เมื่อร่างกายตกอยู่ในอันตราย สมองจะสั่งให้คุณหนีโดยอัตโนมัติเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ การหนีไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะมันคือการรักษาชีวิตของเราโดยสัญชาตญาณ คนที่เลือกหนีเขามักจะยอมแพ้ได้ง่ายตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของปัญหา และข้ามไปแก้ปัญหาอื่น ๆ แทน (เพราะรู้ว่าอันนี้ตัวเองแก้ไม่ได้) เหมือนคนที่วิ่งหนีปัญหายาก ๆ เพราะคิดว่าตัวเองจะจัดการกับมันไม่ได้ เราอาจจะกลัวจนอยากจะหนีกับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ หรือบอกตัวเองว่าไม่สามารถข้ามผ่านเรื่องราวยาก ๆ เหล่านั้นได้ เมื่อคิดแบบนี้ความเฟลนอนรอเราอยู่ข้างหน้าแน่นอน เพราะเมื่อคุณไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ คุณก็ไม่อยากสู้ ไม่รู้จะเอาพลังที่ไหนมาผลักดันศักยภาพตัวเองให้ออกมาเต็มที่ อย่าให้การเผชิญหน้าเป็นแค่ทางเลือก คุณอาจมีแรงกระตุ้นให้วิ่งหนีบางสิ่งเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างที่บอกไปข้างต้น แต่เราสามารถเปลี่ยนความคิดตัวเองได้ ถ้าหากต้องเผชิญกับเรื่องยาก ๆ อีกในครั้งต่อไป ลองบอกตัวเองให้สู้ ปลุกตัวเองด้วยพลังบวกแทนที่ความคิดลบ ๆจากข้างในว่าตัวเองทำไม่ได้